มีความต้องการสูงทองคำคาดว่าจะทะลุ 1,500 ดอลลาร์

ปัจจัยที่ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จนทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนในเวลานี้เกินระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาเงินที่พุ่งสูงทำสถิติในสัปดาห์นี้เช่นเดียวกัน
เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ เสถียรภาพของเงินตรา และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาทิ วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อในจีน ยิ่งทำให้ความต้องการทองคำมีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เวลานี้มีทองคำอยู่ในกองทุน exchange-traded รวมทั้งสิ้น 2,111 เมตริกตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 1.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อคำนวณจากราคาปัจจุบัน
การที่ทองคำได้รับความสนใจมากขึ้นส่งผลให้ราคาขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อราคาทองเพิ่มขึ้นความต้องการก็ยิ่งสูงตามไปอีก ในปี 2553 เพียงปีเดียว ทองคำมีราคาเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30% อย่างไรก็ดีในเวลานี้ราคาทองสูงขึ้นมาถึงระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญบางรายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าแนวโน้มราคาทองจะอ่อนตัวลงหรือไม่ "นักลงทุนจะเชื่อว่าราคาทองสูงเพียงพอแล้ว และรอก่อนจะลงทุนครั้งใหม่หรือไม่ นี่จะเป็นคำถามสำคัญ" จอร์จ เกโร รองประธานของอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ โกลบอล ฟิวเจอร์ส ให้ความเห็น
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20 เม.ย.) ราคาทองคำซื้อขายล่วงหน้าในตลาดโคเม็กซ์ที่จะส่งมอบในเดือนเมษายน พุ่งสูงถึง 1,505.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,498.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสัญญาซื้อขายทองคำที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดเป็นของงวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ซึ่งปิดตลาดที่ 1,498.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากพุ่งทำสถิติในระดับ 1,506.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ความต้องการซื้อขายทองคำล่วงหน้าซึ่งราคามีความสัมพันธ์กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้ทองดูเหมือนมีราคาถูกลงในสายตาของนักลงทุนนอกสหรัฐฯ นักลงทุนนิยมซื้อทองเพื่อใช้ประกันความเสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงิน จากประวัติศาสตร์ที่ทองเคยทำหน้าที่เป็นตัวเลือกเข้ามาทดแทนเงินตรา
การเพิ่มขึ้นของทองคำในกองทุน exchange-traded ส่งผลดีต่อราคาทอง เพราะช่วยทำให้การซื้อขายและจัดเก็บทองคำจริงๆ ของนักลงทุนรายย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เอสดีพีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ กองทุนลักษณะดังกล่าวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เวลานี้มีทองคำอยู่ในมือประมาณ 1,230 เมตริกตัน และเป็นเจ้าของทองในปริมาณมากเป็นอันดับ 4 รองจากธนาคารกลาง 3 แห่ง
จนถึงตอนนี้ ราคาทองในตลาดอยู่ในราคาที่สูงมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่ผิดกับช่วงทศวรรษ 1990 ที่การลงทุนในทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่สวนกระแส
ด้านราคาซื้อขายเงินล่วงหน้าก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำ โดยสัญญาซื้อขายงวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหวสูงที่สุด ปิดตลาดที่ 44.461 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากสร้างสถิติสูงสุดที่ 45.400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาดังกล่าวทำลายสถิติเดิมที่ 41.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2523

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,629 24-27 เมษายน พ.ศ. 2554

คลังบทความของบล็อก