ทุนต่างชาติท่วมตลาดหุ้น-พันธบัตร ชี้ปีหน้าบาทแตะ28บาท เตือนทองปรับฐาน

ทุนต่างชาติท่วมตลาดหุ้น-พันธบัตร ชี้ปีหน้าบาทแตะ28บาท เตือนทองปรับฐาน

นักค้าเงิน-นักลงทุน หวั่นเงินต่างชาติไหลท่วมตลาดหุ้น-บอนด์ กดดันทางการออกมาตรการสกัดเงินร้อน ฉุดบรรยากาศลงทุนสะดุด เผยปีนี้ต่างชาติซื้อพันธบัตรไทยกว่า 1.2 แสนล้าน และซื้อหุ้นไทยเฉียด 6 หมื่นล้านบาท คาดปีหน้าค่าบาทแข็งแตะ 28 บาท/ดอลลาร์ ราคาทองทำนิวไฮ 1,500 เหรียญต่อออนซ์ เตือนอาจปรับฐานช่วงสั้นถ้าสหรัฐมีข่าวดี


จากแนวโน้มเงินลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางจึงต้องอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ขณะที่ปัญหาในยุโรปยังลุกลาม ทำให้นักลงทุนต่างถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำโดยเฉพาะทองคำ ตลาดคอมโมดิตี้มีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพคล่องที่ท่วมนี้นักลงทุนต่างชาติไม่มีที่ไปต่างหันมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย

ทั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยได้เปรียบเทียบการแข็งค่าของเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาค เอเชีย พบว่าตั้งแต่ต้นปี-3 ธ.ค. 2553 เงินบาทแข็งค่า 11% ล่าสุดอยู่ที่ 30 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินของมาเลเซียแข็งค่า 9% สิงคโปร์และออสเตรเลียแข็งค่า 7% และค่าเงินของฟิลิปปินส์แข็งขึ้น 5% อินโดนีเซีย 4% จีน 3% อินเดีย 2% และเกาหลีใต้ 1%

คาดสิ้นปี"54 แตะ 28 บาท/ดอลล์

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ และไม่มีเงินไหลเข้ามากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่ต้องติดตามปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปซึ่งเชื่อว่าจะไม่ขยายวงกว้างออกไป และมาตรการอัดฉีด QE2 ที่เฟดอาจต้องใช้เงินมากกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย คาดว่า สิ้นปีนี้ค่าเงินบาทน่าจะปิดที่ระดับ 29.50-29.75 บาท/ดอลลาร์ และแนวโน้มปีหน้าจะแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 28.00 บาท/ดอลลาร์

"แม้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า แต่ต้องติดตามตลาด หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี เงินก็พร้อมจะวิ่งกลับเข้าไปในดอลลาร์ ซึ่งตอนนั้นแม้ดอกเบี้ยไทยจะสูงกว่าสหรัฐก็ไม่มีความหมาย แต่เมื่อไหร่ที่ตลาดนิ่งไม่มีประเด็นใหม่ ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่าง 2 ตลาดอาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนับสนุนการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ"

ส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาตินั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเห็น ธปท.ออกมาตรการเพื่อมาดูแลการเข้ามาลงทุนในพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่นางเมธินี จงสฤษณ์หวัง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่บางช่วงของปี 2554 จะเห็นเงินบาทแข็งค่ากว่า 28.00 บาท/ดอลลาร์ เพราะส่วนต่าง ดอกเบี้ยในประเทศที่สูงกว่าสหรัฐ จะเป็นปัจจัยดึงเงินทุนต่างชาติให้ไหลเข้า ขณะที่ตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตร ธปท. มีการออกพันธบัตรใหม่ทดแทนพันธบัตรที่หมดอายุ (roll over) อยู่ตลอด จะเป็นแหล่งลงทุนที่ดีของต่างชาติ แต่คาดว่า ธปท.คงมีมาตรการไว้รองรับในส่วนนี้แล้ว

ต่างชาติซื้อบอนด์ไทยกว่า 1.2 แสน ล.

