เปิดคัมภีร์วิธีการหากำไรจากหุ้นบนฟองสบู่

ปิดคัมภีร์วิธีการหากำไรจากหุ้นบนฟองสบู่
ตลาดหุ้นไทย ปี 2553 ได้ทำลายสถิติ และสร้างประวัติศาสตร์ หน้าใหม่ไว้อย่างงดงาม โดยดัชนีหุ้น ได้กลับมายืนผงาดด้วย เลข 4 หลัก หรือทะยานขึ้นยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้อีกครั้ง หลังการรอคอยที่ยาวนานกว่า 14 ปี นับจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2539 ที่ดัชนีไหลรูดลงจากระดับ 1,400 จุด

โดยหากเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทั่วทั้งโลกแล้ว พบว่าหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยเพิ่มขึ้น 287.45 จุด จากสิ้นปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 734.54 จุด มาอยู่ที่ 1,021.99 จุด หรือเพิ่มขึ้น 40% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งปรับขึ้น 42.5%

ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นอย่างร้อนแรง ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ตัวเลขที่สะท้อน ถึงความมั่งคั่งอู้ฟู่ของนักลงทุนในตลาดหุ้น ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นไทยมา โดยมีมูลค่าสูงกว่า 8.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37 ล้านล้านบาท จากปี 52

ขณะที่มูลค่าการซื้อขาย เฉลี่ยต่อวันที่นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศขนเงินเข้ามาซื้อขายหุ้นไทย ในแต่ละวันนั้น สูงขึ้นกว่า 29,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแทบไม่น่าเชื่อว่า ในบางเดือน เช่น เดือน พ.ย. มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยทะลุกว่า 40,000 ล้านบาทต่อวัน สูงกว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางการเงินในอาเซียนเลยทีเดียว!!

จึงมีคำถามว่า การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ จะเป็นการปรับขึ้นรอบใหญ่ต่อเนื่องมาถึงปี 54 ด้วยหรือไม่

กระแสเงินทุนไหลเข้า ที่เป็นตัวการสำคัญผลักดัน ให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้น โดยต่างชาติโชว์ยอดซื้อสุทธิกว่า 80,000 ล้านบาท ในปีที่แล้วนั้น มาปีนี้เงินต่างชาติจะยังคงไหลทะลักเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อหรือไม่

ฟองสบู่ตลาดหุ้นจะยังฟูฟ่องล่องลอยไปได้อีกนานและมากแค่ไหน!!

ปัจจัยบวกที่ยังเป็นตัวหนุนการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยในปีนี้คืออะไร ยังมีอยู่หรือ และอะไรคือความเสี่ยงของตลาดหุ้นที่นักลงทุนควรระวังผู้มีเงินออมจะยังสามารถเข้ามาหาผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อยู่หรือไม่!!

"ทีมข่าวเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมข้อมูลและหาคำตอบจากเหล่ากูรูยอดเซียนในตลาดหุ้นมาให้ได้พิเคราะห์พิจารณาไว้ ณ ที่นี้แล้ว

-----------

จากการสำรวจตรวจสอบการประเมิน ทิศทางตลาดหุ้นปี 54 ของโบรกเกอร์ สำนักต่างๆของไทย พบว่าแทบทุกแห่งต่าง ประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นแทบทั้งสิ้น (ในตาราง) โดยมองว่าดัชนีหุ้นจะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ให้เป้าหมายดัชนีที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยสูงกว่าระดับ 1,200 จุด

ส่วนโอกาสที่ดัชนีจะไปได้สูงสุดนั้น บางแห่งมองไปไกลถึงระดับ 1,400-1,500 จุด!! ในทางตรงกันข้าม โบรกเกอร์หลายสำนักก็ประเมินปัจจัยความเสี่ยงที่จะกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสร่วงลงไปได้ถึงระดับ 850 จุด

ทีนี้มาดูกันว่า กูรูแต่ละคนให้เหตุผลแนะกลยุทธ์คัมภีร์การลงทุนปีนี้ไว้อย่างไร เชิญติดตาม...
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล

รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้

โบรกเกอร์ที่ให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้สูงที่สุด (1,152-1,432 จุด) ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันต่างชาติยังคงมีน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระดับปกติ แต่หากต่างชาติ Overweight หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย คาดว่าจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาอีกราว 3,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขณะที่สภาพคล่องของเม็ดเงินในโลกยังคงมีมหาศาล นับตั้งแต่วิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส นั้น สหรัฐฯและประเทศต่างๆได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน โดยรวมพลังกันอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ รวมกันแล้วกว่า 7.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุของสภาพคล่องที่ล้นโลกและมีมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในขณะนี้

