สรุปข่าวเด่นเศรษฐกิจปีเสือ

ตลอดปีเสือดุ เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายทั้งดีและไม่ดี จนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศเรื่อยไปจนถึงระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ ก่อนจะย่างเข้าสู่ปีใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง “ทีมเศรษฐกิจเดลินิวส์” ขอประมวลเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ และเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจ มาให้รำลึกถึงกันอีกครั้งเพื่อเป็นการเตือนใจให้คนไทยทั้งประเทศนำไปใช้เป็นแนวทางก่อนตัดสินใจและดำเนินชีวิตในปีกระต่าย ได้อย่างมั่นคงต่อไป
ประชาวิวัฒน์กับคิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ

ประเดิมจากนโยบาย ประชาวิวัฒน์ ซึ่งรัฐบาลได้โหมโรงซื้อใจชาวรากหญ้าอีกรอบ เพื่อเตรียมการรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2554 ภายใต้ชื่อโครงการปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ ด้วยการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจโดยการปรับโครงสร้างราคาสินค้าอาหารและพลังงาน และการดูแลเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้าสู่ในระบบ ด้วยการทำให้บรรดาผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งวินมอเตอร์ไซค์ คนขับรถแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย ให้มีสิทธิในระบบประกันสังคม เข้าถึงแหล่งเงินทุน ขจัดปัญหาเรื่องหัวคิวรายเดือน โดยหวังว่าจะช่วยกลุ่มคนเหล่านี้ได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะประกาศโครงการนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ม.ค. 2554

สองขั้วสงครามชิงข้าว

ตามด้วยกระทรวงพาณิชย์ ต้องยกให้ สงครามชิงข้าว ของ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดศึกยื้อยุดฉุดกระชากกันนานแรมปี จนอดสงสัยไม่ได้ว่า มีอะไรดีซ่อนอยู่ใต้กองข้าวนั้น เริ่มตั้งแต่สมัย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ที่สวมบทคุณชายละเอียดสรรหาร้อยเหตุผลหักห้ามไม่ให้กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวจน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ต้องออกล้อฟรีขายไม่ได้ไป 3 รอบ แถมยังดันให้ ครม. มีมติสั่งให้การขายข้าวและสินค้าเกษตรทุก ๆ ครั้ง ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ด้วย ส่งผลให้สต๊อกข้าวช่วงนั้นขายไม่ออกกองสูงพะเนินเทินทึกท่วมหัว

ต่อมาหนังเกิดหักมุมตอนต้นปีเมื่อคุณชายละเอียดต้องผันตัวเองนั่งเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีอำนาจดูแลข้าวจึงตกอยู่ มือ รองนายกฯสามสี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี แทน ด้วยบุคลิกทั้ง 2 คนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การมานั่งของมิสเตอร์สามสี จึงเสมือนกาวใจ ช่วยยุติศึกเกาเหลาหม้อไฟให้สงบลง จนท้ายที่สุด ครม. ต้องมีมติส่งอำนาจขายข้าวคืนกระทรวงพาณิชย์ดูแลเหมือนเดิมและข้าวรวมถึงสินค้าเกษตรอื่นก็ทยอยขายได้จนเกือบหมด

แต่กว่าสงครามชิงข้าวจะยุติ เล่นเอาประเทศชาติเสียหาย มหาศาล เพราะแทนที่ข้าวในสต๊อกรัฐ 5-6 ล้านตัน จะขายได้ตันละ 1.4-1.5 หมื่นบาท แต่ทะเลาะกันไปมาท้ายสุดขายเพียง 1.1-1.2 หมื่นบาท ขาดทุนเท่าไรคำนวณกันดูเอง ไม่นับรวมค่าเช่าโกดังฝากเก็บที่รัฐต้องจ่ายอีกนับพัน ๆ ล้าน บทสรุปงานนี้คือ เจ๊ง!

น้ำตาลขาดแคลน

ตามด้วย น้ำตาลขม อย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นปัญหาจนได้กับสถานการณ์น้ำตาลทรายในบ้านเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศบราซิล แต่ก็เกิดการขาดแคลนถึง 2 ครั้ง 2 คราในช่วงปลายปี 2553 เพราะอยู่ ๆ ประชาชนก็หาซื้อได้ยาก แถมบางพื้นที่ราคาพุ่งแตะ 28-29 บาท/กก. จนสร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก ทำเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ต่างโยนความรับผิดชอบกันจ้าละหวั่น

ในฤดูกาลผลิตน้ำตาล 52/53 คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กำหนดโควตา ก. (บริโภคในประเทศ) ไว้ถึง 22 ล้านกระสอบ สูงกว่าปีการผลิต 51/52 ที่มีกำหนดไว้เพียง 19 ล้านกระสอบ ซึ่งตามหลักการแล้วคงจะเพียงพอต่อความต้องการบริโภคของประชาชนและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม แต่ก็ประเมินผิดพลาดเพราะในปี 2553 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้มีสูงอย่างมาก ประกอบกับมีช่วงหน้าร้อนที่ยาวนาน และตรงกับเทศกาลแข่งขันฟุตบอลปี ค.ศ. 2010 ยิ่งทำให้ความต้องการเครื่องดื่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมาก

ที่สำคัญปีที่ผ่านมาราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกปรับขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอินเดียประสบปัญหาภัยธรรมชาติจึงลดการส่งออก รวมถึงความต้องการในจีนพุ่ง และที่ขาดไม่ได้คือการเก็งกำไรของกองทุนเฮดฟันด์ผสมโรง ทำให้ผู้ส่งออกที่ได้สิทธิน้ำตาลทรายโควตา ค. (ส่งออก) ต่างก็เร่งส่งออก

