ตลอดปีเสือดุ เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายทั้งดีและไม่ดี จนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศเรื่อยไปจนถึงระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ ก่อนจะย่างเข้าสู่ปีใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง “ทีมเศรษฐกิจเดลินิวส์” ขอประมวลเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ และเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจ มาให้รำลึกถึงกันอีกครั้งเพื่อเป็นการเตือนใจให้คนไทยทั้งประเทศนำไปใช้เป็นแนวทางก่อนตัดสินใจและดำเนินชีวิตในปีกระต่าย ได้อย่างมั่นคงต่อไป
ประชาวิวัฒน์กับคิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ
ประเดิมจากนโยบาย ประชาวิวัฒน์ ซึ่งรัฐบาลได้โหมโรงซื้อใจชาวรากหญ้าอีกรอบ เพื่อเตรียมการรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2554 ภายใต้ชื่อโครงการปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ ด้วยการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจโดยการปรับโครงสร้างราคาสินค้าอาหารและพลังงาน และการดูแลเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้าสู่ในระบบ ด้วยการทำให้บรรดาผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งวินมอเตอร์ไซค์ คนขับรถแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย ให้มีสิทธิในระบบประกันสังคม เข้าถึงแหล่งเงินทุน ขจัดปัญหาเรื่องหัวคิวรายเดือน โดยหวังว่าจะช่วยกลุ่มคนเหล่านี้ได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศโครงการนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ม.ค. 2554
สองขั้วสงครามชิงข้าว
ตามด้วยกระทรวงพาณิชย์ ต้องยกให้ สงครามชิงข้าว ของ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดศึกยื้อยุดฉุดกระชากกันนานแรมปี จนอดสงสัยไม่ได้ว่า มีอะไรดีซ่อนอยู่ใต้กองข้าวนั้น เริ่มตั้งแต่สมัย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ที่สวมบทคุณชายละเอียดสรรหาร้อยเหตุผลหักห้ามไม่ให้กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวจน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ต้องออกล้อฟรีขายไม่ได้ไป 3 รอบ แถมยังดันให้ ครม. มีมติสั่งให้การขายข้าวและสินค้าเกษตรทุก ๆ ครั้ง ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ด้วย ส่งผลให้สต๊อกข้าวช่วงนั้นขายไม่ออกกองสูงพะเนินเทินทึกท่วมหัว
ต่อมาหนังเกิดหักมุมตอนต้นปีเมื่อคุณชายละเอียดต้องผันตัวเองนั่งเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีอำนาจดูแลข้าวจึงตกอยู่ มือ รองนายกฯสามสี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี แทน ด้วยบุคลิกทั้ง 2 คนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การมานั่งของมิสเตอร์สามสี จึงเสมือนกาวใจ ช่วยยุติศึกเกาเหลาหม้อไฟให้สงบลง จนท้ายที่สุด ครม. ต้องมีมติส่งอำนาจขายข้าวคืนกระทรวงพาณิชย์ดูแลเหมือนเดิมและข้าวรวมถึงสินค้าเกษตรอื่นก็ทยอยขายได้จนเกือบหมด
แต่กว่าสงครามชิงข้าวจะยุติ เล่นเอาประเทศชาติเสียหาย มหาศาล เพราะแทนที่ข้าวในสต๊อกรัฐ 5-6 ล้านตัน จะขายได้ตันละ 1.4-1.5 หมื่นบาท แต่ทะเลาะกันไปมาท้ายสุดขายเพียง 1.1-1.2 หมื่นบาท ขาดทุนเท่าไรคำนวณกันดูเอง ไม่นับรวมค่าเช่าโกดังฝากเก็บที่รัฐต้องจ่ายอีกนับพัน ๆ ล้าน บทสรุปงานนี้คือ เจ๊ง!
