ธุรกิจมาแรงปี 55 ธุรกิจเสริมสวย-ทำหล่อมาแรงปี'55

ธุรกิจมาแรงปี 55 ธุรกิจเสริมสวย-ทำหล่อมาแรงปี'55 โชห่วยดับสนิทสู้ค้าปลีกยักษ์ไม่ได้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผย 10 ธุรกิจดาวเด่น ดาวดับ ปี 2555 ชี้การแพทย์ ความงาม มาแรงสุด หลังคนใส่ใจสุขภาพ และหันทำศัลยกรรมความงามมากขึ้น ส่วนโชห่วย ดับสนิท เพราะสู้ค้าปลีกรายใหญ่ไม่ได้

บันทึกอาเซียน : English-Speaking Year 2012

บันทึกอาเซียน : English-Speaking Year 2012
เป้าประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเด็ก เยาวชน ครู และบุคคลากรทางการศึกษา เพื่อการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน
ASEAN Diary : 2555 : ปีแห่งการใช้ภาษาอังกฤษในโรงเรียน

บันทึกอาเซียน | อาเซียน 2012 "One Community, One Destiny"

บันทึกอาเซียน | อาเซียน 2012 "One Community, One Destiny" | “หนึ่งประชาคม, หนึ่งเป้าหมายปลายทาง”
แม้ว่าจะเป็นข้อความที่หรูหรา,งดงาม และยิ่งใหญ่ และยากยิ่งนักที่จะทำตามคำขวัญให้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ได้
คำขวัญของอินโดนีเซียสำหรับอาเซียนปี 2011 คือ “ASEAN Community in a Global Community of Nations” | “ประชาคมอาเซียนในประชาคมประชาชาติโลก”

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ บิ๊กพฤกษา แชมป์เศรษฐีไทยรวย18,520ล้าน

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ บิ๊กพฤกษา แชมป์เศรษฐีไทยรวย18,520ล้าน "ทองมา" บิ๊กพฤกษา ครองแชมป์เศรษฐีไทย 2 ปีซ้อน ถือหุ้นมูลค่า 18,520 ล้านบาท ด้าน "ตระกูลชินวัตร" ขยับขึ้น 9 อันดับ
วันนี้ (14 ธ.ค.)

บัตรเครดิตพลังงานแท็กซี่ดีเดย์เดือนหน้า

พิชัย เผยถก กพช. ลอยตัว LPG, NGV - สรุปส่วนต่างเบนซิน - โซฮอล์ สิ้น ก.ย. คาดลุยบัตรเครดิต พลังงานให้ TAXI สองแสนราย วงเงินไม่เกิน 2 พันบาท/ใบ ดีเดย์ ต.ค. นี้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งจะมีการหารือเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยเฉพาะการลอยตัวราคาก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (NGV) ว่าจะมีกรอบการดำเนินการอย่างไร

งัด4มาตรการทำประชานิยมเอาใจ'ชาวบ้าน'

งัด4มาตรการทำประชานิยมเอาใจ'ชาวบ้าน' ครม.ไฟเขียวคลอด 4 มาตรการเอาใจประชาชน ทั้งคืนภาษีรภคันแรก-รับจำนำข้าว-ขยายลดภาษีดีเซลอีก 3 เดือน-ขยายภาษีเงินได้วิสาหกิจชุมชนอีก 3 ปี พร้อมร่นเวลารถคันแรกให้เร็วขึ้นเป็น 16 ก.ย.นี้

สะสม'ทองคำ' เพื่อการออม ทางเลือกทางลัด...ร่ำรวย!?

สะสม'ทองคำ' เพื่อการออม ทางเลือกทางลัด...ร่ำรวย!? ช่วงนี้ทองคำกำลังราคาดี ขายได้กำไรงาม จึงทำให้หลายคนสนใจและคิดที่จะซื้อทองเพื่อเป็นการออม!!

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ทองคำเข้ามามีบทบาทในประเพณีของคนไทยมาช้านาน ตั้งแต่ในอดีต

“ฟอร์บส์” จัดอันดับอภิมหาเศรษฐีชาวไทยปีล่าสุด

“ฟอร์บส์” จัดอันดับอภิมหาเศรษฐีชาวไทยปีล่าสุด เจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์” รั้งอันดับ 1 อภิมหาเศรษฐีชาวไทย นิตยสาร “ฟอร์บส์” ระบุ มูลค่าทรัพย์สินกว่า 2 แสนล้าน ขณะ “เฉลียว อยู่วิทยา” มาเป็นอันดับ 2

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. เว็บไซต์ของนิตยสาร “ฟอร์บส์” นิตยสารทรงอิทธิพลด้านการเงินของสหรัฐ รายงานในบทความเรื่อง “40 อภิมหาเศรษฐีในประเทศไทย”

ธอส. แจมบูทมหกรรมการเงินโคราช ชูสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% 6 เดือน 19-21 สค.นี้

ธอส.ร่วมออกบูทในงานมหกรรมการเงินโคราชครั้งที่ 5 วันที่ 19-21 สิงหาคมนี้ ชูแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน ผ่อนดี 2 ปี ฟรีดอกเบี้ย อีก 1 เดือน พร้อมยกเว้นค่าประเมินราคาหลักทรัพย์และค่าธรรมเนียมยื่นกู้ ด้านเงินฝากชูโครงการเงินฝากซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ ถอนได้ ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 3% ต่อปี เงินฝากประจำขั้นบันได 9 เดือน รับดอกเบี้ยสูงสุด 7.50%ต่อปี (เฉลี่ย 3.69% ต่อปี)

ห้างเปิดรับร้านอาหาร แนวใหม่ ค่ายใหญ่เร่งปรับตัว...ปั้นคอนเซ็ปต์ต่าง

ถือเป็นโมเดลใหม่ของศูนย์การค้า ณ ชั่วโมงนี้ ที่พยายามดึงแบรนด์ดัง หรือ แบรนด์เซ็ปต์ใหม่ ๆ เข้ามาเปิดให้บริการในศูนย์ของตัวเอง เพื่อสร้างความต่างจากคู่แข่ง ที่สำคัญเพื่อหวังให้เป็นแม็กเนตในการดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์มากขึ้น

นอกจากร้านแฟชั่นแบรนด์เนม, แบรนด์เครื่องสำอางจากต่างประเทศที่จ่อคิวเข้ามาเปิดตลาดในไทยแล้ว ปัจจุบันร้านอาหารก็ถือเป็น "แม่เหล็ก" สำคัญในการดึงใจลูกค้าไม่แพ้กัน

จัสติน บีเบอร์ วัยรุ่นทำเงินได้มากที่สุดในฮอลลีวูด

"จัสติน บีเบอร์" นักร้องหนุ่มน้อยชื่อดังขึ้นแท่นเป็นวัยรุ่นฮอลลีวูดที่ร่ำรวยที่สุดประจำปี แซงหน้า"ไมลีย์ ไซรัส" นักร้องสาววัยทีนไปได้สบายๆ

ฝากเงินได้อย่างอุ่นใจพรุ่งนี้ดีเดย์กม.คุ้มครองเงินฝาก

เริ่มคุ้มครองเงินฝากทุกรายทั่วประเทศ ตามอัตราวงเงินความคุ้มครองคนละไม่เกิน 1 ล้าน ที่กฎหมายกำหนด

เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า วันที่ 11 ส.ค. นี้ เป็นวันแรกที่พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก 2551 กำหนดให้คุ้มครองเงินฝากตามจำนวนที่ฝากไว้ รวมถึงดอกเบี้ยคงค้างจากเงินฝากดังกล่าวในวงเงินรวมไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน

โลกเตรียมรับมือเศรษฐกิจสหรัฐจ่อถดถอยซ้ำซ้อน

โลกได้รับผลกระทบทั่วหน้ากันทันทีที่รู้ว่าตลาดหุ้นวอลสตรีตของสหรัฐเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ดิ่งร่วงลงเหวอย่างรุนแรงและร้ายแรงที่สุดในการเปิดตลาดซื้อขายตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2551 เห็นได้จากสถานการณ์ตลาดหุ้นในเอเชียและในยุโรปปรับตัวร่วงลงตามตลาดหุ้นของสหรัฐ ราวกับโดนฉุดให้ร่วงตามๆ กัน

ความปั่นป่วนดังกล่าว เป็นผลมาจากอาการหวาดผวาของบรรดานักลงทุนและนักเก็งกำไรทั้งหลาย ที่เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นต่อพี่เบิ้มของโลกอย่างสหรัฐ ว่าจะมีปัญญาจัดการปัญหาหนี้สาธารณะ ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมีเสถียรภาพอีกครั้งได้หรือไม่

พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯครม.

พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี “ยงยุทธ” นั่งเก้าอี้รองนายกฯควบรมว.มหาดไทย


วันนี้( 9 ส.ค.) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 5 ส.ค. บัดนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ประเทศญี่ปุ่นคิดสร้างเมืองหลวงสำรองเผื่อฉุกเฉิน

ที่ประเทศญี่ปุ่นคิดกาลไกล เริ่มคิดที่จะสร้างเมืองหลวงสำรองไว้ เผื่อเกิดยามเหตุการไม่คาดฝัน กรุงโตเกียว ถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากกลุ่มก่อการร้าย หรือหายนะภัยครั้งใหญ่จากธรรมชาติ โดยมีการตั้งคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหารือแนวคิดนี้โดยเฉพาะ

สำนักข่าวจีจีเพรส ในประเทศญี่ปุ่น รายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังที่จะพิจารณาสร้างเมืองหลวงสำรองไว้ใช้ปฏิบัติหน้าที่บริหารบ้านเมือง

ต่างชาติแห่สำรวจเหมืองทอง

สมเกียรติ ภู่ธงชัยฤทธิ์
ราคาทองพุ่งดันทุนใหญ่จากออสเตรเลีย รุกสำรวจแหล่งแร่ทองคำในไทย "MATSA" ส่งบริษัทลูกยื่นขออาชญบัตรพิเศษสำรวจแหล่งทองคำในนครสวรรค์พื้นที่กว่า 260,000 ไร่ หลังนโยบายเหมืองทองชัด กพร. เผยยังมีอีกหลายกลุ่มเห่อเหมืองทองไทย แต่ต้องดูแลสิ่งแวดล้อม-ชุมชนเข้ม
นายวิเชียร ปลอดประดิษฐ์ เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า

ยุทธศาสตร์ต้องตั้งให้ดี ยุทธวิธีต้องตีให้แตก (ตอนที่ 1)

หากพูดถึงทฤษฎีการตลาดก็คงมีคิดกันไว้โดยปรมาจารย์โลกที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมากมาย ออกพ็อกเก็ตบุ้คกันมา เฉพาะในประเทศไทยก็มีหลายพันเล่ม แต่ท้ายที่สุด หลายๆคนถามผมว่าการนำทฤษฎีการตลาดไปประยุกต์หรือนำไปใช้ให้ได้ผลนั้น ตกลงต้องทำอย่างไรกันแน่ โดยที่ไม่ต้องไปนั่งรอเรียนกันให้จบปริญญา? วันนี้จึงอยากนำเสนอแนวทางแบบที่นักการตลาดในบริษัทในประเทศไทยเค้ามักใช้กัน โดยไม่ต้องไปปวดเศียรเวียนเกล้ากับวังวนของทฤษฎีวิชาการอะไรกันมากนัก

ทองขึ้นวันเดียว 550 บาท (4 ส.ค.)

ดันแตะบาทละ 23,450 เร่งจับตากองทุนแห่เทขาย

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกและในประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) โดยอยู่ที่ 1,666 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้งภายในวันเดียวหรือเพิ่มขึ้น 550 บาท ซึ่งทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 23,300 บาท

ปี 53 คนไทยซื้อของออนไลน์ 1.47 หมื่นล้านบาท

PayPal เผยผลศึกษาคนไทยใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์เป็นมูลค่าสูงถึง 1.47 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา แนะผู้ค้าปลีกไทยปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางจำหน่าย เพื่อเข้าถึงผู้ซื้อกำลังซื้อสูงในระบบออนไลน์ และชิงโอกาสต่อยอดธุรกิจในตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

PayPal เปิดเผยถึงผลการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือในประเทศไทย ซึ่งถูกจัดทำโดยบริษัท นีลเส็นระบุว่า ในปี 2553 ขนาดของตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ของไทยมีมูลค่า 1.47 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์คนไทย 2.5 ล้านคน (อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป) มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 13,181 บาท โดย 71% ของยอดรวมการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมดมาจากกลุ่มชนที่มีรายได้ปานกลาง

“อิชิตัน” พลิกมิติ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์

3 ข้อคิดดีๆ ทางธุรกิจจากเถ้าแก่ตัวจริง “ตัน ภาสกรนที” ไอดอลของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โชว์ฟอร์มนักการตลาดตัวพ่อ พลิกมิติสื่อสารการตลาด - สร้างแบรนด์ใหม่อิชิตัน ที่ปรึกษามือโปรวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ

ในงานสัมมนา “K SME Care Business Forum 2011” ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ในเรื่อง “5 มิติพลังสร้างสรรค์ ผลักดันความสำเร็จ SME ไทย” โดยธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมี “ตัน ภาสกรนที” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ตันไม่ตัน จำกัด มาบรรยายในหัวข้อ “Creative Communication” หรือสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ไปกับตัน ไอเดียไม่มีตัน

“มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก” ย้ำกับเด็กอเมริกัน “ความสำเร็จไม่มีทางลัด”

มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก
ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กให้ข้อคิดเด็กอเมริกัน สอนอย่ายอมจำนนกับคำว่า “ทำไม่ได้”, ความสำเร็จไม่มีทางลัด, จงหมั่นสร้างมิตรภาพที่ดีและคนที่คุณไว้วางใจ และจงทำสิ่งที่คุณรัก

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2554 มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของเฟซบุ๊ก เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ณ โรงเรียนเบลล์ เฮเวน คอมมูนิตี้ ในเมืองเมนโล พาร์ค มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

“สมคิด-เจ้าสัวซีพี”ชี้โพรงศก.ไทย

“สมคิด-เจ้าสัวซีพี”ชี้ช่องเศรษฐกิจไทย สะกิดนักการเมืองอย่าเล่นการเมืองแบบศรีธนญชัย แต่ต้องเล่นการเมืองแบบรัฐบุรุษ เสนอนำทุนสำรองฯมาตั้งเป็นกองทุนเหมือนเทมาเส็ก

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวในงาน ไทยแลนด์ เล็คเชอร์ ครั้งที่ 3 วิสดอม ฟอร์ เชนจ์ ในหัวข้อนโยบายเศรษฐกิจเข็มทิศประเทศไทย จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ว่า ขณะนี้ไทยต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าอนาคตของประเทศจะเป็นเช่นใด ซึ่งการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศ ว่าจะทำให้ประเทศกลับเป็นปกติเหมือนเดิมหรือไม่ หลังจากหยุดชะงักทุกด้านตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และหากทุกฝ่ายยังไม่ตระหนักกับสิ่งที่ผ่านมา ไม่ช้าไทยจะตกขอบเวทีโลกโดยที่ไม่มีใครสนใจ

“เสี่ยตัน”เดินหน้าเขย่าตลาด ส่ง“อิชิตัน”กู้แชมป์ชาเขียว!

“เสี่ย​ตัน” เดิน​หน้า​เขย่า​ตลาดอัด​งบ​กว่า 150 ล้าน​บาท ทำ​กิจกรรม​การ​ตลาด​ทุก​รูป​แบบ ส่ง “อิชิ​ตัน” กู้​แชมป์​ชา​เขียว...