เห็นได้จากราคาซื้อขายน้ำตาลทรายในประเทศต่าง ๆ เช่น ราคาน้ำตาลทรายปลีก จีน 29-31 บาทต่อกิโลกรัม ลาว 30-33 บาท, เวียดนามอยู่ที่ 40-41.60 บาท, ฟิลิปปินส์ 36-39 บาท, กัมพูชาอยู่ที่ 33-36 บาท, อินโดนีเซีย 37-40 บาท, หรือแม้แต่พม่าในบางตลาดราคาขายปลีกสูงลิบถึง 80 บาท แต่ราคาน้ำตาลทรายของไทย 21.50-23.50 บาท/กก. เท่านั้นทำให้น้ำตาลโควตา ก. ส่วนหนึ่งแอบลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน

สุดท้ายกระทรวงอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายรับซื้อน้ำตาลโควตา ค. (ส่งออก) เพิ่มเติมจากผู้ส่งออกในราคาตลาดโลกมาขายประชาชนราคาถูกจำนวน 7.43 แสนกระสอบ แถมไล่บี้กลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มและผลิตอาหารที่ทำสัญญาซื้อจากโรงงานน้ำตาลมากเกินไปแต่ก็เหลือใช้กว่า 2 แสนกระสอบเพราะมาเจอปัญหาอุทกภัยทั่วประเทศ

บทเรียนที่ผิดพลาดกับเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนไทยทำให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลจึงกำหนดน้ำตาลที่ใช้ในการบริโภคในประเทศฤดูกาลผลิตปี 53/54 เป็น 25 ล้านกระสอบสูงกว่าปีก่อนถึง 3 ล้านกระสอบ แถมยังประสานงานกรมศุลกากร, โรงงานน้ำตาล และทหารในการคุมเข้มการลักลอบไปขายเพื่อนบ้าน

เผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์

ข่าวใหญ่สุดในรอบปีของวงการค้าปลีกในปีเสือ คงหนีไม่พ้นข่าว ศูนย์การค้าขนาดใหญ่สุดของไทย เซ็นทรัลเวิลด์ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท สุดยิ่งใหญ่และสวยงามสุดแห่งหนึ่งของประเทศ ถูกลอบวางเพลิงจากการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 19 พ.ค. 53 สร้างความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทำให้พื้นที่ของศูนย์การค้าประมาณ 5% ถูกไฟไหม้และต้องปิดให้บริการลง คนทั่วโลกและคนไทยอยู่ในภาวะตกตะลึง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของไทย กลายสภาพเป็นตึกร้างที่ไร้คนอยู่และนักชอปปิงหายกระเจิง!!!

สำหรับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา หรือ ซีพีเอ็น ในฐานะเจ้าของต้องใช้งบปรับปรุงศูนย์การค้าทั้งหมดหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ถึง 2,800 ล้านบาท พร้อมประกาศกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งวันที่ 28 ก.ย. 53 หลังจากปิดให้บริการนานกว่า 4 เดือน

พลิกปูมประวัติเซ็นทรัลเวิดล์นั้น เดิมชื่อ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ บริหารงานโดย บริษัท วังเพชรบูรณ์ แต่ประสบปัญหาการเงินจนถูก ซีพีเอ็น เข้ามาประมูลบริหารต่อ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดบริการครั้งแรกวันที่ 8 พ.ย. 50 ใช้เงินก่อสร้างศูนย์การค้าครั้งแรกกว่า 10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 6-7 ปี แม้จะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และทำให้ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการไปก็ตาม โดยเซ็นทรัลเวิลด์ มีพื้นที่รวม 550,000 ตารางเมตร ถือเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่อันดับสองของเอเชีย

ตบท้ายที่ข่าวใหญ่อีกข่าวในไทยส่งท้ายปี กับ ห้างคาร์ฟูร์ โบกมือลาประเทศอย่างเป็นทางการ หลังจากบริหารงานไม่ประสบความสำเร็จและสู้คู่แข่งค้าปลีกรายอื่นไม่ได้ ก่อนถูก คาสิโน กรุ๊ป บริษัทแม่บิ๊กซี ซื้อกิจการเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา มูลค่า 35,000 ล้านบาท ปิดตำนานคาร์ฟูร์ในไทยที่เข้ามาในตลาดตั้งแต่ปี 39 นาทีนี้วงการค้าปลีกไทยจึงเหลือคู่แข่ง 2 รายคือ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี สมรภูมิค้าปลีกบ้านเราจึงระอุสุดขีดอีกครั้ง!!

นักท่องเที่ยวกระเจิง

เช่นเดียวกับธุรกิจท่องเที่ยวบอบช้ำสุด ๆ เพราะเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีปัจจัยลบมาปกคลุมเกือบทั้งปี โดยประเดิมต้นปีช่วง ม.ค.-ก.พ. นั้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวเติบโตถึง 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ใคร ๆ ในภาคท่องเที่ยวก็ต่างมีความหวังว่าการท่องเที่ยวจะสดใสไฉไลหลังจากปี 52 ต้องห่อเหี่ยวเพราะพิษการเมืองช่วงกลางปี แต่แล้วเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองจนถึงขั้นเผาสถานที่สำคัญ ๆ มาเบรกการเติบโตของภาคท่องเที่ยวจนได้ ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยชะงักไปครึ่งปีเต็ม โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือน มี.ค. และลดลงรุนแรงในเดือน เม.ย. ทั้งที่ควรจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามาก เพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่บางวันมีเข้ามาไม่ถึง 20,000 คน จากที่เคยเข้ามาปกติวันละ 30,000 กว่าคนทางสนามบินสุวรรณภูมิ

จนกระทั่งเดือน พ.ค. หลังจบเหตุการณ์ชุมนุม เผาสถานที่สำคัญหลายจุด นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มากนักในส่วนของธุรกิจโรงแรม พบว่า โรงแรมในเขตกรุงเทพฯ อัตราเข้าพักเหลือแค่ 10-20% เท่านั้นช่วงที่มีเหตุรุนแรงและมีถึง 21 แห่งในย่านราชประสงค์และใกล้เคียงต้องปิดโรงแรมชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย คิดเป็นความเสียหายไม่ต่ำกว่า 11,275 ล้านบาท

เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 13 ปี

ด้าน ค่าเงินบาท ทุบสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี แตะระดับที่ 29.45-29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 40 ผลพวงมาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจหรือเรียกว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ซึ่งเกิดจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ซับไพร์มที่เริ่มสะสมมาตั้งแต่ปี 47 ส่งผลให้ 3 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ทั้ง เลห์แมน บราเธอร์ส, เมอร์ริล ลินช์ และอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ เอไอจี อาการร่อแร่จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องฉีดเงินเข้าระบบเพื่อสะสางปัญหา และล่าสุดเฟดได้อัดเงินเข้าระบบอีก 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ผ่านการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล โดยมีกำหนดซื้อคืนเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 8 เดือน พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0%-0.25% เพื่อปลุกเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งการดำเนินนโยบายของเฟดเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหนักกว่าเดิม เนื่องจากนักลงทุนเบนเข็มไปลงทุนหรือถือครองสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความมั่นคงปลอดภัย และให้ผลตอบแทนที่งอกงามกว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ รวมทั้งมองหาผลกำไรจากหุ้น และสกุลเงิน ในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในแถบเอเชียที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าสหรัฐ

นอกจากนี้ปัญหาความตึงเครียดในยุโรป โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่สูงลิบลิ่วที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมาก่อนหน้านี้ทั้งกรีซ และไอร์แลนด์ทำให้นักลงทุนต่างชาติแห่เข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียกันอย่างคึกคัก ผนวกกับในช่วงปี 53 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งจนทำให้ดอกเบี้ยขึ้นมายืนอยู่ระดับ 2% ถือเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น และเพิ่มแรงกดดันค่าเงินแข็งค่าขึ้นอีก

ตลาดหุ้นไทยสุดร้อนแรง

ในฝั่งของ ตลาดหุ้นไทย ก็ร้อนระอุไม่แพ้แวดวงอื่น ๆ เพราะหลังจากดัชนีแกว่งตัวแบบทรง ๆ ทรุด ๆ มากว่าครึ่งปีตามกระแสข่าวหรือปัจจัยบวกลบที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่หลังจากลุ้นกันจนตัวโก่งมานาน ผสมโรงกับเงินทุนนอกที่มีอยู่ล้นระบบได้ไหลทะลักเข้ามาลงทุนในเอเชียและไทยอย่างต่อเนื่อง จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยก็พลิกฟื้นคืนชีพขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,000 จุด ได้อีกครั้ง ซึ่งเรียกว่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี นับจากปี 39

ความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยที่ยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้ หรือปิดที่ 1,003.24 จุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 53 ได้สร้างบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาคึกคักและอยู่ในภาวะกระทิงดุขึ้นมาทันที หลังจากคลานอยู่ในภาวะหมีนอนนิ่งมานาน จนเป็นผลพวงให้ตัวเลขหลายตัวของตลาดหุ้นไทยทุบสถิติใหม่!!! และสูงสุดนับแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มา เห็นได้จาก ณ วันที่ 29 ต.ค. 53 มูลค่าการซื้อขายของผู้ลงทุนสูงถึงเฉลี่ยวันละ 26,957.81 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูง ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ทำสถิติสูงสุดมาอยู่ที่ 8.06 ล้านล้านบาท (เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 53) คิดเป็น 84% ของจีดีพี ส่วนจำนวนบัญชีที่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 178,000 บัญชีในเดือน ก.ย. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่หากรวมจำนวนบัญชีทั้งหมดที่มีการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมใน ตลท. ทั้งที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการแล้ว จะมีจำนวนบัญชีสูงถึงกว่า 15 ล้านบัญชี

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ได้ทำสถิติการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุด นับตั้งแต่การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์เช่นกัน โดยเดือน ต.ค. 53 ตลาดอนุพันธ์ มีปริมาณการซื้อขายรวม 461,874 สัญญา ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 23,362 สัญญา เพิ่มขึ้น 45.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส) ทำสถิติซื้อขายเฉลี่ยวันสูงสุดที่ 6,448 สัญญา สูงสุดนับแต่เริ่มเปิดการซื้อขายในเดือน ก.พ. 52 แบ่งเป็นสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์ส ขนาด 50 บาท 4,234 สัญญา และมินิโกลด์ฟิวเจอร์ส (ขนาด 10 บาทต่อสัญญา) 2,214 สัญญา เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง

ประจานสุวรรณภูมิ (เถื่อน)

ฟาก กระทรวงคมนาคม ก็มีเหตุการณ์ที่ดูงามหน้าถูก ประจานบนหน้าหนังสือพิมพ์หน้า 1 ที่ผู้คนยังจำไม่รู้ลืม คือ จู่ ๆ อาคารจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สวมเสื้อชุดดำกลุ่มเบ้อเร่อ เข้ามาเดินในอาคารจอดรถกันให้พรึ่บ ถึงขนาดต้องประกาศให้ย้ายรถออก ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งของผู้ถือหุ้นใน บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ ผู้รับสัมปทานอาคารจอดรถ ตกลงกันเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัว จนเป็นที่มาของการนำพวกชายฉกรรจ์มาประลองกำลังกันที่อาคารจอดรถสุวรรณภูมิ