เฉพาะสหรัฐฯอัดฉีดเงินเข้ามาแล้วกว่า 2.5 ล้านล้านเหรียญฯ ยังไม่นับรวมมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณรอบล่าสุด (QE2) ที่สหรัฐฯจะอัดฉีดเงินอีกกว่า 600,000 ล้านเหรียญฯ

"วิศิษฐ์" ย้ำว่า หากเปรียบเทียบรอบของการเป็นตลาด Bull market หรือตลาดกระทิง ที่เป็นการปรับขึ้นรอบใหญ่ๆของตลาดหุ้นไทยในอดีตนั้น พบว่าสภาพคล่องของกระแสเงินทุนในรอบนี้ มีจำนวนมหาศาลมากกว่าในปี 36 ที่ดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไปได้สูงสุดที่ 1,770 จุดและมากกว่าปี 46 ที่ภายในปีนั้นดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นรวดเดียว 100% จาก 400 จุด ขึ้นมาเป็น 800 จุด!!

สภาพคล่องรอบนี้จึงมีความหมายต่อการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างมาก!!



ย้อนกลับมาดูสภาพคล่องของเงินในประเทศ ก็พบว่าฐานเงินในประเทศ (M2) ขณะนี้ก็ล้นทะลักเช่นกัน โดยคนไทยพร้อมโยกเงินหนีแรงกดดันจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน กระโจนเข้ามาหาประโยชน์ในตลาด หุ้นได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญยังมีเม็ดเงินที่รอโยกกลับเข้าประเทศ จากการออกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลี หรือ "กิมจิ บอนด์" ที่กำลังทยอยหมดอายุอีกไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท

ว่ากันว่า แม้ต่างชาติ หรือ "เงินฝรั่ง" จะทิ้งหรือหนีออกจากหุ้นไทยช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ถึงขั้น "เสียศูนย์"

ปรับตัวลงแรง เพราะพลังเงินคนไทยเองก็สามารถเข้าไปรับหุ้นกลับมาได้หมด เหตุเพราะคนไทยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น

เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้วนั้น เป็นการเข้ามาซื้อขายของนักลงทุนไทยถึง 85% ขณะที่ต่างชาติมีสัดส่วนซื้อขายเพียง 15% เท่านั้น ทั้งที่ในอดีตสัดส่วนการซื้อขายต่างชาติเฉลี่ยต่อวันนั้นจะอยู่ที่ 27% ของมูลค่าการซื้อขาย

และแม้ทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น ซึ่งถือเป็นยาขมของตลาดหุ้น แต่ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นเร็วพรวดพราด จึงยังคงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น หลายประเทศในเอเชียก็เช่นกัน ดังนั้น เงินที่นอนอยู่ในธนาคารจึงแทบไม่มีค่า ต้องถูกนำออกมาหาผลตอบแทนที่ดีกว่า

เช่นเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงหลากหลาย มีทั้งดีและไม่ดี สลับกันออกมา ทำให้สหรัฐฯยังไม่กล้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ความต้องการอยากเสี่ยงของนักลงทุนมีมากขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นจึงยังคงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในปีนี้


"วิศิษฐ์" ยังแจงถึงปัจจัยบวกปีนี้ต่อว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะยังคงดีต่อเนื่อง โดยคาดการณ์กำไรปีนี้จะโตขึ้นได้ถึง 19.8% จากปีก่อน ทำให้ยังสามารถจ่ายเงินปันผลที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานรองรับการปรับขึ้นของราคาหุ้นได้เป็นอย่างดี!!

ส่วนเรื่องการเมือง การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้นั้น วิศิษฐ์ขุดสถิติย้อนหลังออกมาแจงว่า น่าจะเป็นผลดีมากกว่าเสีย โดยสถิติการเลือกตั้ง 7 ครั้งที่ผ่านมานั้น ช่วงหลังการยุบสภาหรือก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ตลาดหุ้นมักจะแกว่งตัวซึมๆ

แต่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 1 สัปดาห์ ก่อนการเลือกตั้ง และปรับขึ้นต่อเนื่องไปอีก 2 สัปดาห์ หลังการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นจะปรับตัวลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและโฉมหน้ารัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

ดังนั้น ช่วงที่ตลาดหุ้นซึมๆก่อนการเลือกตั้ง ก็ถือเป็นจังหวะที่น่าเข้าไปทยอยเลือก สะสมหุ้นดีราคาถูกไว้รอขายช่วงที่ตลาดปรับขึ้นหลังการเลือกตั้งได้!!