′ตัน′หวนคืนตลาดชาเขียวชนโออิชิ เปิดตัวผ่านเซเว่นฯ ชิงตลาด8พันล้าน

"ตัน ภาสกรนที" เจ้าของบริษัท "ไม่ตัน" อดีตบิ๊กบอสโออิชิ เตรียมหวนคืนตลาดชาเขียว เจ้าตัวยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียด วงการเผยเริ่มส่งสินค้าเทสต์ตลาด ก่อนเปิดตลาดผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตามด้วยการปูพรมสินค้า ยึดตลาดแมส ใช้ไซซ์ 15 บาท เปิดตัว 3 รสชาติ ชี้การผลิตพร้อมโรงงานใหม่เตรียมเดินเครื่องปีหน้า ตลาดชาเขียวยังโต 20% นำโดยเบอร์ 1 "โออิชิ" ตามด้วยเพียวริคุ ลิปตัน ยูนิฟวงการจับตามองกลยุทธ์เปิดตัวช่วงแรก

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่ม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นายตัน ภาสกรนที เตรียมที่จะกลับมาสู่วงการเครื่องดื่ม "ชาเขียว" อีกรอบ

เมื่ออยากเลี้ยงปลาในสวน

“น้ำ” มีส่วนในการสร้างบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เสียงน้ำไหลรินเบา ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงน้ำสิ่งที่มักอยู่คู่กันเสมอคือ “ปลา” ซึ่งช่วยสร้างความเพลิดเพลินใจเมื่อมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาในสายน้ำ การเลี้ยงปลาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มักเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ คู่กับการออกแบบสวนเสมอ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อเลี้ยงปลา ตลอดจนวิธีเลี้ยงปลาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีความสวยงาม

ก่อนจะเริ่มเลี้ยงปลา

'แอพ มือถือ' ทางรอดศึกค้าปลีกออนไลน์

การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมค้าปลีกบนโลกออนไลน์ ทำให้เหล่าห้างสรรพสินค้าในสหรัฐ ตั้งต้นทดลองโปรแกรมประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น บนมือถือ ที่จะช่วยให้เหล่าผู้บริโภค รู้เส้นทางไปยังร้านค้า และสถานที่ที่จอดรถไว้ นอกเหนือไปจากการค้นหาสินค้าลดราคา หรือการเสนอส่วนลดพิเศษให้

ไซมอน พรอพเพอร์ตี้ กรุ๊ป อิงค์ เจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่สุดในสหรัฐ นำเสนอแอพพลิเคชั่นของรางวัลจาก ช็อปคิก อิงค์ ให้กับลูกค้าตามสาขาต่างๆ ราวครึ่งหนึ่งของสาขาที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด 338 แห่ง พร้อมเดินหน้าพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตัวเอง เพื่อนำเสนอส่วนลดสำหรับกลุ่มห้างในเครือด้วย

ร่ายมนต์เปลี่ยนจากชอบ เป็นช้อป

วันนี้ความหมายของคำว่า "โซเชียล" เริ่มขยายอาณาเขตจากเดิม จาก "สถานที่" ที่เป็นชุมชนออนไลน์ กลายเป็น "เพื่อนและกลุ่มเพื่อน"
จากที่ได้กล่าวถึงแนวโน้ม 8 เทรนด์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในปี 2554 ของไทย เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา ทุกเทรนด์ได้ปรากฏขึ้นและตอบรับกับความเคลื่อนไหวทางธุรกิจ ตามคาดการณ์ สร้างสีสันให้กับนักการตลาดมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะเทรนด์เกี่ยวกับ “อีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ” และ “ออนไลน์โปรโมชั่น”

ในระยะหลังมีการพูดถึงโซเชียลคอมเมิร์ซ และการใช้ออนไลน์โปรโมชั่นกันอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศ ในลักษณะของโซเชียล ดิสเคาท์, ข้อตกลงวันเดียว (One-day Deal) หรือข้อตกลงออนไลน์ (Cyber Deal) บนเฟซบุ๊คของแบรนด์ต่างๆ เลยจะขอยกมาคุยกันอีกครั้ง
นิยามใหม่โซเชียล

วันนี้ความหมายของคำว่า "โซเชียล" เริ่มขยายอาณาเขตจากเดิม จาก "สถานที่" ที่เป็นชุมชนออนไลน์ กลายเป็น "เพื่อนและกลุ่มเพื่อน" อาจรวมถึง "คนที่ชอบ" หรือ "แบรนด์ที่ชอบ" และยังรวมถึง "พฤติกรรม" ของการแชร์ แบ่งปันกันด้วยการให้คำแนะนำและการสนทนา

โซเชียลคอมเมิร์ซ คือ การใช้โซเชียลให้เกิดแรงจูงใจในการซื้อ หรือการซื้อที่มีเพื่อนช่วยตัดสินใจ ตัวอย่างของการใช้โซเชียลเพื่อสร้างแรงจูงใจ จะเห็นได้จาก Levi’s Friends Store (http://store.levi.com/) ที่ใช้การ “Like” เป็นเรทติ้งสร้างแรงดึงดูดจูงใจให้ซื้อเสื้อผ้ารุ่นนั้นๆ และให้เราอ่านคอมเมนท์สินค้าของเพื่อน หรือเขียนคอมเมนท์ให้เพื่อนอ่าน

ในเชิงเทคนิคแล้วเป็นการติดตั้ง Facebook Social Plugins ในเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับหน้าเฟซบุ๊คของแบรนด์สินค้า เพื่อให้ใช้ฟังก์ชันบางอย่างของเฟซบุ๊คในเว็บไซต์ได้ การใช้ Facebook Social Plugins เช่น Like Button, Share, Comment และ Live Stream ช่วยสร้างกระแสและเพิ่มสีสันการตลาดให้กับออนไลน์แคมเปญ และกิจกรรมในเฟซบุ๊คเกือบทุกธุรกิจ ในขณะนี้
เอฟคอมเมิร์ซกับกระแส Tryvertising

อีกกระแสหนึ่งที่กำลังมาแรงและเป็นที่จับตามองของนักการตลาดคงหนีไม่พ้นเรื่องอีคอมเมิร์ซ แต่เป็นอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานในเฟซบุ๊ค ที่เรียกเป็น Buzz ในขณะนี้ว่า “เอฟคอมเมิร์ซ” หรือ “เอฟสโตร์”

ร้านค้าและแบรนด์เริ่มติดตั้งอีคอมเมิร์ซกันที่เฟซบุ๊คของตน เพื่อใช้ฐานของจำนวนแฟนในเฟซบุ๊คในการขายสินค้าให้แก่แฟนๆ เช่น Apple App Store, Lady Gaga f-store, Starbucks Gift Card หรือ Coca-Cola Store

นอกจากอาศัยเป็นจุดจำหน่ายสินค้าผ่านเอฟคอมเมิร์ซแล้ว ยังพบว่าแบรนด์อย่างซอสมะเขือเทศไฮนส์ (Heinz) รุกตลาดโดยการประชาสัมพันธ์สินค้าในลักษณะ Tryvertising ผ่านเฟซบุ๊ค ด้วยการปล่อยไฮนส์รสชาติใหม่แก่แฟนๆ ก่อนการขายจริงในท้องตลาด เพื่อให้แฟนพันธุ์แท้ได้ทดลองสินค้าก่อนใคร ทำให้เกิดการพูดถึงปากต่อปาก (Word of Mouth) จากกลุ่มแฟนในเฟซบุ๊ค กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในการประชาสัมพันธ์สินค้าโดยผ่านผู้บริโภคตัวจริงนั่นเอง

อย่างไรก็ตามนักการตลาดในต่างประเทศก็ยังมีข้อสังเกตต่อผลตอบรับทางธุรกิจของเอฟคอมเมิร์ซที่ว่า เพราะค่าใช้จ่ายของสื่อเฟซบุ๊คที่สูงขึ้นทำให้ประสิทธิภาพของเฟซบุ๊คต่อการสร้างยอดขายลดลง โดยนักการตลาดบางส่วนมีความเห็นว่าเฟซบุ๊คเป็นสื่อที่เหมาะสำหรับการดูแลลูกค้า การสร้างแบรนด์ หรือการศึกษาข้อมูลในเชิงลึกมากกว่าการที่จะมาช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจโดยตรงเหมือนระบบอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์
จับกระแสแปรเป็นโอกาสให้ทัน

สำหรับนักการตลาดบ้านเราแล้ว การอินทริเกตเครื่องมือใหม่ๆ บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มเข้ากับกลยุทธ์ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เพื่อจับกระแสนิยมหรือทดสอบพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถ้ามีความพร้อมทั้งในเชิงกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่เป็นระบบสนับสนุน แล้วอาศัยเครื่องมือนี้ทำการตลาด ไม่แน่ว่าอาจเปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจให้กับแบรนด์ของเราอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

นิวมีเดีย : "แอ๊ปเปิ้ล - กูเกิล - เฟซบุ๊ค" พลิกโลก ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง

"สิ่งที่น่าจับตานับจากนี้ คือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งแอ๊ปเปิ้ล กูเกิล และเฟซบุ๊ค จะเป็นออนไลน์ แอดเวอร์ไทซิ่ง และมาร์เก็ต แพลตฟอร์ม ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภค ส่งผลให้การวางแผนบริหารสื่อต้องเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากเดิม และทวีความเข้มข้นมากขึ้น"
นี่เป็นหนึ่งใน 8 เทรนด์สำคัญของดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ปี 2554 ที่ "อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด อินเตอร์
แอคทีฟเอเยนซีไทย ประเมินไว้ พร้อมทั้งบอกว่า ทั้ง 3 บริษัทนี้จะเป็นตัวพลิกโฉมหน้าการทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่สำคัญ และจะพลิกรูปแบบการเข้าถึงสินค้า บริการของกลุ่มคอนซูเมอร์ทั่วโลกในอนาคต

อุไรพร บอกว่า ปัจจุบันแนวโน้มดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งของไทยยังคึกคักต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรที่อยู่บนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีพฤติกรรมการหาข้อมูล และเลือกซื้อสินค้าโดยใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค เป็นผู้ช่วยตัดสินใจ ก่อนที่จะซื้อ โดยใช้ช่องทาง "อีคอมเมิร์ซ" ที่มีเทคโนโลยี และเครื่องมือรองรับเต็มที่ หนุนให้ช่องทางการสื่อสารอินเตอร์แอคทีฟช่วยเร่งยอดขายและสร้างแบรนด์ของสินค้า และบริการได้จริง

"ปีหน้าดิฉันเชื่อว่า จะเป็นปีแห่งการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ออนไลน์มากขึ้น และด้วยเทรนด์ของแพลตฟอร์มใหม่ๆ รวมถึงความฮอตของโซเชียลเน็ตเวิร์คจะทำให้นักการตลาดต้องแบ่งสัดส่วนงบประมาณสำหรับการทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งแบบครบวงจร เป็น 2-10% ของงบการตลาดขององค์กรปี 2554 ขณะที่มูลค่าสื่อออนไลน์หรือดิจิทัล มีเดีย น่าจะมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 2% หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ของมูลค่าสื่อโดยรวมที่ประเมินว่าจะอยู่ระดับแสนล้านบาท"

ปัจจุบัน โซเชียล เน็ตเวิร์คที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุดยังเป็นเฟซบุ๊ค ด้วยจำนวนสมาชิกคนไทยกว่า 6.1 ล้านคน จากการศึกษา พบว่า สมาชิกอยู่ช่วงอายุ 18-24 ปี 40% และ 25-34 ปี 35% โดยคนไทยเข้าไปใช้งานเฟซบุ๊ค 2.2 ล้านคน ยูทูบ 1.2 ล้านคน และทวิตเตอร์ 90,000 คนต่อวัน นั่นหมายถึง ช่องทางการสื่อสารที่ท้าทายนักการตลาด และจำเป็นต้องศึกษาและวางกลยุทธ์ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่จริงจังมากขึ้น รวมทั้งต้องก้าวตามเทคโนโลยีและตัดสินใจเลือกใช้ให้เหมาะสมทันท่วงที ขณะที่ต้องคำนึงถึงผลต่อแบรนด์หรือองค์กรทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วย

เปิด8เทรนด์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งปี54

จากนี้ต่อไป คือ 8 เทรนด์ใหม่ และกลยุทธ์ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ที่จะเป็นกุญแจสำคัญพลิกโฉมการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก

1.กลยุทธ์ออนไลน์ผสมผสานโซเชียลมีเดียอย่างฉลาด (Digital Strategy and Social Media Integration) หรือการผสมผสานดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และโซเชียล มีเดียเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร โครงสร้างนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจออนไลน์เทคนิคต่างๆ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงผลทางการตลาด และติดตามได้ง่าย เป็นการขยายขอบข่ายในดิจิทัล สเปซ เพื่อให้การทำตลาดได้ผลสำเร็จสูงสุด นอกเหนือจากการสร้างเว็บไซต์แนะนำสินค้า สร้างแฟนเพจเฟซบุ๊ค หรือสร้างแอคเคาท์ทวิตเตอร์ นักการตลาดควรต้องคิดว่า ทำอย่างไรถึงให้ช่องทางที่สร้างขึ้นเหล่านี้ สามารถเชื่อมโยงและทำการตลาดร่วมกันได้ ต้องนำไปสู่การครีเอทแคมเปญใหม่ๆ ได้

2. เฟซบุ๊ค ช่องทางสื่อสารที่เนื้อหอม เมื่อเฟซบุ๊คเปรียบเสมือนสมรภูมิที่มีอิทธิพลสำหรับนักการตลาด เพราะความนิยมใช้เป็นทั้งช่องทางโฆษณา และการตลาด แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลกยังคงแข่งขันกันด้วยจำนวนแฟนบนเฟซบุ๊คผู้บริหารควรวิเคราะห์การวัดผล และวางกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับแฟนพันธุ์แท้ที่เป็นลูกค้าตัวจริง อีกทั้งต้องมีมาตรการคัดสรรและสื่อสารกับลูกค้าโดยคำนึงถึงคุณภาพมากกว่าจำนวน

ข้อเท็จจริงที่ถูกมองข้ามเสมอ คือ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ใช่ของฟรี หรือของดีราคาถูก ยิ่งการพัฒนาแอพพลิเคชั่นมากขึ้นของเฟซบุ๊คอย่างเฟซบุ๊ค ช้อป หรือเฟซบุ๊ค เมสเสจจิ้งและอีกมากมายที่กำลังจะปรากฏออกมาเร็วๆ นี้ ย่อมหมายถึง สื่อทรงพลังนี้จำเป็นต้องมีคนมาดูแลบริหารจัดการรับมือและโต้ตอบกับผู้คนที่เข้ามาได้อย่างมืออาชีพในทุกๆ ด้านและตลอดเวลา

3.แบรนด์ เอ็นเกจเมนท์ (Brand Engagement) หรือพลังมัดใจสร้างแฟนพันธุ์แท้ นักการตลาดต้องทำงานหนักเพื่อผูกใจกลุ่มเป้าหมายให้สนใจติดตาม และจดจำแบรนด์ได้มากกว่าคู่แข่ง ด้วยกลยุทธ์ที่แยบยล โดนใจ เข้าถึง ดึงดูดและต่อเนื่องกับผู้บริโภคผ่านทางการตลาดออนไลน์ การสร้างแคมเปญไมโคร ไซต์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถูกใจ และให้ความบันเทิง จะสามารถสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะนำไปสู่แรงผลักดันการตัดสินใจซื้อสินค้าในที่สุด โดยปีหน้าเทรนด์สำคัญที่จะมาแรง นักการตลาดจะหันมาใช้วีดิโอออนไลน์ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น

"เราจะเห็นฟีเจอร์บนโซเชียลมีเดียที่มีบทบาทสร้างแบรนด์ เอ็นเกจเมนท์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียหลักอย่างเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ที่พัฒนาฟังก์ชันกันอย่างไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะเป็นการแนบภาพ การแนบวีดิโอโฆษณาสินค้า บริการ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์นักการตลาดได้"

4.อีคอมเมิร์ซ และ โซเชียลคอมเมิร์ซมาแรง แน่นอนว่าการค้าปลีกออนไลน์ รีเทล อี-คอมเมิร์ซ และการค้าบนเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือโซเชียล คอมเมิร์ซ จะมาแรง ถือได้ว่าปีหน้าจะเป็นปีคิก-ออฟของร้านค้าออนไลน์ทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ของไทย และจำนวนของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมั่นใจกับการจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์มีมากขึ้น นับเป็นช่องทางที่เป็นยุทธศาสตร์การแข่งขันที่น่าจับตามอง เพราะการปิดการขายและชำระเงินได้ทันทีย่อมเป็นเป้าหมายในฝันของธุรกิจส่วนใหญ่

"เจ้าของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรูปแบบต่างๆ จึงต้องมีความสามารถเรื่องการพัฒนาช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ ได้ง่าย ตอบโจทย์การบริหารจัดการและวางแผนการขาย การสต็อกสินค้า และการขนส่งที่แม่นยำ รวมถึงการให้ความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้ ขณะเดียวกันเราจะเห็นร้านค้าออนไลน์แบบโซเชียล คอมเมิร์ซ ที่เข้ามาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น"

5.พลิกโฉมออนไลน์โปรโมชั่น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสีสันมากขึ้น เมื่อนักการตลาดที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมารุกตลาดเพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ อย่าง "Collective Buying Power" ที่นำโดยโซเชียล ดิสเคาท์ (Social Discount) ที่เกิดขึ้นในแคมเปญต่างๆ ทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วของแบรนด์ที่ตอบสนองพลังการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคได้

นอกจากนี้การทำออนไลน์โปรโมชั่นปีหน้าสำหรับร้านค้าออนไลน์จะทวีความเข้มข้น เนื่องจากมีทั้งรายเล็กรายใหญ่เข้ามาแชร์พื้นที่ จะได้เห็นความถี่ในการทำโปรโมชั่นประเภท one-day-deal, weekend deal, friend & family deal มากขึ้น สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่พัฒนาระบบฐานข้อมูลซีอาร์เอ็มอย่างเป็นระบบ จะได้เปรียบในการสร้างโปรโมชั่นเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย (Personalized Deal)

6.สมาร์ทโฟน ไอแพด แทบเล็ต ตัวสร้างประสบการณ์รับรู้ มีอิทธิพลในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานและการรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคอย่างคาดเดาได้ยาก นักการตลาดจึงต้องเข้าใจ และเลือกใช้เทคนิคการสื่อสารและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ให้เหมาะสม เพื่อทำการตลาดอย่างประชิดติดตัวแก่ผู้บริโภค

7. แบรนด์เพิ่มการลงทุนสร้างแอพพลิเคชั่น แนวโน้มนี้ จะพบว่า แบรนด์พากันทุ่มเทงบประมาณมากขึ้นในการสร้างสรรค์แอพ (แอพพลิเคชั่น) บนอุปกรณ์ดีไวซ์ใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเน้นลักษณะของแอพฯ ที่มีเป้าหมายการใช้งานต่างกันมารวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน

ยกตัวอย่าง เช่น รูปแบบของคอมเมอร์เชียล แอพ ทำหน้าที่อัพเดทข้อมูลด้วยการส่งตรงไปยังผู้บริโภค โดยเชื่อมโยงไปสู่ข้อมูลบนเว็บไซต์, อี-แม็กกาซีน อี-แคตตาล็อก ที่ใช้ลักษณะเด่นของสื่ออินเตอร์แอคทีฟ และริช มีเดีย คอนเทนท์ ทำให้เนื้อหาน่าประทับใจชวนติดตาม, ชอปปิง แอพ และจีโอ-โลเคชัน แอพ ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด รวมไปถึงโซเชียล โมบายเกม แอพที่ได้เปรียบในความนิยมของเกมและบันเทิงที่เข้าถึงได้กับทุกกลุ่ม

และ 8.จับตามอง 3 ยักษ์ใหญ่ Google-Apple-FaceBook จะเป็นออนไลน์ แอดเวอร์ไทซิ่ง และมาร์เก็ตติ้ง แพลตฟอร์ม ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์มาตอบสนองความต้องการไม่รู้จบของประชากรบนโลกออนไลน์ได้อย่างชาญฉลาด การวางแผนบริหารสื่อ (Media Strategy & Planning) จะต้องเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากเดิมและทวีความเข้มข้นมากขึ้น การอัพเดทความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีและการเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเป็นสิ่งท้าทายของนักการตลาดเป็นอย่างมาก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

ตัน ภาสกรนที โตอย่างไผ่

กลับไปเล่นน้ำเทศกาลสงกรานต์กับครอบครัวที่ชลบุรีปีนี้ “กระบอกข้าวหลาม” ของฝากข้างทาง จุดประกายให้ผมนึกถึงปรัชญาธุรกิจ “โตอย่างไผ่”
ที่ตั้งใจเก็บมาฝาก เล่าสู่กันฟังครับ

มองเผินๆ กระบอกข้าวหลามจากต้นไผ่ ต้นไม้ลำไม่ใหญ่แถมข้างในเป็นโพรง กิ่งของมันไหวเอนไปตามลม ดูไม่น่าจะแข็งแกร่งแต่กลับแข็งแรงมากกว่าที่เราคิด

ไผ่อายุยืน โตเร็วและทนทาน ขยายพันธุ์จากกอไผ่ต้นน้อย แข่งกันแตกหน่อเติบโตเป็นกอใหญ่ ลำต้นแข่งขันสูงใหญ่ขึ้นไปจนใครๆ มองเห็นทั่ว

ยิ่งแข่งกันสูงใหญ่รับแสงจากดวงอาทิตย์ กอไผ่ยิ่งเติบโต ขยายอาณาจักรของมันออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะสังคมของต้นไผ่แข่งขันกัน แต่ไม่ทำลายกัน

ไผ่หลายกอเติบโตรวมกันยามเมื่อลมพายุแรงๆ พัดใส่ ไผ่กอใหญ่กอนี้จึงแข็งแกร่ง ไม่ล้มหักโค่นลงง่ายๆ

ในความคิดของผม ไผ่จึงยืนหยัดเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงที่สุดท่ามกลางการแข่งขันและอยู่รอด

การโตแบบกอไผ่เคยเป็นกลยุทธ์ที่ผมนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ผมเริ่มต้นทำธุรกิจบนแนวคิด “ใหม่” แตกขยายร้านใหม่ออกไปบนทำเลเดียวกัน ด้วยเป้าหมาย ฝันอยากจะสร้างถนนสายวิวาห์ให้เบ่งบานที่ทองหล่อ เหมือนๆ ที่เกิดขึ้นบนถนนสายทองคำที่เยาวราช

ครั้งแรกที่ผมชวนพนักงานที่เก่งๆ แล้วในร้านแรกออกไปเปิดร้านใหม่แห่งที่ 2 “คุณแมว” หุ้นส่วนคนแรกของผม หวั่นใจไม่น้อยว่าจะเกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันเองหรือไม่

แต่ผมยังคงยืนยันนโยบายเดินหน้าร่วมทุนเปิดร้านใหม่ๆ ให้โอกาสคนเก่งๆ ก้าวออกไปโตเปิดร้านใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่จะร่วมหุ้นเปิดร้านใหม่ บรรดาหุ้นส่วนร้านเดิมทั้งหมดจะสามัคคีกันเป็นแนวร่วมทักท้วง ส่วนรายล่าสุดก็มักจะขอยื่นคำขาดแกมขอร้องว่าให้ผมหยุดที่ร้านเขาเป็นร้านสุดท้ายจะได้ไหม

วันหนึ่งผมเลยต้องเรียกประชุมหุ้นส่วนทุกร้านมาคุยพร้อมกันหมด แจกแจงให้ฟังถึงแนวคิดการทำธุรกิจ เปรียบเทียบให้เห็นถึงการโตอย่างต้นไผ่

ขอให้แต่ละร้านแข่งขันกันเต็มที่ แต่อย่าทำลายกัน ให้แข่งกันที่ความขยัน แข่งกันที่การลดต้นทุน แข่งกันบริการให้ดีที่สุด ใช้การแข่งขันดึงดูดลูกค้า สร้างบรรยากาศตลาดให้คึกคัก

เครือข่ายธุรกิจแบบแข่งขันกันแต่ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เปรียบเหมือนเป็นกอไผ่ที่ยิ่งแตกก็ยิ่งเติบโต

ในที่สุดตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ในบัญชีก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้หุ้นส่วนยอมรับว่าการมีร้านมากขึ้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขายเดิม ตรงกันข้ามกลับเป็นจุดขายที่ทำให้ตลาดยิ่งโตกว่าเดิม

มองย้อนกลับไปวันนี้แม้ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานอาจจะไม่ได้บูมเหมือนยุคขาขึ้นในอดีต แต่การที่เรายังยืนหยัดสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานจนถึงปัจจุบัน

ผมถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็น “ตัวจริง” ในสังเวียนธุรกิจที่ยังยืนหยัดอยู่ได้บนถนนสายเวดดิ้งในทองหล่อ

วันนี้ กลยุทธ์โตอย่างไผ่ยังเป็นโมเดลที่ผมหยิบมาใช้อีกครั้งกับธุรกิจใหม่ร้านราเมนแชมเปี้ยน อารีน่า ทองหล่อซอย 10

โมเดลที่รวมเอาสุดยอด 6 ร้าน “ราเมน” ต้นตำรับมาต่อกรเปิดแข่งกันในพื้นที่เดียวกัน แทนที่จะมองว่าแย่งกันลูกค้า กลับยิ่งช่วยสร้างความคึกคักให้อารีน่ากลายเป็นทำเลนัดพบประสบการณ์ความอร่อยแห่งใหม่ เพราะมีความหลากหลายเมนูและบริการให้ลูกค้าได้เลือกสรรในที่เดียว

นอกจากราเมนทั้ง 6 ร้านจะขายดีแล้ว ร้านช็อกโกแลตและไอศกรีมอย่าง Melt me ก็พลอยคึกคักขึ้นไปด้วย

เมื่อ “การแข่งขัน” กลายมาเป็น “จุดขาย” ทางเลือกใหม่ๆ สำหรับลูกค้า..ยิ่งแข่ง ก็ยิ่งโตครับ

ที่มากรุงเทพธุรกิจออนไลน์

อสังหาฯเฮกู้บ้าน0%นาน2ปี

ธอส.ยันไม่มีล็อกคิวขอสินเชื่อ
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึง โครงการบ้านธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปีว่า ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์มากและทำให้ตลาดกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง รวมทั้งส่งผลดีให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านใหม่อย่างแท้จริง ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่สุดของไทย ในสัดส่วนมากกว่า 70% คาดว่าในสิ้นปีนี้ ภาพรวมยอดการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจะอยู่ที่ 140,000-150,000 ยูนิตในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จากเดิมคาดว่าตลาดจะมียอดการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 120,000 ยูนิต หลังจากมีปัจจัยลบกระทบต่อตลาดทั้งราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ทำบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมที่เปิดให้จองภายในปีนี้อาจจะไม่ได้รับผลดี เนื่องจากการก่อสร้างคอนโด มิเนียมระดับสูงต้องใช้เวลา 2-3 ปีที่อาจจะไม่ทันกับมาตรการที่กำหนดให้จองได้จนถึงสิ้นปีนี้ และต้องโอนบ้านภายในเดือน เม.ย. 55

ขณะเดียวกัน ประเมินว่า มาตรการดังกล่าว ยังทำให้การแข่งขันในตลาดสินเชื่อของไทยรุนแรงมากขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์ ต้องเตรียมออกแคมเปญสินเชื่อบ้านเข้ามาแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดบ้านในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่เป็นตลาดใหญ่สุดเช่นกัน แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าธนาคารพาณิชย์ จะออกแคมเปญสินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1-2 ปีหรือไม่ ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 1-2 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมประมาณ 20,000 ยูนิตในเขต กทม.และปริมณฑล ติดลบ 30% จากปีก่อน เป็นผลมาจากไม่มีมาตรการมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การออกมาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโตได้ดีขึ้น และทำให้ให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจที่จะเร่งลงทุนโครงการใหม่ออกมา เพราะส่งผลให้อารมณ์ในการอยากซื้อบ้านของลูกค้ามีมากขึ้น หลังจากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าไม่มีอารมณ์ในการซื้อบ้านมากนัก เนื่องจากกังวลต่อราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่า หลังจากออกมาตรการแล้ว จะทำให้ตลาดรวมคอนโดมิเนียมในปีนี้มียอดการจดทะเบียนรวม 60,000 ยูนิต อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดมียอดการจดทะเบียนรวม 10,000 ยูนิต อยู่ในระดับที่ติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะปัญหาราคาบ้านที่สูงขึ้น ทำให้ลูกค้าบางส่วนที่ต้องการซื้อบ้านได้รับผลกระทบ ประกอบกับในปีก่อนมีมาตรการกระตุ้นตลาด โดยประเมินว่า ในเบื้องต้น การไม่คิดค่าธรรมเนียมและค่าจดจำนอง จะทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านในระดับราคา 1 ล้านบาท ได้รับส่วนลดในระยะเวลา 2 ปี ประมาณ 150,000 บาท แบ่งเป็น อัตราดอกเบี้ยที่ได้ลดปีละประมาณ 60,000 บาท และอีก 30,000 บาท มาจากการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง และค่าโอน

นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารเตรียมความพร้อมรองรับการแห่ขอกู้เงินของประชาชนในโครงการบ้านธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ที่จะเริ่มวันที่ 9 พ.ค.นี้ไว้แล้ว โดยที่สำนักงานใหญ่คาดว่าจะรองรับผู้มาลงทะเบียนกู้ได้มากกว่า 100 คน หากเตรียมเอกสารพร้อมรับบัตรคิว จะใช้เวลาคนละ 10-15 นาทีเท่านั้น และใช้เวลาอนุมัติ 7 วันตามเกณฑ์ คาดว่าจะช่วยให้ประชาชนมีบ้านไม่ต่ำกว่า 20,000 ครอบครัว โดยเชื่อว่าวงเงินดังกล่าวไม่น่าจะหมดลงภายใน 1-2 วันแรก แต่น่าจะใช้เวลานานถึง 1-2 เดือน เพราะได้กำหนดคุณสมบัติกรองไว้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะกู้ได้ทุกราย โดยธนาคารให้เวลายื่นกู้ได้จนถึงสิ้นปีนี้

สำหรับเงื่อนไขหลัก คือ ต้องกู้ซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านใหม่ เป็นบ้านมือสอง หรือสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จากสถาบันการเงินได้ด้วย กู้ร่วมกับบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแล้วได้ แต่สามีภรรยาไม่สามารถกู้ซื้อบ้านอีกหลัง เพราะถือเป็นบุคคลเดียวกัน ทั้งนี้วงเงิน 25,000 ล้านบาทนั้น จะแบ่งสัดส่วนให้กู้ราคาบ้านต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทสัดส่วน 60-70% ที่เหลือราคาสูงกว่านี้ แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท.
ที่มา เดลินิวส์

ค้น 'อาชีพ' ตลาดต้องการ แนะเทคนิคก้าวสู่ความสำเร็จ

ในช่วงใกล้เปิดเทอมเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ สำหรับผู้ที่ต้องศึกษาต่อคงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์การเรียนให้พร้อม ขณะเดียวกันผู้ที่เรียนจบแล้ว หรือว่าที่บัณฑิตใหม่ภาระหน้าที่ที่ต้องทำต่อไปคงหนีไปพ้นการมองหางานที่ตนเองถนัด และสนใจ ก้าวสู่ชีวิตใหม่...คนทำงาน
เพราะงานทุกประเภทล้วนมีคุณค่า ช่วยเพิ่มทักษะเติมต่อประสบการณ์จากการเรียน อีกทั้งยังนำมาซึ่งรายได้ หากไม่เลือกรอคอยงาน โอกาสจะได้งานทำนั้นอยู่ไม่ไกล บุญเลิศ ธีระตระกูล ผู้อำนวยการกองวิจัยตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตลาดแรงงานเวลานี้จากแนวโน้มภาคการผลิตหลักซึ่งได้แก่

ภาคการเกษตร การอุตสาหกรรมและการบริการ แนวโน้มด้านการบริการมีการเติบโตมากกว่าทุกภาคการผลิต มีผู้ทำงานมากขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอาชีพในช่วงปี พ.ศ.2553-2557 ที่กองวิจัยตลาดแรงงานศึกษาโดยดูข้อมูลย้อนหลังกลับไป 9 ปี จากฐานข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ งานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาถึงอาชีพที่กำลังขยายตัวและอาชีพที่เริ่มลดถอยลงเพื่อประมาณการแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเภทอาชีพ อีกทั้ง เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการมีงานทำของประชาชนเพื่อเป็นข้อมูลให้แก่นักเรียน นักศึกษา คนหางานและประชาชนได้ใช้วางแผนอาชีพ

“จากการศึกษาจะเห็นว่าตำแหน่งงานภาคบริการ อย่างเช่น พนักงานขายของหน้าร้าน พนักงานสาธิตแนะนำสินค้ามีความต้องการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละสามแสนกว่าคน ขณะที่ผู้ขายสินค้าตามแผงร้านค้าในตลาดก็มีตัวเลขไม่น้อย ฯลฯ อีกด้านหนึ่งในภาคการเกษตรพวกไม้ผล พืชผัก ไม้ยืนต้น ไม้พุ่มก็มีตัวเลขเพิ่มขึ้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีภาคบริการอื่น ๆ ซึ่งแสดงว่าทิศทางด้านการบริการกำลังเติบโต”

นอกจากงานภาคการบริการ งานช่างที่มีหลากหลายแขนงก็ยังคงมีความต้องการสูงเช่นกัน อาทิ ช่างยนต์ ช่างเชื่อม ซึ่งถ้าเป็นช่างเชื่อมถังน้ำมัน ช่างเชื่อมเกี่ยวกับคอนกรีตรับแรงระดับสูง เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน ฯลฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญความชำนาญเฉพาะด้านเหล่านี้ก็เป็นที่ต้องการมากเช่นกัน

จากโครงสร้างการศึกษาหากดูที่ตัวเลข ไม่ใช่เพียงเฉพาะในมหาวิทยาลัย ในโรงเรียน ทุกอายุรวมกันสำหรับคนที่อยู่ในวัยทำงานอยู่ในตลาดแรงงานพบว่า มีทุกระดับ ขณะที่ตลาดแรงงานต้องการวิชาชีพทางด้านธุรกิจการค้า การบริการ เกี่ยวกับการช่าง แต่อย่างไรแล้วบัณฑิตที่จบการศึกษามาทางสายวิชาการ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บัณฑิตว่างงาน

จากประมาณการที่จะมีผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับขั้นเข้าสู่ตลาดแรงงานในปีนี้ ในระดับปริญญาตรี ซึ่งจะมีประมาณสองแสนกว่าคน ระดับ ปวช. 3 และ ปวส.รวมกันประมาณแสนคน ซึ่งมีอยู่น้อยแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกับตลาดงานและจากงานวิจัยยังแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องทั้งทางด้านความสามารถ วุฒิการศึกษา ฯลฯ

“โครงสร้างประชากรของเรากำลังไปสู่สังคมผู้สูงอายุคนรุ่นใหม่ไม่พอแทนที่คนรุ่นเก่า สภาพในวันนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ดีมานด์ซัพพลายทางด้านแรงงานก็มีความต่างกัน อีกทั้งตลาดงานในวันนี้ภาคบริการก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคการเกษตรเริ่มลดลง แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ว่างงานบ้านเราในภาพรวมยังคงไม่น่าห่วง”

ในส่วนของบัณฑิตจบใหม่จากข้อมูลพบว่ามีการผลิตสายวิชาการออกมามาก แต่ถ้าบัณฑิตไม่เลือกงานไม่กะเกณฑ์ว่าเรียนมาอย่างนี้แล้วต้องทำงานด้านนั้น รอและเลือกงาน คำตอบก็คือยังมีงานให้ทำ เพียงแต่ว่าจะเลือกหรือเปล่า ทั้งนี้เพราะบางคนมีทัศนคติว่าการไม่ได้ทำงานตามวุฒิไม่มีศักดิ์ศรี คิดไปว่าการว่างงานมีศักดิ์ศรีดีกว่า ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง

’ทัศนคติของบัณฑิตสิ่งนี้มีความสำคัญควรปลูกฝังเยาวชนให้มีเป้าหมายในชีวิต สู้ชีวิต ซึ่งหากพบความต้องการในชีวิตแล้ว มีความมุ่งมั่นมานะพยายามไปให้ถึงก็จะประสบความสำเร็จได้และเมื่อจบการศึกษาการมีงานทำถือเป็นเกียรติศักดิ์ศรี สิ่งนี้ควรจะส่งเสริมปลูกฝังยกย่อง สร้างทัศนคติค่านิยมให้มองเห็นคุณค่าของการทำงานกันยิ่งขึ้น“

ขณะที่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญควรมีเป้าหมายรู้จักตนเองว่ามีความต้องการอะไร การค้นเจอตนเองเร็วก็จะยิ่งไปถึงสิ่งที่มุ่งหวังประสบความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผู้ปกครองสามารถเป็นแรงเสริมสนับสนุนให้กับเด็ก ๆ ได้

แต่อย่างไรแล้วไม่ว่าจะเรียนอะไร สิ่งสำคัญอยู่ที่ความเชื่อมั่น มีเป้าหมายในชีวิตซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะเป็นทางออกที่จะไม่ทำให้เคว้งคว้าง ไม่มีงานทำ นอกจากนี้ในการรองรับนักศึกษาที่จะจบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางานได้เตรียมจัดวันนัดพบแรงงานโดยปีนี้ในกรุงเทพมหานครจะมีขึ้นที่กระทรวงแรงงานในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นักศึกษาจบการศึกษา

ขณะเดียวกันกรมการจัดหางานยังมีสำนักงานจัดหางานจังหวัดอยู่ทั่วประเทศผู้ที่ประสงค์ทำงานก็สามารถสมัครได้โดยมีอีกหลายตำแหน่งที่รอรับอยู่ อีกทั้งมีการฝึกอบรมระยะสั้นหลายหลักสูตรเพื่อเติมต่อทักษะประสบการณ์ ฯลฯ

ส่วนทางด้านอาชีพอิสระจะเห็นว่าได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไรก็ตามคงต้องมีความเชี่ยวชาญและการจะได้งานทำหรือก้าวเดินในชีวิตการทำงานอย่างมั่นใจไม่สะดุดนั้นทั้งหมดนี้เริ่มได้จากตัวเอง ค้นเจอในสิ่งที่ถนัดสนใจ เด็ดเดี่ยวในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤติใดก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดีได้ในที่สุด.