สุดท้ายทางคณะกรรมการ บริษัทท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ทนสภาพไม่ได้ เพราะบริษัทปาร์คกิ้ง ให้บริการก็ไม่ได้ เงินค่าสัมปทานก็ส่งไม่ครบ เลยสั่งยกเลิกสัมปทาน จากนั้นเรื่องวุ่น ๆ ก็ยังไม่จบ เพราะ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม สั่งตั้งคณะกรรมการที่มี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดกระทรวงคมนาคม ขึ้นมาดูปัญหาทั้งหมดของสนามบินสุวรรณภูมิ จนเป็นที่มาของการรื้อสารพัดสัญญาที่ทำไว้หละหลวม เหมือนหลับตาข้างเดียว ดูแล้วเข้าทางเอื้อให้เอกชน อย่างกรณีสัญญาสัมปทานอาคารจอดรถ กลับพบว่า หาก ทอท. จัดเก็บเงินเอง จะได้รายได้มากกว่า ในที่สุดบอร์ดทอท. จึงได้มีมติสั่งให้ ทอท. จัดเก็บค่าจอดรถในอาคารจอดรถเองต่อไปและยังต้องลุ้นกันต่อไปว่า จะมีสัญญาฉบับไหนถูกขึ้นมาสะสางอีก หรือไม่?

หวยออนไลน์ร้อน ๆ

ปิดท้ายเป็นที่ฮือฮากันอีกรอบหลังจากค้างเติ่งกันมานานตั้งแต่ปลายปี 49 หลังจาก หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.คลัง ในขณะนั้นได้ประกาศยุติการขายหวย ออนไลน์เป็นการชั่วคราว จากนั้นโครงการนี้ก็เผชิญวิบากกรรมระหกระเหินเรื่อยมาจนถึงรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาแก้ไขปัญหาโครงการหวยออนไลน์ โดยมี นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทยหรือ ทีทีอาร์ รับผิดชอบเป็นประธานคณะกรรมการ ฯ ที่ใช้เวลาราว 3 เดือนหารือร่วมกันมากถึง 17 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 53 นายเกียรติ ได้เสนอรายละเอียดให้นายกฯ นำไปพิจารณาก่อนตัดสินใจเชิงนโยบายต่อไป ซึ่งแนวทางหนึ่ง คือ การนำเครื่องออนไลน์ไปใช้จำหน่ายลอตเตอรี่ 6 ตัว แทนซึ่งจะแก้ไขปัญหาลอตเตอรี่แพงได้อีกต่างหาก ทำเอาบรรดาคอหวยต่างฝันหวานกันไปเป็นแถว

ข่าวนี้ดูจะประจวบเหมาะกับคำตัดสินของศาลฎีกาที่ได้ยกฟ้องสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 2,508 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ตั้งแต่ปี 43 ให้กับบริษัท จาโก้ ในคดีหวยออนไลน์ ที่ค้างเติ่งกันมานาน ตั้งแต่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 47 ให้สำนักงานสลากฯ ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตฯ ให้ชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท จาโก้ แต่สำนักงานสลากฯ ได้ยื่นขออุทธรณ์และฎีกา เพื่อขอต่อสู้คดี จนศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้องเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 53 แต่จนแล้วจนรอดจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องนี้เพราะนายอภิสิทธิ์ ได้ส่งเรื่องนี้ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พิจารณาและเตรียมเสนอให้เป็นคดีพิเศษ เพราะสัญญาโครงการหวยออนไลน์หมิ่นเหม่ต่อการขัดกฎหมายว่าด้วยการสมยอมกันในเรื่องการเสนอราคากระทำผิดหรือ พ.ร.บ.ฮั้ว จึงทำให้บรรดาเซียนหวยต่างรอแล้วรออีก

ข่าวฮอต เรื่องร้อน คนแรงในปีเสือได้ผ่านพ้นอย่างทุลักทุเลไปแล้ว ดังนั้นในปีกระต่ายนี้ทุกฝ่ายต้องนำบทเรียนที่ได้รับจากปีก่อนมาปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!!.

ที่มา ทีมเศรษฐกิจ เดลินิวส์

“เฟซบุ๊ก” เปิดสงครามสื่อสังคมชิงบัลลังก์ “กูเกิล”

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊กวัย 26 ปี
เอเอฟพี - ด้วยการนำเสนอรูปแบบที่แตกต่างในการใช้ชีวิต, ทำงาน, เล่น และค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ ทำให้ “เฟซบุ๊ก” กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของเสิร์ชเอ็นจินรายใหญ่อย่าง “กูเกิล”
ขณะที่กูเกิลจะแสดงผลการค้นหาตามประวัติการใช้งานเว็บไซต์ เฟซบุ๊กให้ความเฉพาะเจาะจงมากกว่าโดยอาศัย “ความชอบ” (likes) ของผู้ใช้ และบริการแนะนำเพื่อน

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนขณะยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปัจจุบันมีทรัพย์สินมากถึง 6,900 ล้านดอลลาร์ เรียกเฟซบุ๊กว่า “กราฟทางสังคม”

“สิ่งที่เราพบก็คือ เมื่อคุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งร่วมกับเพื่อนๆ, ครอบครัว และคนที่คุณรัก พวกเขาก็จะอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น” ซัคเกอร์เบิร์กให้สัมภาษณ์กับรายการ “ซิกซ์ตี้ มินิทส์” ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส

“กราฟทางสังคมนี้กว้างมากอย่างไม่น่าเชื่อ” ลู เคอร์เนอร์ นักวิเคราะห์สื่อสังคมจาก เว็ดบุช ซีเคียวริตี หยิบยกคำศัพท์ที่ซัคเกอร์เบิร์กเลือกใช้ พร้อมอธิบายว่า “มันไม่ใช่แค่ว่าคุณทำอะไรและชอบอะไร แต่ยังหมายถึงคนที่คุณรู้จัก สิ่งที่พวกเขาชอบ และบริษัทที่คุณกำลังติดต่ออีกด้วย”

ในมุมมองของผู้สังเกตการณ์โลกอินเทอร์เน็ตอย่าง เคอร์เนอร์ เฟซบุ๊กได้สร้างเครือข่ายคู่ขนานที่มีผู้ใช้มากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก

“ผมขอเรียกเฟซบุ๊กว่าอินเทอร์เน็ตแบบที่สอง ซึ่งอาจจะมีคุณค่ามากกว่าแบบแรกด้วยซ้ำ เพราะเราต่างเชื่อมโยงเข้าด้วยกันหมด” เคอร์เนอร์ให้สัมภาษณ์

บริษัทติดตามการใช้งานออนไลน์ คอมสกอร์ ระบุว่า กูเกิ้ลมีจำนวนผู้ใช้ต่อเดือนมากกว่าเฟซบุ๊ก แต่ผู้เล่นเฟซบุ๊กจะใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่าบริการของกูเกิล

ตั้งแต่ต้นปี 2010 เป็นต้นมา เฟซบุ๊กได้ออกบริการใหม่ๆ ขึ้นมาชนกับกูเกิลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอีเมล @facebook.com ที่กลายเป็นคู่แข่งของ “จีเมล” หรือ “เฟซบุ๊ก เควสชันส์” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ถามคำถาม โดยมีสมาชิกเฟซบุ๊กคนอื่นๆ เข้ามาตอบ

เฟซบุ๊กยังแข่งขันกับกูเกิลในการจ้างบุคลากร ซึ่งส่งผลให้สำนักงานใหญ่ของกูเกิลที่เมาน์เทนวิว มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องประกาศขึ้นเงินเดือนพนักงานทุกตำแหน่งอีก 10 เปอร์เซ็นต์

“เฟซบุ๊กสามารถแข่งขันได้ในหลายๆ ด้านก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเติบโตบนความตกต่ำของกูเกิล และไม่ใช่ว่าเฟซบุ๊กเติบโตขึ้น ส่วนกูเกิลย่ำแย่ลง” แดนนี ซัลลิแวน บรรณาธิการประจำบล็อกเทคโนโลยีของเสิร์ชเอ็นจินแลนด์ ดอตคอม ระบุ

เคอร์เนอร์กล่าวว่า “กูเกิลจะไม่หายไปไหนหรอกครับ ที่จริงแล้วผมคิดว่ากูเกิลน่าจะได้ประโยชน์จากสื่อสังคมที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะสื่อสังคมทำให้คนใช้เวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มากขึ้น และเมื่อเขาใช้เวลามากขึ้น พวกเขาก็จะค้นข้อมูลมากขึ้นด้วย”

“แต่จุดที่พวกเขากำลังสู้กันจริงๆ คือพื้นที่โฆษณา เฟซบุ๊กมีผู้ซื้อพื้นที่โฆษณาจำนวนมาก ส่วนกูเกิลต้องขายโฆษณาให้ได้มากกว่านี้” ซัลลิแวน กล่าว

ซัคเกอร์เบิร์ก ซึ่งได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์ให้เป็นบุคคลแห่งปี 2010 ยอมรับกับซีบีเอส ว่า “มีหลายเรื่องที่บริษัทต่างๆ ต้องแข่งขันกัน แต่ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้ที่เราไม่ต้องแข่งกับใครเลย”

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ทิศทางหุ้น

ภาวะการซื้อขายหุ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,021.99 จุด ปรับตัวลง 0.05% จาก 1,022.46 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 39.08% จาก 171,976.46 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 104,762.72 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิที่ 3,143.18 ล้านบาท และ 2,583.49 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิที่ 2,927.92 ล้านบาท และ 2,798.76 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 278.02 จุด ขยับขึ้น 1.83% จาก 266.91 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 29.13% จากสิ้นปีก่อน

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (27-30 ธ.ค.53) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีน่าจะปรับขึ้นได้ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด (Sideway up) โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อต่อเนื่องของกองทุนในประเทศที่ระดมได้จาก LTF และ RMF ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนของ ธปท. ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย และยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่ปิดรอการขาย ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,000 และ 995 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,025 และ 1,044 จุด ตามลำดับ

ภาวะตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังค่อนข้างทรงตัว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์ แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) มีระดับหนาแน่นที่ 1.87% ตลอดทั้งสัปดาห์

เงินบาทในประเทศ (Onshore) อ่อนค่าในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆในช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและวิกฤติหนี้สาธารณะในยูโรโซน ขณะที่แรงขายเงินดอลลาร์ฯของผู้ส่งออก ก็ช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินบาทไว้บางส่วน สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทขยับอ่อนค่าต่ออีกเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับประมาณ 30.17 (ตลาดเอเชีย) ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯในช่วงใกล้สิ้นเดือน

เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยขยับแข็งค่าเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ สำหรับในวันศุกร์ เงินเยนปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 82.88 เยนต่อดอลลาร์ฯ (ตลาดยุโรป) เงินยูโรฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยหลังร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ มายืนที่ระดับประมาณ 1.3127 ดอลลาร์ฯต่อยูโร (ตลาดยุโรป) ในวันศุกร์ โดยเงินยูโรได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อคืนของนักลงทุนก่อนวันหยุดคริสต์มาส.

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

มารู้จักกับเงินฝาก และกองทุนที่มีอนุพันธ์ทางการเงิน

มารู้จักกับเงินฝาก และกองทุนที่มีอนุพันธ์ทางการเงิน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นพัฒนาการของผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทในแวดวงการเงินการธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ และต่างประเทศ การลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในประเทศไทย และการนำหุ้นต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆผ่านกองทุนรวม เช่น ทองคำ และ น้ำมันดิบ เป็นต้น

แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เงินฝากเองก็มีความหลากหลายกว่าในอดีต จากเดิมที่มีเพียงเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำ ในปัจจุบันเงินฝากออมทรัพย์ที่เคยเบิกถอนได้ทุกวัน ก็มีบางธนาคารออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ประเภทถอนได้เดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อแลกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หรือการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำจากเดิมกว่าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ ก็ต้องฝากจนครบระยะเวลาที่กำหนด แต่มาตอนนี้การแข่งขันที่สูงขึ้น ส่งผลให้บางธนาคารออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำที่ยินยอมให้ลูกค้าถอนเงินฝากประจำก่อนครบกำหนดได้เป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 เดือน โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในช่วงเวลานั้นๆ และไม่มีค่าปรับ