น้ำตาลขาดแคลน
ตามด้วย น้ำตาลขม อย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นปัญหาจนได้กับสถานการณ์น้ำตาลทรายในบ้านเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศบราซิล แต่ก็เกิดการขาดแคลนถึง 2 ครั้ง 2 คราในช่วงปลายปี 2553 เพราะอยู่ ๆ ประชาชนก็หาซื้อได้ยาก แถมบางพื้นที่ราคาพุ่งแตะ 28-29 บาท/กก. จนสร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก ทำเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ต่างโยนความรับผิดชอบกันจ้าละหวั่น
ในฤดูกาลผลิตน้ำตาล 52/53 คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กำหนดโควตา ก. (บริโภคในประเทศ) ไว้ถึง 22 ล้านกระสอบ สูงกว่าปีการผลิต 51/52 ที่มีกำหนดไว้เพียง 19 ล้านกระสอบ ซึ่งตามหลักการแล้วคงจะเพียงพอต่อความต้องการบริโภคของประชาชนและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม แต่ก็ประเมินผิดพลาดเพราะในปี 2553 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้มีสูงอย่างมาก ประกอบกับมีช่วงหน้าร้อนที่ยาวนาน และตรงกับเทศกาลแข่งขันฟุตบอลปี ค.ศ. 2010 ยิ่งทำให้ความต้องการเครื่องดื่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมาก
ที่สำคัญปีที่ผ่านมาราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกปรับขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอินเดียประสบปัญหาภัยธรรมชาติจึงลดการส่งออก รวมถึงความต้องการในจีนพุ่ง และที่ขาดไม่ได้คือการเก็งกำไรของกองทุนเฮดฟันด์ผสมโรง ทำให้ผู้ส่งออกที่ได้สิทธิน้ำตาลทรายโควตา ค. (ส่งออก) ต่างก็เร่งส่งออก
เห็นได้จากราคาซื้อขายน้ำตาลทรายในประเทศต่าง ๆ เช่น ราคาน้ำตาลทรายปลีก จีน 29-31 บาทต่อกิโลกรัม ลาว 30-33 บาท, เวียดนามอยู่ที่ 40-41.60 บาท, ฟิลิปปินส์ 36-39 บาท, กัมพูชาอยู่ที่ 33-36 บาท, อินโดนีเซีย 37-40 บาท, หรือแม้แต่พม่าในบางตลาดราคาขายปลีกสูงลิบถึง 80 บาท แต่ราคาน้ำตาลทรายของไทย 21.50-23.50 บาท/กก. เท่านั้นทำให้น้ำตาลโควตา ก. ส่วนหนึ่งแอบลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน
สุดท้ายกระทรวงอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายรับซื้อน้ำตาลโควตา ค. (ส่งออก) เพิ่มเติมจากผู้ส่งออกในราคาตลาดโลกมาขายประชาชนราคาถูกจำนวน 7.43 แสนกระสอบ แถมไล่บี้กลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มและผลิตอาหารที่ทำสัญญาซื้อจากโรงงานน้ำตาลมากเกินไปแต่ก็เหลือใช้กว่า 2 แสนกระสอบเพราะมาเจอปัญหาอุทกภัยทั่วประเทศ
บทเรียนที่ผิดพลาดกับเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนไทยทำให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลจึงกำหนดน้ำตาลที่ใช้ในการบริโภคในประเทศฤดูกาลผลิตปี 53/54 เป็น 25 ล้านกระสอบสูงกว่าปีก่อนถึง 3 ล้านกระสอบ แถมยังประสานงานกรมศุลกากร, โรงงานน้ำตาล และทหารในการคุมเข้มการลักลอบไปขายเพื่อนบ้าน
เผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์
ข่าวใหญ่สุดในรอบปีของวงการค้าปลีกในปีเสือ คงหนีไม่พ้นข่าว ศูนย์การค้าขนาดใหญ่สุดของไทย เซ็นทรัลเวิลด์ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท สุดยิ่งใหญ่และสวยงามสุดแห่งหนึ่งของประเทศ ถูกลอบวางเพลิงจากการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 19 พ.ค. 53 สร้างความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทำให้พื้นที่ของศูนย์การค้าประมาณ 5% ถูกไฟไหม้และต้องปิดให้บริการลง คนทั่วโลกและคนไทยอยู่ในภาวะตกตะลึง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของไทย กลายสภาพเป็นตึกร้างที่ไร้คนอยู่และนักชอปปิงหายกระเจิง!!!
สำหรับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา หรือ ซีพีเอ็น ในฐานะเจ้าของต้องใช้งบปรับปรุงศูนย์การค้าทั้งหมดหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ถึง 2,800 ล้านบาท พร้อมประกาศกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งวันที่ 28 ก.ย. 53 หลังจากปิดให้บริการนานกว่า 4 เดือน
พลิกปูมประวัติเซ็นทรัลเวิดล์นั้น เดิมชื่อ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ บริหารงานโดย บริษัท วังเพชรบูรณ์ แต่ประสบปัญหาการเงินจนถูก ซีพีเอ็น เข้ามาประมูลบริหารต่อ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดบริการครั้งแรกวันที่ 8 พ.ย. 50 ใช้เงินก่อสร้างศูนย์การค้าครั้งแรกกว่า 10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 6-7 ปี แม้จะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และทำให้ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการไปก็ตาม โดยเซ็นทรัลเวิลด์ มีพื้นที่รวม 550,000 ตารางเมตร ถือเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่อันดับสองของเอเชีย
ตบท้ายที่ข่าวใหญ่อีกข่าวในไทยส่งท้ายปี กับ ห้างคาร์ฟูร์ โบกมือลาประเทศอย่างเป็นทางการ หลังจากบริหารงานไม่ประสบความสำเร็จและสู้คู่แข่งค้าปลีกรายอื่นไม่ได้ ก่อนถูก คาสิโน กรุ๊ป บริษัทแม่บิ๊กซี ซื้อกิจการเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา มูลค่า 35,000 ล้านบาท ปิดตำนานคาร์ฟูร์ในไทยที่เข้ามาในตลาดตั้งแต่ปี 39 นาทีนี้วงการค้าปลีกไทยจึงเหลือคู่แข่ง 2 รายคือ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี สมรภูมิค้าปลีกบ้านเราจึงระอุสุดขีดอีกครั้ง!!
นักท่องเที่ยวกระเจิง
เช่นเดียวกับธุรกิจท่องเที่ยวบอบช้ำสุด ๆ เพราะเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีปัจจัยลบมาปกคลุมเกือบทั้งปี โดยประเดิมต้นปีช่วง ม.ค.-ก.พ. นั้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวเติบโตถึง 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ใคร ๆ ในภาคท่องเที่ยวก็ต่างมีความหวังว่าการท่องเที่ยวจะสดใสไฉไลหลังจากปี 52 ต้องห่อเหี่ยวเพราะพิษการเมืองช่วงกลางปี แต่แล้วเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองจนถึงขั้นเผาสถานที่สำคัญ ๆ มาเบรกการเติบโตของภาคท่องเที่ยวจนได้ ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยชะงักไปครึ่งปีเต็ม โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือน มี.ค. และลดลงรุนแรงในเดือน เม.ย. ทั้งที่ควรจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามาก เพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่บางวันมีเข้ามาไม่ถึง 20,000 คน จากที่เคยเข้ามาปกติวันละ 30,000 กว่าคนทางสนามบินสุวรรณภูมิ
จนกระทั่งเดือน พ.ค. หลังจบเหตุการณ์ชุมนุม เผาสถานที่สำคัญหลายจุด นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มากนักในส่วนของธุรกิจโรงแรม พบว่า โรงแรมในเขตกรุงเทพฯ อัตราเข้าพักเหลือแค่ 10-20% เท่านั้นช่วงที่มีเหตุรุนแรงและมีถึง 21 แห่งในย่านราชประสงค์และใกล้เคียงต้องปิดโรงแรมชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย คิดเป็นความเสียหายไม่ต่ำกว่า 11,275 ล้านบาท
เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 13 ปี