6 ข้อไม่ควรปฏิบัติในการสัมภาษณ์งาน

ก่อนสัมภาษณ์จะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งต้องตรงต่อเวลานัดหมาย โดยควรไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัดหมายประมาณ 10-15 นาที ควรเตรียมข้อมูลทั้งข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลตำแหน่งงานและหน่วยงานที่จะไปสมัครรวมถึงความรู้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะที่หลากคำถามที่ปรากฏในใบสมัครอาจกลายเป็นข้อสัมภาษณ์ดังนั้นควรกรอกตามความเป็นจริง ส่วนสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการสัมภาษณ์นั้น 1. ไม่ควรรับนัดสัมภาษณ์วันละหลาย ๆ แห่งเพราะอาจเกิดเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถไปได้หรือเกิดความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย 2. ไม่ควรนำพ่อ แม่และเพื่อนไปสัมภาษณ์ด้วย เพราะผู้สัมภาษณ์อาจมีความรู้สึกว่าผู้สมัครไม่มีความมั่นใจในตัวเอง 3. ไม่ควรแสดงอาการประหม่า หากตื่นเต้นควรสูดหายใจลึก ๆ ทำใจให้สบาย 4. ไม่ควรสวมแว่นกันแดด 5. ไม่ควรแสดงอาการกระตือรือร้นว่าอยากได้งานจนไม่เหมาะสม พึงนึกเสมอว่าเรามีข้อดีจนงานต้องการเราไม่ใช่เราต้องการงานเพียงฝ่ายเดียว และ 6. ไม่ควรแย่งพูดขณะตั้งคำถามและไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง.

ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

มีความต้องการสูงทองคำคาดว่าจะทะลุ 1,500 ดอลลาร์

ปัจจัยที่ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จนทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนในเวลานี้เกินระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาเงินที่พุ่งสูงทำสถิติในสัปดาห์นี้เช่นเดียวกัน
เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ เสถียรภาพของเงินตรา และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาทิ วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อในจีน ยิ่งทำให้ความต้องการทองคำมีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เวลานี้มีทองคำอยู่ในกองทุน exchange-traded รวมทั้งสิ้น 2,111 เมตริกตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 1.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อคำนวณจากราคาปัจจุบัน
การที่ทองคำได้รับความสนใจมากขึ้นส่งผลให้ราคาขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อราคาทองเพิ่มขึ้นความต้องการก็ยิ่งสูงตามไปอีก ในปี 2553 เพียงปีเดียว ทองคำมีราคาเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30% อย่างไรก็ดีในเวลานี้ราคาทองสูงขึ้นมาถึงระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญบางรายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าแนวโน้มราคาทองจะอ่อนตัวลงหรือไม่ "นักลงทุนจะเชื่อว่าราคาทองสูงเพียงพอแล้ว และรอก่อนจะลงทุนครั้งใหม่หรือไม่ นี่จะเป็นคำถามสำคัญ" จอร์จ เกโร รองประธานของอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ โกลบอล ฟิวเจอร์ส ให้ความเห็น
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20 เม.ย.) ราคาทองคำซื้อขายล่วงหน้าในตลาดโคเม็กซ์ที่จะส่งมอบในเดือนเมษายน พุ่งสูงถึง 1,505.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,498.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสัญญาซื้อขายทองคำที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดเป็นของงวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ซึ่งปิดตลาดที่ 1,498.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากพุ่งทำสถิติในระดับ 1,506.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ความต้องการซื้อขายทองคำล่วงหน้าซึ่งราคามีความสัมพันธ์กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้ทองดูเหมือนมีราคาถูกลงในสายตาของนักลงทุนนอกสหรัฐฯ นักลงทุนนิยมซื้อทองเพื่อใช้ประกันความเสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงิน จากประวัติศาสตร์ที่ทองเคยทำหน้าที่เป็นตัวเลือกเข้ามาทดแทนเงินตรา
การเพิ่มขึ้นของทองคำในกองทุน exchange-traded ส่งผลดีต่อราคาทอง เพราะช่วยทำให้การซื้อขายและจัดเก็บทองคำจริงๆ ของนักลงทุนรายย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เอสดีพีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ กองทุนลักษณะดังกล่าวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เวลานี้มีทองคำอยู่ในมือประมาณ 1,230 เมตริกตัน และเป็นเจ้าของทองในปริมาณมากเป็นอันดับ 4 รองจากธนาคารกลาง 3 แห่ง
จนถึงตอนนี้ ราคาทองในตลาดอยู่ในราคาที่สูงมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่ผิดกับช่วงทศวรรษ 1990 ที่การลงทุนในทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่สวนกระแส
ด้านราคาซื้อขายเงินล่วงหน้าก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำ โดยสัญญาซื้อขายงวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหวสูงที่สุด ปิดตลาดที่ 44.461 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากสร้างสถิติสูงสุดที่ 45.400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาดังกล่าวทำลายสถิติเดิมที่ 41.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2523

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,629 24-27 เมษายน พ.ศ. 2554

"กฤษฎา อุทยานิน" ไขข้อข้องใจ "กองทุน" การออมแห่งชาติ

ในอีก 1 ปีข้างหน้า ชื่อของ "กองทุนการออมแห่งชาติ" หรือ กอช. คงจะเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเหมือนกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เพราะเป็นการออมอีกทางเลือกของการประกันรายได้เพื่อชราภาพ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับประมาณ เม.ย. 2554 หรือ 360 วัน นับตั้งแต่ พ.ร.บ.พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ได้ลงราชกิจจานุเบกษา แต่ขณะนี้กฎหมายอยู่ในขั้นตอนรอโปรดเกล้าฯ
ดังนั้น เพื่อทำความรู้จักกับ กอช. และสิทธิประโยชน์ที่ผู้เป็นสมาชิกควรรู้ในเบื้องต้น "ประชาชาติธุรกิจ" จึงได้สัมภาษณ์ "นายกฤษฎา อุทยานิน" ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) หนึ่งในทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาโดยตลอด ได้ตอบทุกคำถามที่ข้องใจ

- กลุ่มเป้าหมายสมาชิก กอช.คือใคร

ผู้มีสิทธิเป็นสมาชิก กอช.คือ แรงงานที่ไม่มีนายจ้าง อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปี ยกเว้นปีแรกผู้ที่อายุเกิน 60 ปีสามารถเป็นสมาชิกได้ ทั้งหมดนี้ครอบคลุมแรงงาน 30-40 ล้านคน ซึ่งช่วงแรกของการเปิดรับสมาชิกคิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นเกษตรกรในชนบท และกลุ่มการออมในชุมชนต่าง ๆ เพราะเท่าที่ลงพื้นที่ 7-8 ครั้งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยกลุ่มการออมของชุมชนต่าง ๆ มองว่า กอช.เป็นของแถม คือปกติออมกันเองไม่มีใครสมทบ เมื่อมี กอช.ก็จะออมมากขึ้น และนำเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นไปออมกับ กอช.ซึ่งได้เงินสมทบจากรัฐบาลด้วย
- ทำไมต้องจำกัดเงินออม 50-1,100 บาท

ที่จำกัดการออมเพราะต้องการให้รัฐบาลไปการันตีว่าจะจ่ายผลตอบแทนไม่ให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง อีกเหตุผลหนึ่งคือ รัฐบาลมีภาระต้องจ่ายเงินสมทบ ซึ่งจากการคำนวณเบื้องต้นพบว่า หากประชาชนคนไทยวิ่งเข้าโครงการนี้ทั้งหมด รัฐบาลจะต้องใช้เงินประมาณ 33,000 ล้านบาทต่อปี ถือว่ามากพอสมควรสำหรับรัฐบาลไทยที่มีเงินไม่มากนัก

นอกจากนี้ การที่กำหนดขั้นต่ำเพียง 50 บาทต่อเดือน เพื่อให้นับหนึ่งหรือเป็นจุดเริ่มต้นของการออมอย่างแท้จริง คือออมสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ตัวเลขนี้สามารถปรับแก้ไขได้ โดยกฎหมายเขียนไว้ว่าสามารถทบทวนได้ทุก 5 ปี โดยจะพิจารณาจากเงินเฟ้อ และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

- ผลตอบแทนที่สมาชิกจะได้รับ

รัฐบาลการันตีจะจ่ายผลตอบแทนไม่ให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง แต่ในทางปฏิบัติจริงคิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่านั้น โดยมีสมมติฐานว่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5% ซึ่งค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่ต้องยอมรับความจริงว่าตัวเลขนี้ยังไม่ได้หักเงินเฟ้อออก อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ในอดีต เช่น การบริหารกองทุนของ กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนประกันสังคม เขาบริหารจัดการได้ผลตอบแทน 6-8% ดังนั้นถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีด้วย

- บำนาญที่ได้รับจะพอยังชีพไหม

ขึ้นอยู่กับเงินที่ออม และอายุ ถ้า ออมน้อย หรืออายุมากก็อาจจะได้เงินบำนาญไม่พ้นเส้นความยากจน โดยการออมแต่ละช่วงอายุ และจำนวนเงินที่แตกต่างกัน (ดูตาราง) ก็จะได้รับเงินบำนาญไม่เท่ากัน เช่น ถ้าออมตั้งแต่อายุ 15-60 ปี เป็นเงิน 50 บาททุกเดือน จะได้บำนาญ 764 บาทต่อเดือน แต่ถ้าออม 1,100 บาททุกเดือน จะได้บำนาญ 10,795 บาทต่อเดือน

- ความเสี่ยงการบริหารเงิน กอช.

ทุกอย่างมีความเสี่ยง แต่ต้องบริหารจัดการไม่ให้เสี่ยงมากนัก ในช่วงแรกเชื่อว่าคณะกรรมการลงทุนของ กอช.จะระมัดระวังเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และพันธบัตรของรัฐบาลเป็นหลักคล้าย ๆ กับกองทุนประกันสังคมที่ลงทุนในตราสารหนี้ถึง 80% แต่ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะไม่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนของ กบข.ที่มีการลงทุนเสี่ยงมากกว่า

สุดท้าย นายกฤษฎามีความฝันว่า กองทุนจะเป็นพลังของชาติ เพราะกองทุนนี้จะโตเร็ว สมมติถ้าเกิดคนเข้าเป็นสมาชิก 50% ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด แล้วรัฐบาลสมทบด้วย ปีหนึ่งก็จะได้เงิน 50,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยเมื่อมีการบริหารจัดการที่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริง อีก 10 ปีจะเห็นกองทุนที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านล้าน และอีก 20 ปีอาจกลายเป็น 10 ล้านล้าน ทำให้กองทุนนี้จะเป็นพลังของชาติ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ขายประกันผ่านทีวีสไตล์ "ซิกน่าฯ" ปรับกระบวนการขาย-ปั้นโมเดลเจาะใจลูกค้า

ปัจจุบันการทำการตลาดภาพยนตร์โฆษณาช่องทางขายตรงผ่านโทรทัศน์ (Direct Response Television : DRTV) ของธุรกิจประกันกำลังเติบโตมาก ซึ่ง "ซิกน่าประกันภัย" ถือว่าเป็นบริษัท แรก ๆ ที่นำร่องทำการตลาดผ่าน ช่องทางนี้ และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เบี้ยกระโดดกว่า 100% สะท้อนความสำเร็จได้เป?นอย่างดี ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสได้พูดคุยกับ "อรนาฎ นชะพงษ์" ผู้จัดการการตลาดด้านช่องทางการตลาด บมจ.ซิกน่าประกันภัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์ DRTV ของซิกน่าฯมาตั้งแต่เริ่มต้น

จับเทรนด์ลูกค้าห่วงใยครอบครัว

อรนาฎเริ่มต้นเล่าว่า จากการสำรวจแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคในเวลานี้หันมามองความสำคัญและห่วงใยคนในครอบครัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ซิกน่าฯจึงจับแนวคิดนี้มาต่อยอดเป็นโปรดักต์หลักของปีนี้ด้วย "ซื้อ 1 ดูแล 2" ที่ให้ความคุ้มครองทั้งผู้ซื้อกรมธรรม์และบุคคลในครอบครัวด้วยอีก 1 คน ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ สามี ภรรยา หรือลูก ซึ่งสร้างจุดขายใหม่ของโปรดักต์ และลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ที่ "มากกว่า"

กลุ่มเป้าหมายหลักของโปรดักต์นี้จะเน้นที่วัยทำงานอายุ 30-45 ปี เพราะมีกำลังซื้อดี เป็นกำลังหลักของครอบครัว หลังจากออกอากาศมาได้ระยะหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่า ลูกค้าตอบรับค่อนข้างดี โทร.เข้ามาติดต่อที่คอลเซ็นเตอร์เฉลี่ย 300-400 สายต่อวัน จึงค่อนข้างมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้ซิกน่าฯสามารถสร้างเบี้ยจาก DRTV ในปีนี้ได้ถึง 140 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 40%

ขายประกันอย่าง "รู้จักลูกค้า"

นอกจากโปรดักต์ที่เป็นจุดขายแล้ว อรนาฎบอกอีกว่า หัวใจหลักอีกอย่างหนึ่งก็คือ "กระบวนการขาย" ที่รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ก่อนจะเลือกรูปแบบความคุ้มครองที่เหมาะสม ทำให้โอกาสในการปิดการขายได้เมื่อลูกค้าโทร.เข้ามาจึงค่อนข้างสูง ประมาณ 30% ของจำนวนสายที่โทร.เข้ามา

"กลยุทธ์การขายของเราไม่ได้มีแค่โปรดักต์เดียว แต่เราต้องมีโปรดักต์สำรองไว้นำเสนอเพิ่มเติม เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลแบบรายเดี่ยว ประกันชดเชยรายได้ หรือประกันสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งลูกค้าอาจซื้อเพื่อให้พ่อหรือแม่แทนก็ได้ ส่วนกรณีลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เราก็สามารถนำเสนอความคุ้มครองอื่น ๆ เสริมเข้าไปได้ เช่น ขยายเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ครอบคลุมได้ตั้งแต่อายุ 1-70 ปี"

ดังนั้น กระบวนการขายที่ตรงกับความต้องการลูกค้าจริง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การมีโปรดักต์ประกัน สุขภาพและอุบัติเหตุที่หลากหลาย ซึ่งอัตราต่ออายุเบี้ยประกันที่เกิน 4 เดือนขึ้นไปของซิกน่าฯสูงถึง 60-70% จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงกระบวนการขายผ่านช่องทาง DRTV อย่างมีประสิทธิภาพ

ชูโมเดลใหม่เพิ่มประสิทธิภาพ

แม้จะสามารถปิดการขายได้สูงถึง 30% ดังกล่าว แต่ในมุมมองของอรนาฎเองก็ไม่ได้ละทิ้งลูกค้าอีก 70% ที่ยังปิดการขายไม่ได้ เพราะถือเป็น "การบ้าน" ที่ทีมขายต้องมานั่งคิดต่อว่า จะนำเสนอขายโปรดักต์อะไรที่ตรงกับความต้องการลูกค้า โดยซิกน่าฯจะมีโมเดลการวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้า (Customer Value Management : CVM) มาช่วยอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นโมเดลที่ "ซิกน่าฯ" พัฒนาขึ้นมา และประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้สำหรับการขายในหลายประเทศมาแล้ว