โอกาสนี้ ผมขอเล่าให้ฟังถึงผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในประเทศไทย นั่นคือผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีการจ่ายผลตอบแทนผูกกับผลตอบแทนของตราสารการลงทุนอื่นๆ เช่น ตราสารที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง (Structured Product) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของกองทุนรวม หรือเงินฝากประจำ ซึ่งหากเป็นรูปแบบของกองทุน ก็มักจะเป็นกองทุนประเภทจ่ายเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด ส่วนการจ่ายผลตอบแทนของกองทุนจะอ้างอิงกับดัชนีฯทางการเงินที่กำหนด โดยตัวอย่างของกองทุนประเภทนี้ที่มีการเสนอขายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็ เช่น กองทุนเปิดเคแทม คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ไชน่า ลิงค์ (KTAM Complex Return China-Linked Fund) ของบลจ.กรุงไทย อายุโครงการประมาณ 1 ปี 11 เดือน ซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาปิดของสินทรัพย์อ้างอิง อันได้แก่ Hang Seng Investment Index Funds Series - H-Share Index ETF (2828 HK) กล่าวคือ หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเพิ่มขึ้น ณ วันสิ้นสุดโครงการ น้อยกว่า 35% จากวันเริ่มต้น กองทุนจะได้รับผลตอบแทน 70% ของการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าว และหากราคาปิดของสินทรัพย์อ้างอิงเพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 35% ของราคาเริ่มต้น ณ สิ้นวันใดวันหนึ่งตลอดอายุของกองทุน จะถือว่าเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนสมบูรณ์ หรือเรียกว่ามีการ “Knock out” เกิดขึ้น กรณีนี้ผู้ลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนคงที่เท่ากับ 5% ของมูลค่าเงินลงทุนตลอดอายุกองทุน

แต่ถ้าราคาปิดของสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันสิ้นสุดอายุกองทุน (Final Price) น้อยกว่าราคาเริ่มต้น หรือพูดง่ายๆก็คือราคาปิดของสินทรัพย์อ้างอิงลดลง ผู้ลงทุนจะได้รับเงินลงทุนเริ่มแรกคืน โดยไม่ได้รับผลตอบแทน กล่าวคือ ไม่ขาดทุนนั่นเอง

สำหรับอีกกองทุนหนึ่งที่เพิ่งเสนอขายล่าสุดก็คือ กองทุนเปิด ยูโอบี ซีเล็ค โกลด์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมพิเศษที่กำหนดเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนเชื่อมโยงกับอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง (กองทุนทองคำ) ที่เป็นหน่วยลงทุนประเภท ETF ของ SPDR Gold Trust ซึ่งหากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวปิดเพิ่มขึ้นไม่เกิน 29.99% ในเวลา 1 ปี 10 เดือน ณ วันสิ้นกำหนดอายุโครงการ กองทุนจะได้รับผลตอบแทน 100% ของราคาสินทรัพย์อ้างอิงที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นกรณีเหตุการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันใดวันหนึ่งตลอดช่วงระยะเวลาการลงทุนเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 30% เมื่อเทียบกับวันจดทะเบียนเริ่มต้นกองทุน (Knock Out) กองทุนจะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 4% ตลอดอายุกองทุน แต่หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงขาดทุน ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทน กล่าวคือ ไม่ขาดทุนนั่นเอง โดยทั้งสองกองทุน หลักทรัพย์ที่กองทุนนำไปลงทุนเพื่อนำมาจ่ายเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดคือพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (กองทุนดังกล่าวข้างต้นได้ปิดการเสนอขายไปแล้ว การกล่าวถึงกองทุนทั้งสองกองทุนในที่นี้ เป็นไปเพื่อประกอบการอธิบายลักษณะของกองทุนประเภท Structured Fund เท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนในกองทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน)

หากพิจารณาดูจากตัวอย่างกองทุนที่เป็น Structured Fund ข้างต้น จะเห็นว่า ทางเลือกการลงทุนที่สามารถได้รับเงินต้นคืน 100% ในรูปเงินบาทเมื่อครบกำหนดอายุกองทุน จากการลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์อ้างอิง โดยไม่ต้องขาดทุนหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงติดลบ จะมีอยู่ในกองทุนลักษณะเช่นนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดหลักๆของกองทุนประเภทนี้คือต้องถือหน่วยลงทุนจนครบอายุของกองทุน ไม่สามารถซื้อขายได้อย่างอิสระเหมือนกองทุนเปิดทั่วไป

สำหรับผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ที่มีการเสนอแก่ประชาชนทั่วไปในรูปของเงินฝาก ก็จะเป็นเงินฝากประจำที่มีอนุภัณฑ์ทางการเงินแฝง (Structured Deposit) ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นเงินฝากธนาคาร ธนาคารก็ต้องมีพันธะผูกพันที่จะต้องจ่ายคืนเงินต้นให้แก่ผู้ฝากเงินในทุกกรณี ซึ่งความเสี่ยงของเงินต้นในปัจจุบันก็เป็นไปตามฐานะทางการเงินของธนาคารนั้นๆ โดยเงินฝากประเภทนี้จะมิได้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของพรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 เหมือนเงินฝากทั่วไปประเภทอื่นๆ สำหรับในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะเป็นไปตามทิศทางความเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง โดยไม่ว่าดัชนีอ้างอิงจะเป็นอะไร ขาดทุนไปมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่กระทบกับเงินต้น เพราะดัชนีอ้างอิงในที่นี้เป็นเพียงตัวแปรกำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งเงินฝากประเภทนี้อาจมีความซับซ้อนมากก็ได้ เช่น จ่ายดอกเบี้ยตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้น หรือกำหนดให้จ่ายผลตอบแทนเมื่อดัชนีหุ้นติดลบก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามแต่จะมีการตกลงกันระหว่างธนาคารกับผู้ฝากเงินก่อนการฝากเงินและมีการกำหนดไว้ในเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่ต้น หรืออาจเป็นเงินฝากที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงแบบง่ายๆ เช่น เงินฝากประจำอายุ 12 เดือน จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ที่อัตรา 2% ต่อปี หากแต่ธนาคารมีสิทธิคืนเงินต้นพร้อมจ่ายดอกเบี้ยเมื่อสิ้นเดือนที่ 6 ได้ (Callable)