ด้าน ค่าเงินบาท ทุบสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี แตะระดับที่ 29.45-29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 40 ผลพวงมาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจหรือเรียกว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ซึ่งเกิดจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ซับไพร์มที่เริ่มสะสมมาตั้งแต่ปี 47 ส่งผลให้ 3 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ทั้ง เลห์แมน บราเธอร์ส, เมอร์ริล ลินช์ และอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ เอไอจี อาการร่อแร่จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องฉีดเงินเข้าระบบเพื่อสะสางปัญหา และล่าสุดเฟดได้อัดเงินเข้าระบบอีก 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ผ่านการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล โดยมีกำหนดซื้อคืนเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 8 เดือน พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0%-0.25% เพื่อปลุกเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งการดำเนินนโยบายของเฟดเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหนักกว่าเดิม เนื่องจากนักลงทุนเบนเข็มไปลงทุนหรือถือครองสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความมั่นคงปลอดภัย และให้ผลตอบแทนที่งอกงามกว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ รวมทั้งมองหาผลกำไรจากหุ้น และสกุลเงิน ในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในแถบเอเชียที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าสหรัฐ
นอกจากนี้ปัญหาความตึงเครียดในยุโรป โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่สูงลิบลิ่วที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมาก่อนหน้านี้ทั้งกรีซ และไอร์แลนด์ทำให้นักลงทุนต่างชาติแห่เข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียกันอย่างคึกคัก ผนวกกับในช่วงปี 53 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งจนทำให้ดอกเบี้ยขึ้นมายืนอยู่ระดับ 2% ถือเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น และเพิ่มแรงกดดันค่าเงินแข็งค่าขึ้นอีก
ตลาดหุ้นไทยสุดร้อนแรง
ในฝั่งของ ตลาดหุ้นไทย ก็ร้อนระอุไม่แพ้แวดวงอื่น ๆ เพราะหลังจากดัชนีแกว่งตัวแบบทรง ๆ ทรุด ๆ มากว่าครึ่งปีตามกระแสข่าวหรือปัจจัยบวกลบที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่หลังจากลุ้นกันจนตัวโก่งมานาน ผสมโรงกับเงินทุนนอกที่มีอยู่ล้นระบบได้ไหลทะลักเข้ามาลงทุนในเอเชียและไทยอย่างต่อเนื่อง จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยก็พลิกฟื้นคืนชีพขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,000 จุด ได้อีกครั้ง ซึ่งเรียกว่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี นับจากปี 39
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยที่ยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้ หรือปิดที่ 1,003.24 จุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 53 ได้สร้างบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาคึกคักและอยู่ในภาวะกระทิงดุขึ้นมาทันที หลังจากคลานอยู่ในภาวะหมีนอนนิ่งมานาน จนเป็นผลพวงให้ตัวเลขหลายตัวของตลาดหุ้นไทยทุบสถิติใหม่!!! และสูงสุดนับแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มา เห็นได้จาก ณ วันที่ 29 ต.