"ลูกค้าบางรายอาจจะยังไม่ตัดสินใจซื้อในครั้งแรกก็ได้ เราอาจจะเว้นระยะไปอีก 1-2 เดือน วิเคราะห์ลูกค้าใหม่ หาโปรดักต์ที่น่าจะเหมาะสมกับลูกค้ามาตอบโจทย์ ซึ่งขณะนี้เรากำลังศึกษาระบบการขายใหม่ที่จะใช้โมเดล CVM เข้ามาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดต่อเข้ามาได้เลย เพื่อนำเสนอโปรดักต์ได้ตรง มากขึ้น โอกาสปิดการขายเพิ่มขึ้น และประหยัดเวลาด้วย"

รุก "เคเบิลทีวี-อินเทอร์เน็ต"

อรนาฎบอกว่า ปีนี้ซิกน่าฯยังเริ่มเข้ามาทำโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีอีกด้วย ซึ่งผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มลูกค้าที่สนใจบางรายการที่อยู่ในเคเบิลทีวี เช่น ข่าว สารคดี วาไรตี้โชว์ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สนใจซื้อประกันภัยเช่นกัน แม้ว่าวอลุ่มอาจจะไม่มากเท่าฟรีทีวี แต่ก็เป็นโอกาสที่จะขยายการรับรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และการแข่งขันยังน้อย

เช่นเดียวกับช่องทางอินเทอร์เน็ตที่ซิกน่าฯให้น้ำหนักมากขึ้น เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนวัยทำงานที่ชอบหาข้อมูล และเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของโปรดักต์แต่ละแบบก่อนจะตัดสินใจซื้อ น่าจะช่วยสร้างเบี้ยให้บริษัทได้อีก 15-20% จากเป้าหมายเบี้ยทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแผนจะออกประกันโรคมะเร็งมาชิมลางตลาดในประมาณไตรมาส 3 หากได้ผลตอบรับที่ดีก็อาจจะต่อยอดมาขายผ่าน DRTV ในอนาคตต่อไป

ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้นที่อรนาฎมองโจทย์สำหรับปีนี้เท่านั้น แต่ในระยะยาวอีก 4 ปีข้างหน้า เธอเชื่อมั่นว่าซิกน่าฯจะสร้างเบี้ยได้เติบโตขึ้นไปอีก 3 เท่าจากปัจจุบัน เพราะอัตราการ มีประกันภัยของคนไทยยังค่อนข้างต่ำ เพียง 16-20% เท่านั้น ดังนั้นตลาดนี้ จึงยังเปิดกว้างอยู่ และซิกน่าฯซึ่งมีประสบการณ์ในการทำตลาด DRTV จนประสบความสำเร็จมาหลายประเทศแล้ว ย่อมมีโอกาสมากขึ้นอย่างแน่นอน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ความ(ไม่)รู้เรื่องเศรษฐกิจ

ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เมืองไทยแลนด์ที่รักของผมและของคุณมีเศรษฐกิจดีหรือไม่

รู้อย่างเดียวว่า อาหารการกินแพงกว่าปีที่แล้ว

ของกินที่ผมชอบ เพิ่มราคาทั้งนั้น เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู แม้ข้าวแกงก็แพงขึ้น

เหตุที่ของกินราคาแพง ผู้รู้คนหนึ่งบอกผมว่า

เกิดจากเศรษฐกิจของโลก แปลว่า แพงไปทั้งโลก ไม่ได้แพงเฉพาะเมืองไทย สาเหตุใหญ่มาจากน้ำมันแพง ของกินก็ต้องแพงตาม

บางคนก็ว่าเหตุที่ค่าครองชีพของคนไทยสูงขึ้นก็เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ก็เหมือนกับสิงคโปร์ รัสเซีย และอีกหลายประเทศ

ประเทศใดก็ตาม ถ้าค่าครองชีพสูง ประเทศนั้นเศรษฐกิจดี เขาว่าอย่างนั้น

หลายคนด่ารัฐบาลว่า บริหารประเทศอย่างไร ทำให้ของกินแพง

แต่บางคน โดยเฉพาะเจ้าของสวนยางพารากลับพอใจที่ยางพาราราคาสูงกว่าทุกสมัยที่ผ่านมาทำให้มีเงินซื้อของแพงกิน

ทั้งราคาอาหาร และราคายางพารา อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล แปลว่า ของสองอย่างที่ว่านี้จะแพงหรือถูก ไม่ได้เกิดจากฝีมือของรัฐบาล มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ

ถูกแล้ว ผู้ใดมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้จะต้องพบกับอาหารแพง และยางพาราราคาสูงทั้งนั้น

ถ้ามองภาพรวมทั้งหมด แล้วไปถามฝ่ายรัฐบาลว่าปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจของไทยดีหรือไม่

“ดีมาก ๆ” ฝ่ายรัฐบาลจะต้องตอบอย่างนี้

หากไปถามฝ่ายค้านก็ต้องได้รับคำตอบตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

จึงเชื่อไม่ได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน หรือเชื่อตัวเองก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้

สำหรับผม ผมจะวัดว่าเมืองไทยเศรษฐกิจดีหรือไม่แบบมวยวัด คือ จากการสังเกต

วิธีสังเกตแบบของผม ทำได้ง่ายนิดเดียว เช่น เวลานั่งรถขึ้นทางด่วน ผมจะมองป้ายโฆษณาและตึกสูง

สมัยที่เมืองไทยยุคฟองสบู่แตก

สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่ามีตึกร้าง และตึกที่ก่อสร้างคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ตึกที่สร้างเสร็จแล้ว บางชั้นก็ปิดไฟมืด เพราะไม่มีคนอยู่

ป้ายโฆษณาริมทางด่วนก็มีแต่โครงเหล็กขึ้นสนิม

ทว่าในปัจจุบัน ตึกร้าง ตึกที่ก่อสร้างค้างอยู่แทบไม่มีเลย มีแต่ตึกสูงที่ก่อสร้างขึ้นมาใหม่มากเหลือเกิน โดยเฉพาะริมถนนคู่ขนานไปกับรถไฟฟ้า

โครงเหล็กที่ติดตั้งป้ายโฆษณาก็ปิดป้ายโฆษณาเต็มทุกป้าย แทบไม่มีโครงเหล็กว่างให้เห็น

บนถนนของกรุงเทพฯ ผมจะพบเห็นรถเก๋งป้ายแดงมากเหลือเกิน โดยเฉพาะรถขนาดเล็ก

บังเอิญว่า งานมอเตอร์โชว์เพิ่งจัดผ่านไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ เจ้าของงานคือคุณปราจิน เอี่ยมลำเนาให้ข่าวสื่อมวลชน สรุปได้ว่า

ปีนี้มีคนสั่งซื้อรถมากกว่าปีที่แล้ว และมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา

คนสั่งซื้อรถมีถึงสามหมื่นกว่าคัน คิดเป็นเงินห้าหมื่นกว่าล้านบาท

มิน่ารถป้ายแดงจึงแล่นเพ่นพ่านทั่วกรุง

รถเก๋ง รถปิกอัพ ในเมืองไทยขายดี โดยเฉพาะภาคใต้ของไทยขายรถปิกอัพได้มากคันติดอันดับโลก เพราะราคายางพาราเป็นต้นเหตุ

ถ้าอุทกภัยไม่มาทำให้หยุดชะงัก เศรษฐกิจของคนภาคใต้คงไปได้ดีกว่านี้

ที่ศูนย์การค้าที่ผมไปซื้อของและนั่งจิบกาแฟเขียนหนังสือเป็นประจำนั้น

มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของมากเหลือเกินโดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์

เมื่อสามปีที่แล้ว ศูนย์การค้าแห่งนี้มีขนาดไม่ค่อยใหญ่โตอะไรมากนัก ปัจจุบันได้ขยายเนื้อที่กว้างขึ้น ทั้งขายของ ขายอาหาร แล้วยังเพิ่มโรงภาพยนตร์เข้าไปอีก

ที่ถนนหน้าหมู่บ้านของผมซึ่งถือเป็นย่านบันเทิงแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันมีแหล่งบันเทิงประเภทคาราโอเกะ โรงนวด ร้านอาหารเพิ่มขึ้นเหมือนดอกเห็ด

เนื่องจากระยะนี้เป็นหน้าร้อน สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลจึงคึกคักทั่วภาคใต้

นักท่องเที่ยวมีทั้งคนไทย คนเทศ ที่สนามบิน พบว่ามีคนไทยพากันไปเที่ยวต่างประเทศมากเหลือเกิน

ขณะเดียวกัน คนต่างประเทศก็มาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น สังเกตจากงานสงกรานต์ปีนี้ มีฝรั่งปะปนอยู่กับคนไทยเล่นน้ำสงกรานต์มากเป็นพิเศษ

เมื่อพูดถึงงานสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านมานี้ นับได้ว่าคึกคักและครึกครื้นกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา

ผู้คนพากันออกมาเล่นน้ำสงกรานต์กันเต็มถนน เต็มวัด ทั่วประเทศ

เป็นการฉลองสงกรานต์ที่มีใบหน้าบอกให้รู้ว่ามีความสุข

ถ้ามองงานสงกรานต์รู้ได้ทันทีว่าความสุขกำลังกลับมาสู่เมืองไทยอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ข้อสังเกตของผมดังกล่าวข้างต้น จึงน่าจะยืนยันได้ว่า เมืองไทยเศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน นี่ขนาดบ้านเมืองไม่ปกติ ไม่งั้นเศรษฐกิจคงจะดีกว่านี้

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมืองไทยจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะต้องต่อสู้กันมันหยด เพราะฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้อีกหน

ส่วนฝ่ายค้านจะต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อต้องการพา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทยโดยไม่ต้องติดคุก

ช่วงระยะหาเสียงการเงินต้องสะพัดมากขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอีก จากการทุ่มเงินของนักการเมืองนั่นเอง.


ไมตรี ลิมปิชาติ
ที่มา เดลินิวส์

ศึกษาอนาคตตลาดเพชร-พลอย ตามรอย'งานแสดงอัญมณีโลก' ที่ฮ่องกง

นับถอยหลังไปราว 5 ปี ก่อนหน้านี้ งานแสดงสินค้าอัญมณีที่ฮ่องกง มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมงานกันอย่างหนาแน่น รวมถึงงานล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่เพิ่งผ่านไป เหตุผลหนึ่งอาจเป็นผลมาจากรัฐบาลฮ่องกงยกเว้นภาษี แต่ที่สำคัญสุดก็เนื่องเพราะลูกค้าจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากจะทะลักเข้ามาร่วมงานนี้ไม่ขาดสาย

จากข้อมูลที่ได้รับจากผู้ประกอบการไทยที่มาออกร้านในงานแสดงสินค้าอัญมณีที่ฮ่องกงนี้พบว่า งานแสดงสินค้าอัญมณีในไทยชาวต่างชาติเข้าไปเลือกซื้อน้อยลง จนส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายทยอยปิดตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการอย่าง เคนเนธ สคาแรทท์ ชาวอังกฤษที่เดิมเป็นทหารในกองทัพผ่านสงครามศาสนามาสามครั้ง จนตำแหน่งสุดท้ายทางราชการเป็นทหารรักษาเครื่องเพชรของพระราชินี หลังจากนั้นได้ศึกษาศาสตร์อัญมณีเรื่อยมา ปัจจุบันคุมบังเหียนเป็น ผู้จัดการสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (จีไอเอ) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและตรวจวิเคราะห์อัญมณี จีไอเอ ประเทศไทย มองว่า ตอนนี้อัญมณีมีการปรับเปลี่ยนมากมายเพื่อให้เป็นสีหรือรูปทรงที่ได้รับความนิยม ดังนั้น การซื้อขายโดยมีใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณี จึงมีความจำเป็น ขณะเดียวกันสถาบันที่ออกใบรับรองต้องไม่มีข้อเกี่ยวพันกับร้านค้า

ด้าน การเลือกซื้ออัญมณีควรดูแบบที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะยิ่งผ่านการปรุงแต่งมากเท่าไหร่ราคาการขายยิ่งถูก สำหรับ พลอยจะนิยมแบบไม่เผา และจะไม่มีการแยกประเภทแต่จะแบ่งได้ตามแหล่งที่มา เช่น พลอยพม่า พลอยโคลัมเบีย ไม่ต่างจากมุกที่ต้องดูถึงความสะอาดในเม็ด ที่ผ่านมาร้านค้ามุกเคยประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากมุกน้ำจืดจากจีนล้นตลาด ซึ่งตอนนั้นสามารถนำมุกมาทำเป็นกระดุมขายได้เลย

“เป็นเรื่องยากที่จะบอกผู้ซื้อว่า อัญมณีชิ้นไหนเป็นของจริงหรือของปลอม หากไม่นำเข้าไปตรวจในห้องวิจัย ผู้ซื้อส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานทางอารมณ์และความพึงพอใจในสินค้าเป็นหลัก ทางที่ดีหากเป็นสินค้าจิวเวลรี่ราคาไม่แพงไม่จำเป็นต้องขอดูใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณี แต่ถ้าสินค้านั้นต้องใช้เงินเดือนถึงสามเดือนซื้อจำเป็นจะต้องขอดูเพื่อความมั่นใจในสินค้า”

นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงต่อลูกค้า ในภาพรวมตลาดอัญมณีทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีราคาสูงเนื่องจากหลายเหมืองในต่างประเทศเริ่มปิดตัวลง อย่างเช่น พลอยแดงของไทยที่ไม่มีการทำเหมืองแล้ว แต่สินค้าที่อยู่ในตลาดจะเป็นของเก่าที่นำมาขายใหม่และคุณภาพแต่ละเหมืองจะไม่เหมือนกัน หากยังไม่มั่นใจสามารถนำมาตรวจในศูนย์วิจัยได้

“การซื้อเครื่องประดับนอกจากต้องคำนึงถึงความชอบแล้วยังต้องให้ความสำคัญของฐานะการเงินตนเอง ไม่ควรซื้อมากจนตนเองต้องเดือดร้อน ควรใช้อย่างพอเพียงไม่เกินตัวมากกว่าจำเป็น”

ด้าน พิราพรรณ เบลม้อนท์ ผู้บริหารร้าน เค.วี.เจมส์ ซึ่งนำพลอยของร้านมาขายในครั้งนี้ เป็นอีกคนที่มองการเปลี่ยนแปลงของวงการพลอย เนื่องจากเป็นคนจันทบุรี ซึ่งเดิมมีบ่อพลอยมากแต่ตอนนี้ไม่มีการทำเหมืองพลอยในไทยแล้ว กล่าวว่า แต่ก่อนที่จันทบุรีแต่ละบ้านมีพลอยเป็น กระสอบอยู่ใต้เตียง พอเลิกการทำเหมืองส่งผลให้พลอยทับทิมสยามขาดแคลนจากตลาด โดยเฉพาะพลอยแดงที่มีความเข้มของสีและเป็นที่ต้องการของลูกค้า

พลอยที่ได้รับความนิยมเป็นพลอยไม่เผา ส่วนที่ผ่านการเผาแล้วจะมีราคาถูกไม่ได้รับความนิยมจากผู้เล่นพลอย แนวโน้มดังกล่าวเป็นความนิยมโดยทั่วไปของอัญมณีทุกแบบที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ตลาดลูกค้าส่วนใหญ่ตอนนี้เป็น ยุโรป อเมริกา เอเชีย ตามลำดับ

พลอยสีที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วตอนนี้เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งตั้งแต่เจ้าชายวิลเลียมประกาศอภิเษกสมรสด้วยแหวนประดับพลอยน้ำเงินทำให้ตลาดในยุโรปมีความต้องการอย่างสูง และเริ่มมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าโดยภาพรวมพลอยแดงก็ยังได้รับความนิยม เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียเชื่อว่าเป็นสีของความเป็นมงคล และสีดังกล่าวยังเป็นพลอยที่หายากมากโดยพลอยแดงที่ขึ้นชื่อเป็นของพม่า แต่ปัจจุบันพลอยพม่าเริ่มขาดตลาดทำให้ต้องหาพลอยแดงจากแหล่งอื่นมาทดแทนเช่น แคชเมียร์, มาดากัสการ์

สำหรับ ความนิยมพลอยในไทยยังมีไม่มากเพราะคนไทยชอบเพชรมากกว่า แต่สำหรับตลาดจีนยังมีความต้องการพลอยมรกต ซึ่งแรงขึ้นมาตามความเชื่อแบบจีน ซึ่งการเลือกซื้อพลอยควรดูที่เนื้อสะอาดไม่มีรอยแตก มีเหลี่ยมมุมที่ให้แสงได้ดี หรือหาก ไม่มั่นใจสามารถเรียกดูใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณีในสินค้าที่มีราคาสูง

ตอนนี้ผู้ประกอบการพลอยในไทยหลายรายเลิกกิจการไปเนื่องจากสภาพการเมืองยังไม่นิ่ง และงานแสดงสินค้าอัญมณีที่ผ่านมายังไม่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ ทำให้ตนต้องพยายามมาออกแสดงสินค้าในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง แทน

ส่วนร้านจิวเวอร์เมอร์ ผลิตไข่มุกสีทองที่ได้จากท้องทะเลฟิลิปปินส์ เล่าว่า ตอนนี้ ตลาดมีความต้องการไข่มุกสีทองมาก แต่การผลิตยังไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาวะโลกร้อนและน้ำทะเลที่สูงขึ้นเพิ่มความเป็นกรดในน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ไข่มุกผลิตได้น้อยลงแถมยังมีประสิทธิภาพที่ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน

อนาคตเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าไข่มุกจากธรรมชาติบางสีจะไม่มี เนื่องจากสูญพันธ์ุด้วยภาวะของโลกร้อน และจะส่งผลอย่างมากต่อวงการไข่มุกที่ราคาซื้อขายจะเพิ่มจากตอนนี้ไปอีก 20–25 เปอร์เซ็นต์

อัญมณีในอนาคตราคาอาจแพงขึ้นอย่างน่าตกใจ เนื่องจากทรัพยากรเริ่มลดลง ดังนั้นอนาคตอันใกล้ของวงการเครื่องประดับยังเป็นที่น่าจับตามอง.