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบบมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง เช่น

1. มีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำ หรืออาจสูงเทียบเท่าการลงทุนในหุ้นได้ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนด)

2. สามารถเลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีกลไกการคุ้มครองเงินต้น (เหมาะสำหรับผู้ไม่พร้อมรับการขาดทุนจากการลงทุน)

เรามาทำความรู้จักในรายละเอียดของการลงทุนแบบนี้กันดีกว่าว่ามันคืออะไร และเหมาะกับใคร โดยทฤษฎีแล้ว การอธิบายคำจำกัดความของตราสารที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงอย่างสั้นๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของตราสารอนุพันธ์มาก่อน แต่หากกล่าวโดยสรุปก็คือ ตราสารอนุพันธ์เป็นตราสารทางการเงินหรือตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนของการลงทุนแปรผันตามมูลค่าของสินทรัพย์หรือดัชนีที่อ้างอิง
จากแผนภาพ ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้น สมมติระยะเวลาการลงทุน 2 ปี เงินลงทุน 100 บาท และอัตราดอกเบี้ยในตลาดฯอยู่ที่ 5% ต่อปี ดังนั้น ผู้ออกตราสารจะนำเงิน 90.7 บาทไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น เมื่อครบ 2 ปี จะได้เงินต้น 100 บาทพอดี (ดอกเบี้ย 5% ทบต้น-ทบดอก) และนำส่วนที่เหลือไปลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (Derivative Instruments) ซึ่ง เป็นตราสารการเงินประเภทหนึ่งที่มูลค่าหรือราคาจะอิงกับมูลค่าหรือราคาของสินค้าที่ตราสารอนุพันธ์นั้นอ้างอิงอยู่ (Underlying Assets) โดยตราสารอนุพันธ์นี้จะเป็นตัวสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้นได้ หากการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิงเป็นไปตามที่เราคาดไว้

จากกลไกดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าเป็นการช่วยจำกัดความเสี่ยงได้ดี โดยไม่ว่าดัชนีอ้างอิงจะเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้หรือไม่ก็ตาม หากผู้ออกตราสารหนี้ที่เราไปลงทุนไว้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 90.7 บาท สามารถชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้เมื่อครบอายุตราสาร ผู้ลงทุนก็จะได้รับเงินต้นคืนแน่นอน

ดังนั้น คนที่กล้าๆ กลัวๆ อยากกระจายการลงทุนเพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น แต่ไม่อยากขาดทุน หรือแม้แต่คนที่ลงทุนในหุ้นอยู่ชนิดเจ็บแล้วไม่จำ ลองมองดูเงินฝากประเภทที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง หรือกองทุนประเภทจ่ายคืนเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดอายุกองทุน โดยลงทุนในตราสารที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงอยู่ดู ซึ่งนอกจากจะได้การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์เสี่ยงแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนอ้างอิงกับตราสารหรือดัชนีของต่างประเทศได้โดยไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หากแต่การลงทุนในตราสารเหล่านี้ ต้องแบ่งเงินในสัดส่วนที่พอเหมาะ ซึ่งโดยปกติไม่ควรเกิน 10% ของเงินออม เพราะจะถอนเงิน (กรณีเงินฝาก) หรือขายคืน (กรณีกองทุน) ก่อนครบกำหนดไม่ได้ รู้อย่างนี้แล้ว การลงทุนหรือฝากเงินครั้งต่อไปอย่าลืมมองหาทางเลือกใหม่ๆให้ตัวเองนะครับ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คุณค่าของคน:อยู่ที่ตัวเอง-2 (นายสตีฟ จอบส์)


ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เขียนถึงสุนทรพจน์ของนายสตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์แอปเปิลที่ให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่กล่าวถึงประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตของเขา

ซึ่งเขามีการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ ในชีวิตและหนึ่งในนั้นคือ การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยภายหลังจากที่เข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยรีดได้เป็นเวลาเพียง 6 เดือน เนื่องจากเหตุผลทางการเงินที่บิดา-มารดาบุญธรรมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดในการส่งเสียให้เขาได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งนี้ จึงไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้บิดา-มารดาบุญธรรม

อย่างไรก็ตามภายหลังจากลาออกจากมหาวิทยาลัย และประสบกับความยากลำบากในการดำรงชีวิต แต่เขาก็ยังโชคดี เขาสามารถเลือกที่จะไปเข้านั่งเรียนเฉพาะวิชาใดวิชาหนึ่งก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้ง หลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป จนกลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชาศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

นายจอบส์ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา

แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชเครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อนและทำให้แมคอินทอชกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย หรือที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม

รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์วินโดว์ต่อมาได้ที่ลอกแบบไปจากแมคอินทอช อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยงามให้ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตามนายจอบส์บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ ที่มีประโยชน์ในการออกแบบแมคอินทอช เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดกับการค้นเครื่องแมคอินทอชได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของจอบส์ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่ได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะ หาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตาชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