สำหรับความเสี่ยงหรือข้อกังวลของตลาดหุ้นปีนี้นั้น วิศิษฐ์ให้น้ำหนักกับ อัตราเงินเฟ้อของจีน ที่หากเงินเฟ้อขึ้นสูง 7-8% ทำให้จีนต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อของคนหายไป กระทบต่อการ เติบโตของเศรษฐกิจจีนที่เป็นความหวังหรือเสาหลักของเศรษฐกิจโลก

โดยจีนต้องรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจให้ได้มากกว่า 8% เพราะหากต่ำกว่านี้จะทำให้ความคาดหวังที่จะให้จีนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกต้องถูกกระตุกไป และย่อมส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับคัมภีร์การลงทุนปีนี้นั้น "วิศิษฐ์" ไม่พูดพร่ำทำเพลง แจกหุ้นหลักที่ต้องมีไว้ในพอร์ต ซึ่งยังคงเป็นหุ้นพิมพ์นิยม นำทัพโดย PTT, PTTCH, CPF, KTB, KBANK, TOP และ SCC นอกจากนี้ยังเชียร์หุ้น ADVANC, TTW, GLOW แถมหุ้นเล็กจิ๋วแต่แจ๋วคือ SPALI, LPN และ SVI

"วิศิษฐ์" ยังได้ "จัดหนัก" ทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ใช้ตะแกรงร่อนได้หุ้นที่มีผลประกอบการดี ฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดเยอะ หนี้สินระยะยาวต่ำ ปันผลงาม ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่แพง เรียกว่ามีคุณสมบัติครบ ทั้งสวย รวย เก่ง แถมเซ็กซี่ เปิดตัวนำขบวน

โดย SPALI, BCP, LPN, ESSO, SGP, DELTA, VNG, HANA, SVI, SIRI, SC, TTA, PSL, PS, LANNA, GFPT, CCET, RATCH และ DCC

แกะรหัสลับอักษรย่อ และไปศึกษาหาอ่านบทวิเคราะห์อย่างละเอียดของหุ้นเหล่านี้ ก่อนเลือกสเปกเลือกลงทุนตามความชอบได้เลย!!
ไพบูลย์ นลินทรางกูร

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้

กลับมองว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดมีความผิดปกติ ดัชนีเคลื่อนไหวรุนแรง โดยในปี 51 ซึ่งมีวิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส ล่มสลาย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงถึง 47% ต่อมาปี 52 วิกฤติเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณไม่เลวร้ายมากอย่างที่คาด ทำให้ดัชนีกลับมาปรับตัวขึ้นแรงถึง 63%

และปี 53 เกิดสภาพคล่องท่วมตลาดหุ้นจากเงินนอก ที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเติบโตและบริษัทจดทะเบียนมีกำไรดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นปี 2553 ทะยานบวกขึ้นถึง 40%

ดังนั้น ในปี 54 นี้ จึงประเมินว่าตลาดน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีเหตุหรือปัจจัยอะไรรุนแรงเข้ามามีผลกระทบเหมือน 3 ปีที่ผ่านมา โดยมองดัชนียังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่จะปรับขึ้นได้ไม่มาก ให้กรอบเพิ่มขึ้นได้แค่ 15% จากปี 53 เท่านั้น หรือประมาณ 150 จุด

สำหรับความเสี่ยงหรือปัจจัยที่ควรระวัง ต้องติดตามว่าสหรัฐฯจะดำเนินมาตรการ QE2 ต่อเนื่องหรือไม่ หลังมาตรการนี้แทบไม่เกิดผล ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯอาจดำเนินมาตรการ QE2 ได้ไม่ครบถ้วนทั้งหมด และทำให้ความคาดหวังของตลาด ที่ว่าสหรัฐฯอาจมีมาตรการ QE3 ตามมานั้น ก็คงเป็นไปได้ยาก หรือไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นความหวังว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มก็จะไม่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังต้องลุ้นกับความเสี่ยงของปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรปอีก 2 ประเทศ คือ สเปนและอิตาลี เพราะหาก 2 ประเทศนี้เป็นอะไรไป ผลกระทบจะรุนแรงมาก เพราะมูลค่าหรือขนาดของเศรษฐกิจ 2 ประเทศรวมกัน ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก หากเกิดอะไรขึ้น ปัญหาวิกฤติหนี้ ยุโรปจะกลับมาเขย่าขวัญตลาดหุ้นทั่วโลกได้อีกครั้ง!!

นอกจากนี้ เหตุที่ปี 2553 เป็นปีที่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาก สู่ระดับที่ควรจะเป็นตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก พิจารณาจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นรวมกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ดังนั้น โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นมากๆต่อไปอีก จึงไม่ง่าย เพราะราคาหุ้นที่เริ่มสูง ทำให้เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยน้อยลง!!