การดูแลรักษาอัญมณีให้สวยงามคู่กาลเวลา

เพชร มีความแข็งเป็นอันดับ 1 ในบรรดาสสารทั้งหมดในโลกนี้ มีการทนต่อความร้อน ทนต่อสภาพกรด-ด่าง และแอลกอฮอล์ การทำความสะอาดเพชรโดย การต้ม หรือ แช่ในน้ำร้อน จึงไม่ทำอันตรายต่อเพชร และ ถ้ามีสิ่งสกปรกเคลือบอยู่บนผิวเพชรมากก็ให้นำไปแช่ในแอลกอฮอล์ หรือเหล้าและเขย่าเบา ๆ (เพื่อให้สิ่งสกปรกละลายได้ง่ายขึ้น) และนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งอีกครั้งด้วยผ้านุ่ม ๆ เพชรจะสะอาดแวววาวหรือถ้าวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็แนะนำให้ใช้ โซเดียม คาร์บอเนต (โซดาซักผ้า) ผสมน้ำและนำเพชรไปต้มประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงล้างให้สะอาด ระมัดระวังอย่าให้เพชรกระทบกระเทือนกับอะไรแรง ๆ เพราะจะให้ขอบเพชรบิ่นได้และอย่าเก็บเพชรไว้ปะปนกัน เพราะเหลี่ยมของเพชรอาจจะขูดขีดกันเองทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้

พลอย มีความเหนียวและความเปราะแตกต่างกัน พลอยที่มีความแข็งค่อนข้างต่ำ การสวมใส่ หรือการใช้งานควรมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อพลอยจะมีความเปราะ ถ้าไปกระทบกับสิ่งที่มีความแข็งกว่าก็อาจจะทำให้เกิดริ้วรอย หรืออาจแตกร้าวได้ อย่าล้างด้วยน้ำร้อน ๆ เพราะความร้อนจะทำให้น้ำที่แทรกอยู่ในเนื้อพลอยระเหยออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวของพลอยลดความวาว และความมันลง เพราะฉะนั้นจึงควรล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาดพลอย หรือในน้ำธรรมดาที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ อย่าเก็บพลอยด้วยวิธีการแช่ไว้ในน้ำมัน เพราะฝุ่นละอองจะสามารถจับได้ง่าย เมื่อทำการเช็ด ทำความสะอาดผงของฝุ่นละอองจะเกิดการเสียดสี และขูดขีดผิวของพลอย ให้ลดความวาวลงไป ทำให้ประกายของพลอยน้อยลง ซึ่งจะดูไม่สวยงาม ดังนั้น วิธีที่เหมาะสมที่สุดในการทำความสะอาดพลอยคือ แช่น้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ

ไข่มุก ห้ามให้ไข่มุกถูกสารเคมีทุกชนิด เช่น น้ำหอม หรือสเปรย์ต่าง ๆ เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ไข่มุกลดความวาวลงได้ ห้ามมิให้ผิวของไข่มุกไปขูดขีดกับวัตถุที่มีความแข็งเพราะผิวของไข่มุกอ่อนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย จึงควรสวมใส่ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำสะอาด ทำความสะอาดไข่มุก เพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่จะมาเกาะบริเวณผิวของไข่มุก หรือ หลังจากสวมใส่เครื่องประดับมุกแล้วก็ให้นำมาแช่น้ำดื่มไว้ประมาณ 5 นาที จึงเช็ดด้วยผ้านุ่ม ๆ ไม่ควรเก็บไข่มุกรวมกับอัญมณีชนิดอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยง่าย.
ศึกษาอนาคตตลาดเพชร-พลอย ตามรอย'งานแสดงอัญมณีโลก' ที่ฮ่องกง
ที่มา เดลินิวส์

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ยืนยันเดินหน้า'สกายวอล์ก'

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ทำหนังสือมาถึงกทม. ตรวจสอบกรณีโครงการทางเดินยกระดับ (สกายวอล์ก) นั้นไม่ได้ห้ามดำเนินโครงการแต่เป็นข้อเสนอแนะ ซึ่งมี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ โครงการในระยะที่ 1 ที่ประกอบด้วย 4 เส้นทาง คือ สายสุขุมวิท รามคำแหง พญาไทและสายวงเวียนใหญ่ สตง.ได้ทักท้วงใน 3 สายแรก ที่ กทม.ได้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อปี 52 ประมาณ 500 คน และมีผู้เห็นด้วยร้อยละ 88 นั้น เป็นผลสำรวจที่อาจยังไม่ครอบคลุมและยังไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในเรื่องนี้เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้มีการทำสำรวจก็ได้ผลที่สอดคล้องกันคือมีผู้เห็นด้วยกว่าร้อยละ 87 แต่เมื่อทาง สตง.ทักท้วงในเรื่องนี้ ตนก็ได้สั่งให้ทางสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ไปทำการสำรวจเพิ่มอีก โดยระบุข้อมูลในส่วนของเลขที่บ้านที่ไปทำการสำรวจด้วย รวมถึงโครงการในเฟสที่ 2 ระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร งบกว่า 10,000 ล้านบาทนั้น จะให้สจส.ว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดมากขึ้นเช่นกัน ส่วนโครงการสายวงเวียนใหญ่ที่ไม่มีประเด็นข้อท้วงติง จะให้เร่งเดินหน้าต่อไป ประเด็นที่ 2 ในเรื่องที่ สตง.ท้วงถึงกรณีการสอบถามความเห็นที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องงบประมาณนั้น ขอยืนยันว่าโครงการนี้ได้ตั้งงบบนฐานการคิดที่ต่ำที่สุด ซึ่งต่ำกว่าที่ภาคเอกชนสร้างอยู่ที่ 50,000–100,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ กทม.คิดราคาที่ประมาณ 43,000 บาทต่อตารางเมตร และการคำนวณก็ใช้ตามระเบียบพัสดุ ซึ่งในเรื่องราคาโครงการที่แพงนี้มีข้อมูลที่เป็นเท็จออกมามากทำให้ กทม.เสียหาย ตนได้สั่งให้สำนักงานกฎหมายและคดี กทม. ไปตรวจสอบว่าข้อมูลที่เป็นเท็จที่ออกไปสู่สาธารณชนเหล่านั้นหากทำให้ กทม.ได้รับผลกระทบจะต้องฟ้องดำเนินคดี เพื่อปกป้องหน่วยงาน สำหรับประเด็นที่ 3 สตง.ได้เร่งรัดการเตรียมระบบบริหารจัดการ และมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ค้าขึ้นไปยึดทางเดินลอยฟ้าเป็นที่ขายของ ซึ่งในเรื่องนี้ กทม.ก็ดำเนินการอยู่

นายธีระชน กล่าวต่อว่า ทุกโครงการไม่มีโครงการใดที่จะมีคนเห็นด้วยทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สกายวอล์กที่ กทม.ดำเนินการนี้เป็นโครงการที่เกิดประโยชน์ ซึ่งข้อทักท้วงของ สตง.ทุกข้อก็พร้อมจะดำเนินการเพื่อให้โครงการมีความรอบคอบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการวิพากษ์วิจารณ์และข่าวต่าง ๆ ที่ออกมามีผลกระทบมาก ตนขอยืนยันว่าทุกโครงการที่ทำตัดสินใจบนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลมาแล้วและเป็นที่ยอมรับของเมืองใหญ่ทั่วโลก ขอให้มีการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนไม่ใช่ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว และแน่นอนว่าสกายวอล์กสายสุขุมวิทที่ กทม.ตั้งใจจะเปิดใช้ให้ทันวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ต้องเลื่อนออกไป.
สกายวอล์ก
ที่มา เดลินิวส์

ธุรกิจรับสร้างบ้านเหนื่อย น้ำมันแพงค่าแรงสูง

ธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ไม่เติบโตเหมือนกับปี 2553 ที่เราเทียบกับปี 2552 ไม่เติบโตเลย” วิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านฟันธง ก่อนจะวิเคราะห์ว่าปัจจัยที่ส่งผลมีหลายประการได้แก่เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลสืบเนื่องให้ขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจก่อสร้าง ต้องยอมรับว่าแรงงานส่วนหนึ่งยังอยู่ในการซ่อมแซมบ้านที่ถูกน้ำท่วมในแต่ละภูมิภาค เมื่อแรงงานขาดแคลนทำให้บริษัทต้องลดการรับงานจากลูกค้าเพราะเกรงว่าจะสร้างเสร็จไม่ทันกำหนด
ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านขาดแคลนแรงงานถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ประการถัดมาสินค้าราคาแพงขึ้น วัสดุก่อสร้างปรับราคา ผู้ประกอบการต้องทำงานอย่างระมัดระวัง เพราะสร้างบ้าน 1 หลังต้องใช้เวลา 1 ปี กว่าบ้านจะแล้วเสร็จและเมื่อถึงช่วงนั้นจึงส่งมอบงานได้ ประกอบกับการประกาศขึ้นค่าแรงของภาครัฐ 7-13 บาท ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคการก่อสร้างแม้ว่าอัตราค่าจ้างของแรงงานภาคก่อสร้างสูงกว่าภาคอื่นอยู่แล้วก็ตาม

นอกจากนี้เรื่องของการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งคาดการณ์ว่า หลังเดือนเมษายนรัฐบาลจะปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว ซึ่งขณะนี้รัฐรับภาระไว้ 5 บาทเท่ากับรับภาระไว้ 16-17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการเตรียมวางแผนรับมือไว้แล้วโดยคาดว่าจะปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น 5%

ปัจจัยกระทบของธุรกิจรับสร้างบ้านยังหนักหนาสาหัสอีกใน ปีนี้ ในสถานการณ์การเมืองที่เริ่มจะร้อนระอุท่ามกลางสภาพอากาศหนาว ๆ ฝน ๆ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านวิเคราะห์ปัจจัย ลบต่อมาว่า ช่วงตึงเครียดทางการเมืองที่จะเริ่มต้นในเดือน พ.ค. ที่จะเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคพอสมควร รวมทั้งภาวะ “ดอกเบี้ยขาขึ้น 0.75” ก็ทำให้การตัดสินใจช้าชะลอออกไป

“เท่ากับว่ากู้เงิน 1 ล้าน ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 8,000 บาทต่อปี” นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านระบุ

วิบูล กล่าวต่อว่า เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ แน่นอนผู้ประกอบการต้องผลักภาระไปให้ผู้ซื้อ โดยอาจบวกลูกค้าในรายต่อไปเพราะเมื่อวางมัดจำตกลงกันแล้ว สินค้าปรับราคาขึ้นจะเรียกเก็บเงินเพิ่มกับรายแรกไม่ได้ บางรายคาดการณ์ไว้ต่ำ อาทิช่วงเดือนแรกของปีคาดการณ์ไว้ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผิดคาด ราคาของขึ้นน้ำมันเพิ่ม ราคาค่าก่อสร้างเพิ่ม 6-8 เปอร์เซ็นต์ ภาระที่เพิ่มขึ้นจะส่งต่อให้ผู้ซื้อรายต่อไป

เมื่อวิเคราะห์สภาพการณ์ของตลาดแล้วในปีนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมซึ่งมีอยู่ 45 ราย จะเน้นการทำตลาดด้วยการเน้นการให้บริการ และรวมตัวกันระหว่างผู้ประกอบการเพื่อซื้อวัตถุดิบในการสร้างบ้าน แทนที่ต่างคนต่างซื้อ ซึ่งตอนนี้ที่สามารถซื้อในราคาพิเศษได้มี 3 รายการ คือ กระเบื้องคอนกรีตซีแพคโมเนีย คอนกรีตผสมเสร็จ พื้นลามิเนต และรั้วสำเร็จรูปเซ็นเซอร์

นอกจากนี้ในปี 2554 ทางสมาคมจะผลักดันให้สมาชิกบริหารจัดการก่อสร้างด้วยระบบไอเอสโอเพื่อลดความผิดพลาดช่วยประหยัดต้นทุน รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนลิขสิทธิ์แบบบ้าน

“ปัจจุบันการจดทะเบียนบ้านใหม่น้อยลงแต่ไปเปิดบ้านเลขที่ใหม่ในคอนโดมากขึ้น แต่ก็มีปรากฏการณ์ของการปลูกบ้านแทนที่บ้านหลังเดิมเพราะบ้านหมดอายุการใช้งาน ซึ่งบ้านราคา 2.5-5 ล้านเป็นบ้านที่ตลาดต้องการเพราะตอบสนองความต้องการใช้งานได้ดีกว่าบ้านจัดสรรทั่วไป” นายกสมาคมธุรกิจ มองถึงช่องทางทางธุรกิจสร้างบ้านเพื่อความอยู่รอด

ด้าน ศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทซีคอนโฮม ในฐานะบริษัทรับสร้างบ้านในแบรนด์ซีคอนและคอมแพค กล่าวว่า บริษัทได้ปรับราคาบ้านขึ้นมา 5 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เพราะราคาของสินค้าปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปูน สุขภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งเหล็ก สินค้าเหล่านี้ล้วนปรับราคาตามราคาน้ำมัน กระทบไปถึงภาคแรงงานด้วยที่ขาดแคลนอย่างหนัก โดยยอดสร้างบ้านต่อปีของบริษัทอยู่ที่ 300 หลัง ซึ่งตัวเลขจะอยู่ในระดับนี้ตลอด ขณะเดียวกันกำลังผลิตของบริษัทอยู่ในออร์เดอร์ที่รับไหว ซึ่งในปีนี้จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาบริหารจัดการเรื่องงานก่อสร้างทั้งหมด ตั้งแต่ระบบบัญชีการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างแบบรวมศูนย์ รวมทั้งความคืบหน้าก่อสร้างของบ้านแต่ละหลังจะต้องมีรายงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อจะตอบคำถามของลูกค้าได้

“เพราะการก่อสร้างบ้านแต่ละหลังไม่ได้อยู่ที่เดียวกันดังนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการที่แม่นยำ เพื่อไม่ให้ลูกค้ามีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง”

ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทซีคอนโฮม กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโตมาก แต่มาแผ่วในช่วงปลายปีเพราะปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง บวกกับดอกเบี้ยของธนาคารปรับขึ้นมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งในยอดตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมารวมแล้ว 220 ล้านแบ่งเป็นบ้านของกลุ่มซีคอน 160 ล้าน ที่เหลือเป็นบ้านของคอมแพค ส่วนหนึ่งเพราะเราอยู่ในตลาดมานานผู้บริโภคเชื่อใจ และมีแบบบ้านให้ลูกค้าได้เลือกหลายแบบ โดยเฉพาะบ้านระดับ 2-3 ล้าน ถ้าลูกค้าต้องการออพชั่นที่เพิ่มขึ้น ต้องแก้แบบใหม่ราคาจะสูงขึ้นต้องมาคุยราคาใหม่เฉพาะจุดซึ่งส่วนใหญ่จะให้คำแนะนำว่าสร้างตามแบบที่ออกแบบไว้จะคุมราคาได้

ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นอีกทางเลือกของผู้ต้องการมีบ้าน ปัจจุบันในตลาดมีบริษัทให้เลือกใช้บริการจำนวนมาก ดังนั้นควรพิจารณาการใช้บริการอย่างถ้วนถี่ นายกสมาคมธุรกิจ ฝากคำแนะนำว่า ควรเลือกใช้บริการบริษัทที่มีวิศวกรประจำบริษัทเพราะค่าจ้างอาชีพนี้สูง มีบางบริษัทที่จะไม่จ้างวิศวกรประจำเมื่อมีปัญหาจะหาตัววิศวกรรับผิดชอบยาก และควรเป็นบริษัทที่เปิดดำเนินการมาหลายปี ก่อนตัดสินใจเซ็นสัญญาต้องให้บริษัทพาไปดูบ้านในราคาระดับเดียวกันที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว เพื่อไว้เป็นข้อเปรียบเทียบหากมีปัญหาหลังก่อสร้าง และสุดท้ายควรเลือกบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคม

เกณฑ์พิจารณาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้ผู้บริโภคได้บ้านไม่บานตามมาภายหลัง.
ที่มา เดลินิวส์

ไขกลยุทธ์ความสำเร็จเซเว่นฯ ถูกที่...ถูกเวลา...ถูกใจ

ด้วยสาขาที่มีอยู่กว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้เซเว่น อีเลฟเว่น กลายเป็นร้านสะดวกซื้อ หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่มีสาขามากที่สุดในเมืองไทย และในขณะเดียวกันก็ถือเป็นช่องทางการขายสินค้าที่สำคัญของผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน

