ทองขึ้นวันเดียว 550 บาท (4 ส.ค.)

ดันแตะบาทละ 23,450 เร่งจับตากองทุนแห่เทขาย

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกและในประเทศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) โดยอยู่ที่ 1,666 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้งภายในวันเดียวหรือเพิ่มขึ้น 550 บาท ซึ่งทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 23,300 บาท
 ขายออกบาทละ 23,450 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 22,967.40 บาท ขายออกบาทละ 23,800 บาท เมื่อเทียบกับวันที่ 2 ส.ค. ราคาทองคำแท่งรับซื้อคืนบาทละ 22,800 บาท ขายออกบาทละ 22,900 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 22,467.12 บาท ขายออกบาทละ 23,300 บาท เป็นผลจากนักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางเกาหลีใต้ที่เข้าซื้อทองคำเพิ่มอีก 25 ตัน ซึ่งเป็นการเข้าซื้อครั้งแรกในรอบ 13 ปี

“สิ่งที่เราห่วงในขณะนี้คือปัญหาฟองสบู่ในราคาทองคำ เพราะเมื่อราคาเพิ่มขึ้นมากและเร็ว มีโอกาสที่ราคาทองจะลงเร็วเช่นกัน โดยต้องจับตากองทุนต่างๆว่าจะมีการเทขายทองคำออกมามากหรือไม่ แต่แนวโน้มระยะสั้นราคาทองคงไม่ลดลงไปมาก เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ทั้งสหรัฐ และยุโรป ส่งผลให้นักลงทุนวิ่งหาสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน ดังนั้น นักลงทุนที่ถือทองคำอยู่ ควรทยอยแบ่งขายทำกำไร และรอราคาย่อตัวก่อนเข้าลงทุนใหม่”

น.ส.ณัฐที จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาทองคำในตลาดโลกและในประเทศปรับขึ้นทำสถิติสูงสุด เป็นผลจากความกังวลปัญหาหนี้ในยุโรป และสหรัฐ ที่แม้สหรัฐจะเพิ่มเพดานหนี้ได้สำเร็จ แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับทริปเปิ้ลเอ (เอเอเอ) เพราะหากภายใน 6 เดือน ปัญหาหนี้ในสหรัฐยังไม่ดีขึ้น อาจถูกสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิสปรับลดความน่าเชื่อลงได้ นอกจากนี้ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียหันมาซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรอง

“ขณะนี้ความต้องการซื้อทองคำมีมากขึ้น หลังธนาคารกลางทั่วโลกหันมาสะสมทองคำเพิ่มขึ้น ประกอบกับความกังวลเรื่องหนี้ในสหรัฐและยุโรป จึงเป็นปัจจัยผลักดันให้ราคาทองเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งล่าสุดกองทุนเอสพีดีอาร์ ซื้อทองคำในวันเดียวถึง 18 ตัน ขณะที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ซื้อทองคำถึง 25 ตัน และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซื้อทองคำเพิ่ม 17 ตัน เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและช่วยป้องกันความเสี่ยงได้”

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังนี้นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะราคาปรับเพิ่มขึ้นแรงจึงมีโอกาสปรับฐานลงเร็ว โดยในเดือน มิ.ย. ราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ 1,477 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 1,664 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นถึง 170 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีโอกาสปรับฐานลงประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และต้องติดตามว่าจะหลุดแนวรับที่ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือไม่ หากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,550-1,580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากปรับขึ้นเหนือแนวต้านที่ 1,664-1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ มีโอกาสไปทดสอบจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 24,000 บาท ดังนั้น ผู้ที่ถือทองคำอยู่แล้วแนะนำทยอยขาย

บทวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ระบุว่า ในวันที่ 2 ส.ค. ราคาทองคำในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่า 2% ซึ่งเป็นครั้งใหญ่สุดนับแต่วันที่ 5 พ.ย.53 เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย.
ที่มาเดลินิวส์

คลังบทความของบล็อก