นางสาวอริยา ติรณะประกิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ในช่วงท้ายปี กองทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดงบฯไปแล้ว ทำให้การเข้ามาลงทุนชะลอตัวลง แต่ยังคงมีการซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือน พ.ย. ต่างชาติซื้อสุทธิ 8,800 ล้านบาท เทียบกับ 38,000 ล้านบาท และ 23,000 ล้านบาท ในเดือน ก.ย.และ ต.ค. ตามลำดับ ส่วน 3 วันทำการแรกของเดือน ธ.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิ 22,000 ล้านบาท ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึง 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในพันธบัตรไทย 120,000 ล้านบาท มียอดคงค้างสุทธิ 206,000 ล้านบาท เทียบกับระดับคงค้างสูงสุดในเดือน พ.ย.ที่ 209,000 ล้านบาท

"การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนในตลาด หรือ yield ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 0.05-0.10% การที่ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยคงได้ประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการก๊อก 2 ไว้รองรับเงินทุนไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่เริ่มใช้มาตรการไปแล้ว เช่นไต้หวันที่ใช้มาตรการเก็บภาษี" นางสาวอริยากล่าว

ดัชนีปี54 แตะ 1,020 จุด

ด้านตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องในช่วงท้ายปีนี้ โดยล่าสุด (7 ธ.ค.) ดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,040.72 จุด ทำให้ทั้งปีดัชนีปรับขึ้นมาแล้ว 306 จุด หรือเพิ่มขึ้น 40% จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 733.71 จุด โดยปีนี้ดัชนีขึ้นสูงสุดที่ 1,049.99 จุด (8 พ.ย.) และต่ำสุด 685.89 จุด (9 ก.พ.) ขณะที่มูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.448 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี"52 ที่อยู่ 5.873 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2.576 ล้านล้านบาท ขณะที่ปีนี้นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิประมาณ 58,176 ล้านบาท สูงกว่าปี 2552 ที่ซื้อสุทธิเพียง 38,230.89 ล้านบาท

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะลดความหวือหวาลง เมื่อเทียบกับปี 2553 โดยคาดว่าดัชนีสิ้นปี 2554 จะอยู่ที่ 1,020 จุด ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเปราะบาง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปก็ยังมีปัญหาหนี้เสียสูงในหลายประเทศ เพราะหากเกิดข่าวร้ายออกมา จะฉุดการลงทุนตลาดหุ้นทั้งโลกได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเงินลงทุนต่างชาติเชื่อว่ายังคงไหลเข้าต่อเนื่องจากสภาพคล่องในระบบตลาดเงินโลกล้น ซึ่งจะประคองให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยืนที่ระดับ 1,000 จุด

ด้านสมาคมนักวิเคราะห์ สำรวจความมั่นใจนักวิเคราะห์ (5 พ.ย.) ได้มีการปรับเป้าดัชนีหุ้นปลายปี 2553 เฉลี่ยที่ 1,038 จุด และปี 2554 อยู่ที่ 1,133 จุด ภายใต้ปัจจัยลบ 3 อันดับที่น่ากังวล คือ การเมืองในประเทศ การแข็งค่าของค่าเงินบาท และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป

ทองไทยทำนิวไฮ 20,500 บาท

ด้านตลาดทองคำในตลาดโลก (7 ธ.ค.) ได้มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,422 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศเปิดตลาดขึ้นไปสูงสุดที่บาทละ 20,500 บาท นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณศิริ กรรมการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำโลกขึ้นไปทดสอบที่ 1,424 เหรียญต่อออนซ์ หลังจากสหรัฐประกาศตัวเลข คนว่างงานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 9.8% ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดแรงซื้อทองคำ

โดยล่าสุดกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก (SPDR) มีการซื้อทองคำวันละ 3-4 ตัน ทำให้ปัจจุบันถือครองทองคำประมาณ 1,298 ตัน จึงเชื่อว่าในระยะสั้นราคาทองคำอาจจะมีการปรับขึ้นโดยเฉพาะช่วงปีใหม่ราคาจะสูงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 1,500-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับราคาทองในไทยมีการปรับตัวช้า เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งล่าสุดได้ขึ้นมาทะลุบาทละ 20,000 บาทแล้ว หากดูตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาทองคำโลกขึ้นมากว่า 24.24% จากต้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,112 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในไทยเพิ่มขึ้น 11.33% จากบาทละ 17,650 บาท เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำโลกในปีหน้า จะต้องจับตามแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ของบริษัทในสหรัฐดีขึ้น จะทำให้นักลงทุนลดความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐลง ซึ่งจะทำให้กล้ากลับเข้าไปถือสินทรัพย์ดอลลาร์มากขึ้น จะทำให้ราคาทองลดความร้อนแรง ซึ่งจะเห็นการปรับฐานลงมาที่ 1,200 บาท
ที่มาประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คลังบทความของบล็อก