น่าสนใจว่าเบื้องหลังความสำเร็จของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด เป็นอย่างไร

คำตอบที่จะมาช่วยไขกลยุทธ์ความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งถ่ายทอดโดย “ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ เมื่อครั้งมาบรรยายพิเศษภายในงานสัมมนา “ไขความสำเร็จสุดยอดธุรกิจแฟรนไชส์” ที่จัดโดยสมาคมแฟรนไชส์ไทยและบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด

[ “ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ ]
“สำหรับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เราเป็นเจ้าของไลเซ่นส์ในประเทศไทย ซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของ 100% นี่คือเรื่องแรกที่อยากจะบอก เราใช้แบรนด์ของเขาเฉยๆ
อันที่สอง คือ เราปรับปรุงพัฒนาประมาณ 3 ปี จนธุรกิจมีกำไร เราจึงเริ่มขายแฟรนไชส์รายแรกไปเมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้รายแรกก็ยังอยู่กับเรา และแถมจะขยายสาขาเพิ่มด้วย ถึงวันนี้เราก็ประกอบธุรกิจมากว่า 20 ปีแล้ว”

“จริงๆแล้วหลักใหญ่ๆที่ผมอยากจะชี้แจง ก็คือ ถ้าผู้ประกอบการอยากจะทำธุรกิจขายแฟรนไชส์ ผมคิดว่าธุรกิจของคุณต้องมีกำไรก่อน ทำธุรกิจเราให้มีกำไรก่อน อย่าไปหวังว่าขายระบบแฟรนไชส์ได้เงินก้อนมา แล้วจะเอาเงินก้อนนั้นมาค่อยๆพัฒนาธุรกิจให้มีกำไรทีหลัง
ในเมื่อเราบริหารธุรกิจยังไม่มีกำไรเลย ก็อย่าหวังเลยว่าจะบริหารเงินก้อนจากการขายแฟรนไชส์ให้มีกำไรในภายหลังได้ อย่าไปคิด เพราะกระบวนการเหล่านั้นคือระเบิดเวลาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ปิยะวัฒน์ เริ่มต้นการสัมมนาในวันนั้นด้วยการบอกถึงจุดเริ่มต้นของการขายแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่นสาขาแรก พร้อมทั้งบอกเพิ่มเติมว่า

“การทำธุรกิจเราจะต้องมี Trademark มีระบบควบคุม ตรวจสอบ ที่สำคัญที่ทำให้เราสำเร็จ ก็คือ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นมีการพัฒนาปรับปรุงตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจขายแฟรนไชส์ ถามว่าคุณมีทีมงาน R&D ไหม มีทีมงานพัฒนาที่แข็งแกร่งไหม ถ้าคุณพัฒนาอยู่เรื่อยๆ แฟรนไชส์คุณก็สามารถขยายใหญ่ได้
และการที่เรามีเครือ CP ซึ่งแบ็คกราวดีเป็นครัวของโลก เก่งเรื่องอาหารมาคอยแบ็คเราอยู่ อันนี้ทำให้เรามีความยั่งยืน”

“ในอดีตที่เซเว่น อีเลฟเว่น หรือซีพีออลล์ ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งต้องชมท่านอดีตนายกฯชาติชาย ชุณหะวัน ที่ท่านเปลี่ยนธุรกิจที่มีปัญหาในขณะนั้น ซึ่งเปรียบเหมือนสนามรบให้เป็นสนามการค้าแทน ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานเศรษฐกิจก็เริ่มดี โดยในช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเบ่งบานในประเทศไทย และก็เป็นจุดสำคัญที่ซีพีออลล์ได้เกิดขึ้น
ดังนั้น ต้องชมประธานธนินทร์ เจียรวนนท์ เถ้าแก่ในเครือซีพีที่ตัดสินใจเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นใน Timing ที่ถูกต้อง คือเปิดในจังหวะที่เศรษฐกิจเริ่มเบ่งบาน ซึ่งถ้าเปิดเร็วกว่านี้ ก็อาจจะขาดทุนได้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าเปิดช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่มีวันนี้ วันที่เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศไทย”

“เรื่องที่สองที่ต้องชมเถ้าแก่ธนินทร์ คือ การไปซื้อไลเซ่นส์อันดับหนึ่งของโลกในขณะนั้นมา ซึ่งก็คือแบรนด์เซเว่น อีเลฟเว่น และขณะนี้ก็ยังถือเป็นแบรนด์คอนวีเนี่ยนสโตร์อันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันมีเกือบ 4 หมื่นสาขาทั่วโลกแล้ว
ส่วนความสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งผมถือว่าเป็นความสำเร็จที่ดี ก็คือ ทีมผู้บริหารของเซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้การบริหารงานของคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ CEO ของเรา ทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ 1.Timing ถูก 2.เลือกซื้อแบรนด์อันดับหนึ่งของโลก และ 3.ทีมงานทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค”
นอกจากนี้ปิยะวัฒน์ ยังเผยถึงปัจจัยความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นอีกว่า “อยู่ที่ทำเล ถามว่าเพราะอะไร เพราะบางสาขาเราขายได้เกือบสามแสน แต่บางสาขายอดขายอยู่ที่สองหมื่นกว่าบาท
ทำไมเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ทีมการจัดการทุกอย่างก็เหมือนกัน ก็มันอยู่ที่ทำเล

ส่วนอีกปัจจัยของความสำเร็จอยู่ที่การจัดการในบริษัท หรือการจัดการสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งทุกคนก็พูดได้ แต่การปฏิบัติคุณจะต้องมีกระบวนการที่จะรู้ว่าสินค้านี้ลูกค้าอยากจะได้ ต้องรู้ด้วยข้อมูล ไม่ใช้ความรู้สึก และสินค้าที่ลูกค้าไม่อยากจะได้คืออะไร เราต้องมีข้อมูลในสิ่งเหล่านี้

ต่อมาเป็นเรื่องไอที จะต้องมีระบบคอมพิวเตอร์ ส่งกระบวนการจัดการความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว สมมติส่งสินค้าต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ Real time ที่ดีถ้าทำได้ แต่ต้นทุนแพง เพื่อให้ทางร้านนำข้อมูลไปบริหารจัดการให้ทันความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ เรื่องซัพพลายเชน ซัพพลายเออร์ ศูนย์กระจายสินค้า (DC) ข้อมูลสินค้าของออฟฟิศต้องให้เกิดประสิทธิภาพตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้
หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องคน พัฒนาทรัพยากรคนให้มันสมดุล ไม่ว่าจะเป็นทำเล ตัวสินค้า ไอที DC คนเหล่านี้ต้องมา integrate ในสิ่งที่ลูกค้าอยากจะได้ ด้วยการจัดการอบรม การให้ความรู้ ข้อมูล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

“จะสังเกตไหมว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดทุกครั้งจะโยงกับลูกค้า นั่นคือผมกำลังบอกจะว่าหัวใจของความสำคัญ ก็คือ ลูกค้า ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพระเจ้า เป็นเสมือนคนที่เรารัก คุณจะบอกว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่คุณต้องตอบสนองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ได้
การตอบสนองความต้องการของลูกค้านั้น ใช้ปากพูดอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณจะต้องมีกระบวนการตอบสนองที่มีตัววัดว่าลูกค้าอยากจะได้อะไร
คุณมีสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้ไหม ไม่อยากจะได้คืออะไรบ้าง คุณต้องรู้ ตรงนี้สำคัญ เสร็จแล้วคุณต้องรู้ว่าที่ร้านสั่งสินค้ามาแล้ว ต้องส่งมอบให้ทันเวลาด้วย
แบรนด์เซเว่น อีเลฟเว่นไม่ได้นำสินค้าธรรมดามาขายแล้วสำเร็จนะ ไม่ใช่ แต่เรานำสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้มาขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เราจึงประสบความสำเร็จ
สินค้าอันไหนที่ลูกค้าไม่อยากได้ เข้ามาในเซเว่น อีเลฟเว่นก็ขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญอยู่ที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการมีข้อมูลการวัดอย่างแท้จริง”
ถึงตรงนี้ ปิยะวัฒน์ชี้ให้เห็นถึงการที่ผู้ประกอบการจะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าว่า “เพราะในอดีตเมื่อ 30 - 40 ปีที่ผ่านมา ผู้ค้าน้อยราย ผลิตอะไรมาก็ขายได้หมด ซัพพลายน้อยดีมานด์มาก คุณจะทำอะไรก็ขายได้หมด ผิดกับตอนนี้ที่มีซัพพลายมีหลายราย แต่มีผู้ซื้อน้อยราย

ดังนั้น คุณจะต้องเข้าใจลูกค้าว่าต้องการอะไร รู้ถึงความต้องการสินค้าของลูกค้าในเชิงลึก เพราะปัจจุบันมีคู่แข่งมากราย”

ส่วนอีกเหตุผลที่เราต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า ก็คือ ลูกค้าเปลี่ยนแปลง อย่างเศรษฐกิจดีลูกค้าจะใช้มาก ฟุ้มเฟือยมาก คุณก็ต้องขายสินค้าฟุ้มเฟือย จากชิ้นเล็กๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นชิ้นขนาดกลาง แต่พอเศรษฐกิจไม่ดี ของฟุ่มเฟือยจะขายได้น้อยลง ก็ต้องขายสินค้าที่จำเป็น แล้วก็ชิ้นเล็กลง
หรือสมัยก่อนคนไทยมีการศึกษาไม่มาก แต่ตอนนี้ภาครัฐส่งเสริมให้คนไทยเรียนสูงถึง ม.6 ปริญญาตรีแล้ว และเมื่อมีการศึกษา ในเรื่องของสินค้าอาหาร ลูกค้าก็ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ ทานแล้วแข็งแรง ดูดี ซึ่งถ้าแบรนด์ไหนสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในเรื่องของสุขภาพ ความสวยงาม และราคาถูกด้วยแล้ว แบรนด์นั้นก็จะชนะ
ฉะนั้นในเมื่อลูกค้าเปลี่ยนแปลงแล้ว คุณจะอยู่กับที่ได้อย่างไร นี่คือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้ที่ปรับตัวได้เร็ว คือ ผู้ชนะ
ครอบครับผมมีอยู่ 6 คน พอลูกๆเติบโตขึ้นก็แต่งงาน ก็ย้ายไปอยู่คอนโดมิเนี่ยม อพาร์ทเม้นท์ ครอบครัวก็เล็กลง หรือบางครอบครัวจาก 10 กว่าคนก็ลดเหลือ 2 - 3 คน คนแก่จะอยู่กันตามลำพังมากขึ้น คุณก็ควรจับสินค้าคนแก่นะ
ครอบครัวเล็กคุณต้องจับสินค้าครอบครัวเล็ก ยกตัวอย่าง การซื้ออาหารไปปรุงที่บ้านไม่คุ้มแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงจากครอบครัวใหญ่เป็นครอบครัวเล็ก ซึ่งที่ไล่มาทั้งหมด คือ ลูกค้าเปลี่ยนแปลง
วันนี้การเดินทางเป็นรถไฟฟ้า คอนโดมิเนี่ยมก็อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ครอบครัวหนึ่งก็มีแค่ 2 คน ไม่ปรุงอาหารแน่นอน เซเว่น อีเลฟเว่นก็มาเปิดใกล้รถไฟฟ้า เราก็เติบโตขึ้นมา หรือบางพื้นที่ เราก็ต้องชิงไปเปิดก่อน”

“ไม่เพียงแค่นี้ ฤดูกาล อากาศร้อน เซเว่น อีเลฟเว่นขายน้ำเครื่องดื่มได้ดีมาก ส่วนหน้าฝนเป็นช่วงที่ขายไม่ดี ทุกปีจะเป็นเช่นนี้ คือ ไตรมาสที่หนึ่งจะดี ไตรมาสที่สองยิ่งดีใหญ่ แต่พอไตรมาสที่สามก็จะไม่ดี ส่วนไตรมาสที่สี่จะกลับมาดีอีกครั้ง อันนี้เป็นวัฏจักรของเรา เพราะฉะนั้นฤดูกาลก็ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนแปลง
เมื่อสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ธุรกิจเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
เรื่องทำเลก็ต้องเปลี่ยนแปลงนะ ทำเลของเรา 6 ปีก็ต้องย้ายแล้ว เพราะวันนี้เป็นทำเล A แต่อีก 6 ปีข้างหน้าอาจเป็นทำเล B ก็ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นไม่ปรับตัวไม่ได้
หัวใจสำคัญ คือ คู่แข่งของเราเปลี่ยนแปลง มีมากรายขึ้น แล้วเราจะอยู่กับที่ได้อย่างไร
ดังนั้น บอกได้เลยว่าเซเว่น อีเลฟเว่นต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง”

“ส่วนเรื่องที่สอง เราหาสินค้าที่ลูกค้าคาดไม่ถึงมาอยู่ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ยกตัวอย่าง เราทำร้านบุ๊คสไมล์ มีสินค้าเยอะแยะเลย มีพ็อคเกตบุ๊ค มีแม็กกาซีนมาขายในเซเว่น อีเลฟเว่น นั่นคือความจงใจที่จะปรับตัว
รวมทั้งการมีแคตตาล็อคขายสินค้าในเซเว่น อีเลฟเว่นของเราด้วย ในขณะที่เซเว่น อีเลฟเว่นทั่วโลกที่มีอยู่ประมาณ 18 ประเทศทั่วโลกกลับไม่มี ส่วนเคาน์เตอร์เซอร์วิสมีที่ญี่ปุ่น ซึ่งให้บริการชำระค่าไฟฟ้า ค่าประปา แต่ของเรามีหลากหลายกว่า”

“และเนื่องจากว่ากลุ่มลูกค้ามีความรู้เพิ่มขึ้น เราก็ทำเรื่องอาหารเสริมจับกลุ่มลูกค้า B, C เข้ามาขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นด้วย
นอกจากนี้ เนื่องจากโปรดักส์มี Life Cycle หรืออายุของสินค้า เราก็เอาสินค้าออกเยอะแยะเลย หาโปรดักส์ใหม่ๆ ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเข้ามาแทน ดังนั้นสินค้าเราเป็นสินค้าที่ Active อยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าพอใจเพิ่มขึ้น
ความพอใจที่เพิ่มขึ้นนี้วัดอย่างไร ก็วัดจากในอดีตเรามีไม่ถึง 1,000 สาขา แต่วันนี้เรามีสาขาอยู่ถึง 5,500 สาขาแล้ว
ขณะที่ลูกค้าก็มาใช้บริการเราถี่ขึ้น ลูกค้าใหม่มีเพิ่มมากขึ้น เราจึงเติบโต
จากเมื่อก่อนเคยซื้อเราเฉลี่ย 2 ชิ้น ตอนนี้ซื้อ 2.8 ชิ้น ก็แปลว่าสินค้าที่เรานำเสนอเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากจะได้ แต่ที่ญี่ปุ่นเก่งกว่าเราลูกค้าซื้อถึง 3 ชิ้นกว่า เราก็ต้องไปเรียนรู้เขาว่าทำอย่างไร
นี่คือการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า”
ปิยะวัฒน์ ยังบอกอีกว่า ซีพีออลล์จะรักษาการเจริญเติบโต ด้วยการมีโปรเจ็กต์ใหม่ๆเพิ่มเข้ามาตลอด
“เพราะวันหนึ่งเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เราก็หาโปรเจ็กต์ใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อไรอิ่มตัวปั๊ป เราก็มีตัวใหม่ออกมา
ดังนั้น คุณจะต้องปรับตัวสินค้าใหม่ บริการใหม่ตลอดเวลา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จะเป็นนวัตกรรม เป็นโปรเจ็กต์ใหม่ก็ได้ คุณต้องเตรียมเอาไว้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
ดังจะเห็นได้ว่าซีพีออลล์เข้าใจว่าลูกค้าเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นสินค้าที่มีอยู่เดิมก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีโปรเจ็กต์ใหม่มาคอยซัพพอร์ตตัวหลักอยู่ตลอดเวลา”

“ยกตัวอย่าง เราทำโปรเจ็กต์เบเกอรี่มา 4 - 5 ปีแล้ว มีการอบเบเกอรี่ที่ร้าน แต่คอนเซ็ปต์ของเซเว่น อีเลฟเว่นห้ามมีกระบวนการผลิตในร้าน ยกเว้นโปรเจ็กต์นี้ เพราะเราต้องการรองรับการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจก็แนะนำให้เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าคุณเป็นผู้ที่อยากจะซื้อแฟรนไชส์ ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณมาซื้อแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่นนะ แต่หลักในการเลือกคุณต้องรู้ว่าผู้บริหารมีการเปลี่ยนแปลงไหม แบ็คกราวเขาเป็นอย่างไร วันนี้ทำธุรกิจมีกำไรหรือเปล่า มีระบบรองรับไหม มีการอบรมหรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นตัววัดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่จุดที่ยั่งยืน ไม่ใช่ซื้อวันนี้แล้วอีก 3 - 4 ปีต้องปิดร้าน คุณต้องมองระยะยาวว่าอีก 30 ปีก็ต้องอยู่ได้
อย่างซีพีออลล์ เราตั้งเป้าไว้ว่าอีก 3 ปี จะมี 7,000 สาขา ตอนนี้เราเตรียม R&D เตรียมคน เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพื่อที่จะโต
แต่ถึงตอนนี้ CEO ของเราบอกใหม่ว่าภายใน 3 ปี จะเอา 10,000 สาขาแล้ว เราก็ไปเตรียมการเพิ่ม ไปคิดค้นตั้งนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อไปให้ถึง 10,000 สาขาภายใน 3 ปีให้ได้ อันนี้คือหลักๆที่เราทำ”