แต่หากจะให้เลือกหุ้นเด็ด ดี เด้ง "ไพบูลย์" บอกหุ้นดียังมีเยอะ แต่เพื่อแฟนๆไทยรัฐขอ "จัดให้" สุดยอดหุ้นน่าลงทุนประจำปีนี้ นำทัพโดย SCB, KBANK, DCC และ HMPRO หากอยากรู้ถึงเหตุผลปัจจัยรองรับ ต้องไปนี่เลย เปิดพอร์ตกับ บล.ทิสโก้ ได้รู้ลึก แถมรู้ดีแน่!!
สุกิจ อุดมศิริกุล

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์

มองตลาดหุ้นปีนี้ยังมี โอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่น่าจะปรับขึ้นได้ช้าลง ไม่ร้อนแรงเหมือนปี 2553 แต่จะมีความผันผวนแกว่งตัวสวิงขึ้น-ลงรุนแรงมาก เรียกว่าปีนี้เล่นหุ้นไม่ง่ายแน่ๆ

โดยตลาดมีปัจจัยบวกจากกำไรของ บริษัทจดทะเบียนที่จะขยายตัวได้ 15-20% เป็นตัวช่วย แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัว ขึ้นสะท้อนการคาดการณ์นี้ไปบางส่วนแล้ว

ส่วนปัจจัยลบที่กดดันการปรับขึ้นของดัชนี คือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเหวี่ยงตัว มาก และมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยมองว่าสหรัฐฯจะไม่ต่อมาตรการ QE รอบ 3 ซึ่งจะเป็นผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง และเม็ดเงินบางส่วนอาจถูกดึงออกจากเอเชีย

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นหลายประเทศ ที่ปี 53 ไม่ได้ปรับตัวขึ้น อาจกลับมาน่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวดีกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ฯกลับมาแข็งค่าขึ้น ดึงเงินให้ไหลกลับไปลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ และตลาดหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ก็จะฟื้นตัวตามไปด้วย ทั้งตลาดหุ้นสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นตัวแย่งดึงเม็ดเงินออกไปจากตลาดหุ้นไทย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หุ้นไทยปีหน้าจะยังเป็นที่พึ่งของผู้มีเงินออมและอยากเข้ามาหากำไร หรือผลตอบแทนจากตลาดหุ้นได้หรือไม่นั้น "สุกิจ" บอกว่า แม้ปัจจัยลบต่างๆจะเป็นตัวถ่วงทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้ไม่มาก แต่กำไรของ บริษัทจดทะเบียน ที่จะยังเติบโตได้ดีนั้น ทำให้มีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลงามๆให้ผู้ถือหุ้นได้ ประเด็นนี้น่าจะเป็นความหวังให้กับนักลงทุน "กำไรจากการปรับขึ้นของราคาหุ้นอาจไม่มาก แต่ผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าจะยังดีอยู่"

ว่าแล้ว "สุกิจ" จึงแจกคัมภีร์การลงทุนปีนี้ หากเลือกหุ้นที่มีความ ปลอดภัยสูง เสี่ยงต่ำ หรือมีโอกาสได้กำไรมากกว่าเจ็บตัว เชียร์ให้ซื้อหุ้น แบงก์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น โดยกดปุ่มเลือก KBANK และ KTB เด่นสุด

รวมทั้งหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์ จากกำลังซื้อและการบริโภคภายในที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจากนโยบายรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำและการดูแลแรงงานที่อยู่นอกระบบ ที่กระหน่ำอัดฉีดเงินไปในทุกภาคส่วน ที่สำคัญเม็ดเงินที่คาดว่าจะสะพัดในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง เหล่านี้ล้วนทำให้ประชาชนผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จึง เชียร์ลงทุนหุ้น CPALL กับ HMPRO

นอกจากนี้ ยังมองว่า หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์ น่าสนใจ เพราะยังมีการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย แนะนำหุ้น AMATA

ส่วนหุ้นที่ลงทุนได้ แต่ต้องพร้อมรับความเสี่ยงได้เช่นกัน คือ หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และปิโตรเคมี เพราะคาดว่าระยะสั้น ราคาผลิตภัณฑ์ยังมีความผันผวนที่จะส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นลงตามการแกว่งตัวของราคาสินค้าได้ รวมทั้งเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่มักแกว่งตัวตามอารมณ์ของตลาด แต่สำหรับระยะยาว หุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี เลือก PTTCH, SCC และ TVO โดดเด่น

ปิดท้ายแถมให้อีก 2 ตัว หุ้นดีปันผลแจ่ม TTW และ TICON ทั้งหลายทั้งปวง ก่อนจะเข้าลุยตามลายแทงขุมทรัพย์ของแต่ละกูรู

สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือ "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" ถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องท่องไว้ในใจ เพื่อความปลอดภัยในการลงทุนสูงสุด!!

ทีมเศรษฐกิจ
ที่มา : www.thairath.co.th

คลังบทความของบล็อก