ค. 53 มูลค่าการซื้อขายของผู้ลงทุนสูงถึงเฉลี่ยวันละ 26,957.81 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูง ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ทำสถิติสูงสุดมาอยู่ที่ 8.06 ล้านล้านบาท (เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 53) คิดเป็น 84% ของจีดีพี ส่วนจำนวนบัญชีที่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 178,000 บัญชีในเดือน ก.ย. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่หากรวมจำนวนบัญชีทั้งหมดที่มีการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมใน ตลท. ทั้งที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการแล้ว จะมีจำนวนบัญชีสูงถึงกว่า 15 ล้านบัญชี
การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ได้ทำสถิติการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุด นับตั้งแต่การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์เช่นกัน โดยเดือน ต.ค. 53 ตลาดอนุพันธ์ มีปริมาณการซื้อขายรวม 461,874 สัญญา ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 23,362 สัญญา เพิ่มขึ้น 45.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส) ทำสถิติซื้อขายเฉลี่ยวันสูงสุดที่ 6,448 สัญญา สูงสุดนับแต่เริ่มเปิดการซื้อขายในเดือน ก.พ. 52 แบ่งเป็นสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์ส ขนาด 50 บาท 4,234 สัญญา และมินิโกลด์ฟิวเจอร์ส (ขนาด 10 บาทต่อสัญญา) 2,214 สัญญา เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
ประจานสุวรรณภูมิ (เถื่อน)
ฟาก กระทรวงคมนาคม ก็มีเหตุการณ์ที่ดูงามหน้าถูก ประจานบนหน้าหนังสือพิมพ์หน้า 1 ที่ผู้คนยังจำไม่รู้ลืม คือ จู่ ๆ อาคารจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สวมเสื้อชุดดำกลุ่มเบ้อเร่อ เข้ามาเดินในอาคารจอดรถกันให้พรึ่บ ถึงขนาดต้องประกาศให้ย้ายรถออก ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งของผู้ถือหุ้นใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ผู้รับสัมปทานอาคารจอดรถ ตกลงกันเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว จนเป็นที่มาของการนำพวกชายฉกรรจ์มาประลองกำลังกันที่อาคารจอดรถสุวรรณภูมิ
สุดท้ายทางคณะกรรมการ บริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ทนสภาพไม่ได้ เพราะบริษัทปาร์คกิ้ง ให้บริการก็ไม่ได้ เงินค่าสัมปทานก็ส่งไม่ครบ เลยสั่งยกเลิกสัมปทาน จากนั้นเรื่องวุ่น ๆ ก็ยังไม่จบ เพราะ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม สั่งตั้งคณะกรรมการที่มี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดกระทรวงคมนาคม ขึ้นมาดูปัญหาทั้งหมดของสนามบินสุวรรณภูมิ จนเป็นที่มาของการรื้อสารพัดสัญญาที่ทำไว้หละหลวม เหมือนหลับตาข้างเดียว ดูแล้วเข้าทางเอื้อให้เอกชน อย่างกรณีสัญญาสัมปทานอาคารจอดรถ กลับพบว่า หาก ทอท. จัดเก็บเงินเอง จะได้รายได้มากกว่า ในที่สุดบอร์ดทอท. จึงได้มีมติสั่งให้ ทอท. จัดเก็บค่าจอดรถในอาคารจอดรถเองต่อไปและยังต้องลุ้นกันต่อไปว่า จะมีสัญญาฉบับไหนถูกขึ้นมาสะสางอีก หรือไม่?
หวยออนไลน์ร้อน ๆ