ทั้งหมดนี้ คือ กลยุทธ์ความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งไม่บ่อยนักที่ผู้บริหารระดับสูงของซีพีออลล์จะออกมาเปิดเผยให้ฟังกัน

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ไขกลยุทธ์ความสำเร็จเซเว่นฯ ถูกที่...ถูกเวลา...ถูกใจ
ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs PLUS
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แบงก์ชาติชี้ไตรมาส4เงินเฟ้อมีสิทธิหลุดกรอบ

แบงก์ชาติชี้ไตรมาส 4 เงินเฟ้ออาจหลุดกรอบ ด้าน กนง.พร้อมรับมือ ส่งนโยบายดอกเบี้ยควบคุมแบบค่อยเป็นค่อยไป

วันนี้ (22 มี.ค.) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทาง ธปท.คาดว่าช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ มีโอกาสที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะหลุดกรอบเป้าหมายที่ ธปท. วางไว้ที่ 0.5-3% เนื่องจากมีแรงกดดันจากหลายทิศทาง ทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยด้านอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องของตลาดการเงินโลกและไทยที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ รวมทั้งการคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้หลุดกรอบเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3-5% แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงทั้งเงินเฟ้อ และสถานการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น และความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้จากการสำรวจผู้ประกอบการและผู้บริโภค พบว่าปัจจุบันประชาชนคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา ธปท.จึงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวต้องเข้าดูแลอย่างเร่งด่วน เพราะเห็นว่าหากผู้ประกอบการคาดว่าราคาสินค้าอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวขึ้น ผู้ประกอบการจะตั้งราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาที่แท้จริง ขณะที่ผู้บริโภคมองว่าสินค้าจะขาดตลาด จะเกิดการกักตุนสินค้าเช่นกัน เหมือนกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาที่สินค้าบางรายการขาดตลาดจากการกักตุนสินค้าของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ธปท. ยืนยันว่า การดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อดูแลเงินเฟ้อ โดยการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเร่งตัวสูงขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ดึงเงินทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น แต่เพราะเกิดจากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ความต้องการของผู้ลงทุนต่างประเทศ จากเดิมที่นิยมลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน นักลงทุนจึงหันมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน ประกอบกับหากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ยังพบว่าประเทศไทยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

"ที่ผ่านมาและปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น ซึ่ง กนง.เองก็ติดตามสถานการณ์ต่างๆที่จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อทุกปัจจัย แต่อย่างไรก็ตามจากการที่แบงก์ชาติได้ดูเงินเฟ้อปีนี้ล่วงหน้าถึงปลายปีพบว่าอาจเห็นเงินเฟ้อหลุดกรอบบนที่ 3% เราจึงพยายามดำเนินนโยบายทางการโดยใช้อัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ เพราะต้องเข้าใจว่าการส่งผ่านนโยบายถึงตลาดต้องใช้เวลา 6-8 ไตรมาส และหากจะไปเริ่มทำตอนที่เงินเฟ้อเริ่มสุกงอมก็จะไม่ทันต่อเวลา ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ ต้องดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหวังว่าระยะต่อไปการทำนโยบายดังกล่าวจะรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้" นายประสาร กล่าว

นายประสาร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกรวมทั้งของไทยด้วย เนื่องจากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดที่มองไว้ล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบันเริ่มมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันลดลงจากอดีต จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่ายังติดตามสถานการณ์ดังกล่าวต่อไป เพราะหากราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ สูงเกินกว่า 130 เหรียญต่อบาเรล และยืนอยู่ระดับดังกล่าวเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าของไทย จนเกิดปัญหาขาดดุลบัญชีชะระเงินได้ จากที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปัจจุบัน

"เหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันสุงขึ้น แต่ก็ยังถือว่าราคาน้ำมันตอนนี้ยังต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งโครงสร้างตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยน คือ มีแหล่งน้ำมันที่อื่นนอกเหนือจากตะวันออกกลางด้วย สำหรับตอนนี้ที่เราประเมินไว้คือ หากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับนี้ก็คาดว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน" นายประสาร กล่าวทิ้งท้าย.
แบงก์ชาติชี้ไตรมาส4เงินเฟ้อมีสิทธิหลุดกรอบ
ที่มา เดลินิวส์

หุ้นไทยแผ่วปิดร่วง 0.79 จุด

แรงซื้อนักลงทุนแผ่ว กดหุ้นไทยปิดร่วง 0.79 จุด

วันนี้ (22 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ว่า ดัชนีแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากไร้ปัจจัยบวกใหม่ ๆ สนับสนุนการลงทุน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวสวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,025.48 จุด ก่อนอ่อนตัวมาปิดตลาดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 1,019.14 จุด ลดลง 0.79 จุด หรือ 0.08% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30,625.99 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 270.83 จุด ลดลง 2.14 จุด มูลค่าซื้อขาย 262.75 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก 1.ทรู ปิดที่ 6.70 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง 2.ธ.กรุงเทพ ปิดที่ 163.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท 3.ธ.กรุงไทย ปิดที่ 17.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท 4.ปูนซิเมนต์ไทย ปิดที่ 343.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท 5.จัสมิน ปิดที่ 2.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท

โดย นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนีปรับขึ้นได้ร้อนแรงในวานก่อน ทำให้แรงซื้อเริ่มแผ่วลง ประกอบกับตลาดหุ้นไทยรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ไปในช่วงก่อนหน้า ทั้งจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายกังวลสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง

ส่วนแนวโน้มในวันที่ 23 มี.ค.นี้ หากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะน่าจะได้รับประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีช่วยหนุนดัชนี โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,020-1,030 จุด หากผ่านไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,035 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำเทขายเมื่อดัชนีเพิ่มขึ้น และซื้อเมื่ออ่อนตัวในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และหุ้นรายตัวในกลุ่มอาหาร.

ที่มา เดลินิวส์

อะ อะ..อั้ม

ตามปกติเรา ๆ ท่าน ๆ มักเห็น “ตัน ภาสกรนที” ซีอีโอ บริษัท ไม่ตัน จำกัด อองานเดี่ยวบ้าง คู่บ้างค่ะคุณขา

ที่เห็นจนชินตาคงเป็นกับคู่ซี้ต่างวัย “อุดม แต้พานิช” รึไม่ก้อ...ลูกสาวหัวแก้ว
หัวแหวน “น้องกิ๊ฟ-วริษา” แต่ไม่ยักกะเห็นควงคู่ “อิง-สุนิสา” ภรรยาขาว สวย หมวย คล่องฝีมือเลิศด้านขนม เจ้าตำรับเมลท์มี ออกงานบ่อยครั้งสักเท่าใด

แต่ในงานขนมหวานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซิคะคุณขา...ไม่พามาด้วยมิได้แร้ววว เพราะเป็นงานที่รวบรวมขนมหวาน ๆ มาให้ได้ลองลิ้มชิมรส อีกทั้งมีช็อกโกแลตนำเข้าจากญี่ปุ่นของตะเอ๊งมาโชว์ในงานอีกด้วย ยิ่งต้องพาคนสำคัญมาทดสอบ การันตีความอร่อยล้ำให้ได้เห็นกันแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย!!!

ว่าแต่ว่า...งานนั้นชวนกันมาทดสอบ “ความอร่อย” รึ “ความหวาน” กันแน่ล่ะเจ้าคร้า...ไวท์ ช็อกโกแลตเอย ผลไม้สด ๆ ชิ้นโต ๆ เอย จากเกาะฮอกไกโด เมืองซามูไรโน้นนนนนเชียว ดูชิดซ้ายตกขอบเวทีไปเร้ยยยยย

ก้อแหม ๆ ๆ ทั้งช็อกฯ ทั้งผลไม้ จะไปสู้คนกินมิได้ชิมิล่ะค้าคุณตันขา ทั้งสดทั้งสวย อย่าบอกใครเชียว!!...

แต่ดูไปดูมา!! อีที่ตอนที่กะลังป้อน คุณซีอีโอตันออกอาการ “เกรง ๆ” อุ๊ย!! “เกร็ง ๆ” ยังไงมิรู้อ่ะน่ะ จนกองเชียร์ลุ้นสุดตัว “จะเอาคำใหญ่ หรือคำเล็กดีล่ะตะเอ๊ง” แบบไหนก็ได้จ้าแต่ “อย่าป้อน” ผิดคนล่ะก๊าน...ฮึมมมม.
ที่มา เดลินิวส์

อาชีพ “ธนาคาร” เนื้อหอม-“แบงก์พาณิชย์” ฟาดหลักล้านรุมแย่งซื้อตัวคนเก่ง

“แบงก์พาณิชย์” เปิดศึกช่วงชิงคนเก่ง โดยตำแหน่ง “วาณิชธนกิจ” เป็นที่ต้องการมากที่สุด มีบางแห่งทุ่มเงินถึงหลักล้าน เพื่อล่าตัวมาอยู่ด้วย ด้าน “กสิกรฯ” ดึงคนรุ่นใหญ่ภาษาดี เพื่อรองรับตลาดทุนเสรีที่มีลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ขณะที่ “ไทยพาณิชย์” รับเพิ่ม 2,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่าของจีดีพี ส่วน “ธ.ทหารไทย” รับอีก 1,000 คน ปูพรมบริการลูกค้าทุกกลุ่ม

วันนี้ (7 มี.ค.) หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ปี 2554 ว่า จะมีผู้ว่างงานเฉลี่ย 4.03 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 1% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ยังขาดแคลนแรงงาน ทั้งกลุ่มยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและสิ่งทอ ขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารได้สะท้อนความต้องการรับพนักงานใหม่ เพื่อขยายธุรกิจและทดแทนคนลาออกด้วย

ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจธนาคารพาณิชย์ไทย ถึงแนวโน้มทรัพยากรบุคคลในวงการธนาคาร พบว่า เมื่อปีที่ผ่านมาแต่ละธนาคารรอดูทิศทางเศรษฐกิจ จึงชะลอการรับพนักงานใหม่ และเมื่อต้นปี 2554 เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้หลายธนาคารมีนโยบายรับพนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และเพื่อทดแทนคนเก่าที่ลาออกไป โดยรวมธุรกิจธนาคารในระบบประกาศรับคนใหม่ประมาณ 10,000-12,000 คน เฉพาะ 5 ธนาคารใหญ่รับพนักงานประมาณ 7,000 คน ได้แก่ บมจ.กรุงเทพ 1,100-1,200 คน บมจ.กรุงไทย 1,250 คน บมจ.กสิกรไทย 3,300 คน ไทยพาณิชย์ 2,000 คน ขณะที่ บมจ.ทหารไทย เปิดรับ 1,000 คน

ส่วนตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการอย่างมากจนเกิดการแย่งซื้อตัวนั้น จะมีทั้งตำแหน่งวาณิชธนกิจ (Investment Banking: IB) ที่ปัจจุบันค่อนข้างขาดตลาด ประกอบกับธนาคารส่วนใหญ่ต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์ระดับผู้บริหาร หรือหัวหน้าทีมโดยมีการเสนอค่าตัวสูงเป็นหลักล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งที่ปรึกษาให้คำแนะนำลูกค้าธุรกิจ หรือพนักงานด้านสินเชื่อขนาดใหญ่ ด้านบริหารการเงิน พนักงานสัมพันธ์ และด้านบริการทั้งลูกค้ารายย่อย ลูกค้าเอสเอ็มอี รวมถึงระดับปฏิบัติการ เป็นต้น

ด้าน นางสาวเดือนเพ็ญ ภวัครานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (บมจ.) กล่าวถึงแนวโน้มทรัพยากรบุคคลวงการเงินการธนาคาร ว่า ทิศทางธุรกิจธนาคารแนวโน้มดี เห็นได้จากการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น การขยายการให้บริการลูกค้า การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ มากขึ้น การขยายตัวของธนาคารต่างๆ ในเมืองไทยและธนาคารต่างประเทศที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย รวมถึงการที่ธนาคารเตรียมตัวรองรับลูกค้าที่หลากหลายเชื้อชาติ จากตลาดการเงินที่เปิดเสรี ที่ต้องการบุคคลที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น มาร่วมงาน เหล่านี้เป็นโอกาสของบุคคลที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานภาคการเงินเพิ่มขึ้น

“โดยเฉพาะปีนี้ความต้องการแรงงานใหม่ในระบบธนาคารมีประมาณ 10,000-12,000 คน เป็นปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 40% โดยอัตราที่ประกาศรับสมัครดังกล่าว ทุกธนาคารยังคงระมัดระวังให้การเพิ่มคนสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ โดยที่ผ่านมาภาคธนาคารรับสมัครประมาณ 6,000-7,000 คน ลักษณะการรับพนักงาน จะเป็นการทยอยรับโดยดูสภาวะเศรษฐกิจไปด้วย เมื่อเห็นธุรกิจมีสัญญาณดีจึงมีการรับคนเพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ การรับสมัครคนเพิ่มนั้น วัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เช่น ธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกันเพื่อทดแทนคนลาออก ทั้งคนเกษียณอายุ เปลี่ยนงาน มีความจำเป็นทางครอบครัว ฯลฯ ที่สำคัญ คือ คนวัย Gen-Y (อายุประมาณ 24-29 ปี ) ที่ต้องการแสวงหางานที่ชอบ องค์กรที่โดนใจ บางส่วนก็ลาออกจากธนาคารเอกชนไปทำงานกับธนาคารของรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นมาก

สำหรับธนาคารกสิกรไทยปีนี้รับพนักงานเพิ่มอีก 3,300 คน วุฒิการศึกษาปริญญาตรีและโท 50:50 จากปัจจุบันธนาคารมีพนักงานทั่วประเทศ 15,500 คน ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับคนลาออก และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ จากปีก่อนรับสมัคร 2,400 คน

“กลุ่มคนวัย Gen-Y หรือคนรุ่นใหม่จะลาออกเยอะ ยิ่งมีประสบการณ์ 3-5 ปี ยิ่งเนื้อหอม มีการดึงตัวระหว่างแบงก์ต่างๆ เพื่อไปสร้างทีม ไปสร้างธุรกิจได้ทันที โดยเฉพาะตำแหน่งงานที่หารายได้ เช่น งานขาย งานพัฒนาธุรกิจ งานสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (RM) งานให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้า เป็นต้น ส่วนการกำหนดผลตอบแทน แต่ละแบงก์ต่างพยายามเสนอผลตอบแทนที่จูงใจ เพื่อดึงดูดคนใหม่มาร่วมงาน และรักษาคนเก่าไว้ สำหรับกสิกรไทยเน้นรับคนใหม่ที่มีความซื่อสัตย์ ทำงานแบบมืออาชีพ และมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร”

ขณะที่ ช่องทางการรับสมัครพนักงานนั้น พบว่า มีปริมาณการสมัครผ่านเว็บไซต์ 80% เพราะสะดวก รวดเร็ว ประหยัด โดยธนาคารต้องคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น ปีนี้ประกาศรับจำนวน 3,300 คน เป็นการคัดเลือกจากฐานข้อมูลที่ยื่นใบสมัครประมาณ 30,000-40,000 อัตราเลยทีเดียว

นายมนูญ สรรค์คุณากร รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มทรัพยากรบุคคล บมจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ธุรกิจธนาคารอยู่ในห้วงของการเจริญเติบโต ขณะเดียวกันทรัพยากรบุคคลของธนาคารยังมีการลาออกซ้ำๆ (turn over) เป็นลักษณะที่หมุนเข้ามาเป็นระยะ คาดว่าจะอยู่ในลักษณะนี้ไปอีก 1-2 ปี ขณะที่ธนาคารพยายามจะคัดสรรคนใหม่ให้เข้ามาอยู่ในวิชาชีพนานๆ จึงจำเป็นต้องรับคนใหม่เพิ่มขึ้นคาดว่าน่าจะมากกว่า 2เท่าของจีดีพี

“สำหรับไทยพาณิชย์ รับคนใหม่ 2,000 คน จากที่มีอยู่ 19,000 คน เพื่อรองรับการขยายงานและการลาออกประมาณ 8-9% ต่อปี สำหรับตำแหน่งที่ต้องการมีทั้งที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการควบรวมกิจการ หรือเทกโอเวอร์ เพื่อรองรับงานลูกค้ารายใหญ่ที่ขยายตัว”

ปิดท้ายที่ ดร.เอกพล ณ สงขลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายกลยุทธ์องค์กรและทรัพยากรบุคคล บมจ.ทหารไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารตั้งใจจะดูแลและให้บริการลูกค้าในสาขา รวมถึงดูแลความสัมพันธ์และแนะนำทั้งลูกค้ารายใหญ่ รายย่อยและเอสเอ็มอี จึงรับคนใหม่อีก 1,000 อัตราเพื่อรองรับการขยายงานจากที่มีพนักงานอยู่แล้วกว่า 8,000 คน
อาชีพ “ธนาคาร” เนื้อหอม-“แบงก์พาณิชย์” ฟาดหลักล้านรุมแย่งซื้อตัวคนเก่ง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คลังบทความของบล็อก