ปิดท้ายเป็นที่ฮือฮากันอีกรอบหลังจากค้างเติ่งกันมานานตั้งแต่ปลายปี 49 หลังจาก หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.คลัง ในขณะนั้นได้ประกาศยุติการขายหวย ออนไลน์เป็นการชั่วคราว จากนั้นโครงการนี้ก็เผชิญวิบากกรรมระหกระเหินเรื่อยมาจนถึงรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาแก้ไขปัญหาโครงการหวยออนไลน์ โดยมี นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทยหรือ ทีทีอาร์ รับผิดชอบเป็นประธานคณะกรรมการ ฯ ที่ใช้เวลาราว 3 เดือนหารือร่วมกันมากถึง 17 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 53 นายเกียรติ ได้เสนอรายละเอียดให้นายกฯ นำไปพิจารณาก่อนตัดสินใจเชิงนโยบายต่อไป ซึ่งแนวทางหนึ่ง คือ การนำเครื่องออนไลน์ไปใช้จำหน่ายลอตเตอรี่ 6 ตัว แทนซึ่งจะแก้ไขปัญหาลอตเตอรี่แพงได้อีกต่างหาก ทำเอาบรรดาคอหวยต่างฝันหวานกันไปเป็นแถว
ข่าวนี้ดูจะประจวบเหมาะกับคำตัดสินของศาลฎีกาที่ได้ยกฟ้องสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 2,508 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ตั้งแต่ปี 43 ให้กับบริษัท จาโก้ ในคดีหวยออนไลน์ ที่ค้างเติ่งกันมานาน ตั้งแต่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 47 ให้สำนักงานสลากฯ ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตฯ ให้ชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท จาโก้ แต่สำนักงานสลากฯ ได้ยื่นขออุทธรณ์และฎีกา เพื่อขอต่อสู้คดี จนศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้องเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 53 แต่จนแล้วจนรอดจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องนี้เพราะนายอภิสิทธิ์ ได้ส่งเรื่องนี้ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พิจารณาและเตรียมเสนอให้เป็นคดีพิเศษ เพราะสัญญาโครงการหวยออนไลน์หมิ่นเหม่ต่อการขัดกฎหมายว่าด้วยการสมยอมกันในเรื่องการเสนอราคากระทำผิดหรือ พ.ร.บ.ฮั้ว จึงทำให้บรรดาเซียนหวยต่างรอแล้วรออีก
ข่าวฮอต เรื่องร้อน คนแรงในปีเสือได้ผ่านพ้นอย่างทุลักทุเลไปแล้ว ดังนั้นในปีกระต่ายนี้ทุกฝ่ายต้องนำบทเรียนที่ได้รับจากปีก่อนมาปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!!.
ที่มา ทีมเศรษฐกิจ เดลินิวส์
ข่าวหุ้น,ตลาดหุ้น,ข่าวธุรกิจ,การซื้อขาย,สกุลเงินซื้อขาย,trading currency,forex trader,forex online trading,forex trading,trade,traing
คลังบทความของบล็อก
-
►
2011
(73)
- ► กุมภาพันธ์ (11)
-
▼
2010
(29)
-
▼
ธันวาคม
(23)
- สรุปข่าวเด่นเศรษฐกิจปีเสือ
- “เฟซบุ๊ก” เปิดสงครามสื่อสังคมชิงบัลลังก์ “กูเกิล”
- ทิศทางหุ้น
- มารู้จักกับเงินฝาก และกองทุนที่มีอนุพันธ์ทางการเงิน
- คุณค่าของคน:อยู่ที่ตัวเอง-2 (นายสตีฟ จอบส์)
- คุณค่าของคน : อยู่ที่ตัวเอง-1 (นายสตีฟ จอบส์)
- คำกล่าวสุนทรพจน์ของนายสตีฟ จอบส์
- ภารกิจใหม่ ไปรษณีย์ไทย
- สร้างโอกาสด้วยกูเกิล นายหน้าขายสินค้า ให้กับอมาซอน...
- ตรึงราคาน้ำมันเอาใจคนไทยถึงหลังปีใหม่
- ช่องทางทำกิน'สระน้ำน้องหมา'อินเทรนด์...เป็นกำไร
- ทำเงินบนโลกไอที (47) : "นักเล่น Social Network" อา...
- ทำเงินบนโลกไอที (49) - Joomla! เล็กรวยได้ ใหญ่รวยดี
- 10 แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นบนโลกไอที ในปี 54
- ไม่ว่าอาชีพไหนก็ขาดแผนการเงินไม่ได้
- ลงทุนตราสารหนี้...เพราะไม่ถูกโฉลกกับหุ้น
- ทำไมต้องทำ "ประกันบำนาญ"
- "ชนัดดา อติเศรษฐ์"ไม่สำคัญว่าหาได้เท่าไร...แต่จะออ...
- ปชป.รอดหนุนหุ้นขึ้น10จุด โบรกฯแนะติดตามปัจจัยนอก-ก...
- ผักผลไม้สีม่วงช่วยลดโรค
- "บ้านดิน" กระแสใหม่ "รักสุขภาพ"
- ทุนต่างชาติท่วมตลาดหุ้น-พันธบัตร ชี้ปีหน้าบาทแตะ28...
- เฟซบุ๊กปรับหน้า นักวิเคราะห์คาดทำเงินได้มากขึ้น
-
▼
ธันวาคม
(23)