จากประสบการณ์ชีวิตของนายสตีฟ จอบส์ ตลอดจนผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นว่า การได้เข้าเรียนและจบจากมหา วิทยาลัยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างตัวและสร้างความสำเร็จในชีวิตเลย แต่การจะรู้อะไรนั้นขอให้มีความรู้จริงและลึกซึ้ง ดังคำกลอนของสุนทรภู่กล่าวไว้ว่า “รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” ซึ่งหมายถึงความรู้อะไรนั้นมีสองประเภท คือรู้ให้ลึกหรือรู้ให้กว้าง ซึ่งหากมีความตั้งใจและมีความอุตสาหะก็ประสบความสำเร็จได้

ดังที่นายจอบส์ได้เลือกเรียนในเฉพาะ วิชาที่ชอบ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาพื้นฐานอื่น ๆ ที่ไม่ชอบและสามารถนำไปใช้ประโยชน์จนกระทั่งเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการคอมพิวเตอร์

บางคนอาจจะมีความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านภาษา การร้องเพลง หรือบางคนจะถนัดการซ่อมแซมเครื่องจักรเครื่องยนต์ และอื่น ๆ ซึ่งก็สามารถใช้ความชำนาญพิเศษนั้นในการเลี้ยงชีพได้.


อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร
ที่มา เดลินิวส์

คุณค่าของคน : อยู่ที่ตัวเอง-1 (นายสตีฟ จอบส์)


ในงานพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา โดยปกติจะมีการเชิญบุคคลที่มหาวิทยาลัยพิจารณาว่าประสบความสำเร็จในชีวิตมากล่าวสุนทรพจน์ให้กับนักศึกษาฟัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการให้ข้อคิดกับนักศึกษาที่กำลังออกไปทำงาน ซึ่งในสังคมตะวันตกแล้วจะให้การยกย่องเชิดชูผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการสร้างตัวเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นในการกล่าวสุนทรพจน์บางครั้งท่านเหล่านั้นอาจพูดถึงจุดเปลี่ยนผันที่สำคัญของชีวิตที่ต้องมีการตัดสินใจ

ผู้เขียนได้รับเมลบทความนี้จากเพื่อนเก่าท่านหนึ่ง และเห็นว่าเป็นสุนทรพจน์ที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนไทย จึงได้คัดลอกสุนทรพจน์จากวิกิพีเดียที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของนายสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ และผู้สร้างแมคอินทอช สุนทรพจน์ที่นายจอบส์แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2005 ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้ นายจอบส์เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บท ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

บทเรียนบทแรกนายจอบส์ เรียกว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัยรีด (Reed College) ได้เพียง 6 เดือน เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด เพราะแม่ที่แท้จริงของเขาซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่าพ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย และเขาเกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะดี ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย ซึ่งกว่านายจอบส์จะได้พ่อแม่บุญธรรมก็เป็นเวลาอีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของนายจอบส์ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งพ่อบุญธรรมไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยกนายจอบส์ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้จอบส์ได้เรียนมหาวิทยาลัย

17 ปีต่อมา นายจอบส์ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่ต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูก เพียง 6 เดือน ในมหาวิทยาลัยรีด นายจอบส์ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง นายจอบส์ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต แม้มองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบากเมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดี ๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่โบสถ์

เป็นอย่างไรบ้างคะ การตัดสินใจที่ไม่เรียนในมหาวิทยาลัยจนจบ ที่เกิดจากปัจจัยทางด้านการเงินที่นายจอบส์ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่บุญธรรม การไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้หมายถึงว่าคนเราจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร ซึ่งขอให้ติดตามต่อในสัปดาห์หน้านะคะว่านายจอบส์ประสบความสำเร็จได้อย่างไร.

อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร
ที่มาเดลินิวส์

คำกล่าวสุนทรพจน์ของนายสตีฟ จอบส์


เรื่องความรักและการสูญเสีย

ผู้เขียนได้คัดลอกคำกล่าวสุนทรพจน์ของนายสตีฟ จอบส์ ในงานพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ถึงประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะพูดสิ่งที่เป็นข้อคิดให้กับนักศึกษาที่ก้าวออกไปทำงาน และเป็นสุนทรพจน์ที่โด่งดังไปทั่วโลก จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังนะคะ ในสุนทรพจน์ตอนแรกนั้น นายจอบส์ได้พูดถึงชีวิตการศึกษาที่เขาจำเป็นต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยภายหลัง 6 เดือนเนื่องจากเหตุผลทางด้านการเงิน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ย่อ ท้อ ในการสร้างตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในชีวิตที่มีชื่อเสียงทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก

สำหรับเรื่องที่สองนี้เป็น เรื่องของความรักและการสูญเสีย ที่เขากล่าวว่า “ผมโชคดีครับ ผมได้พบสิ่งที่ผมรักที่จะทำแต่ เนิ่น ๆ Woz (Steve Wozniak - ผู้แปล) และผมก่อตั้ง Apple ขึ้นในโรงรถที่บ้านของผม เมื่อครั้งผมอายุประมาณ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในเวลา 10 ปี Apple เติบโตขึ้นจากเราแค่ 2 คนในโรงรถ เป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญ กับพนักงานถึง 4,000 คน เราได้เปิดตัวนวัตกรรมที่ดีที่สุด นั่นคือ Macintosh ก่อนที่ผมจะอายุเต็ม 30 ด้วยซ้ำ จากนั้นผมก็ถูกกดดันให้ลาออก ผมจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ผมสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

ครั้งนั้น Apple เติบโตขึ้น เราต้องจ้างใครบางคนที่โดดเด่นพอมาบริหารบริษัทคู่กับผม ในช่วงปีแรก ทุกอย่างไปได้สวย แต่วิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มขัดแย้งกัน และเราก็เริ่มตกต่ำ เมื่อเราเริ่มเดินหน้า คณะผู้บริหารเห็นด้วยกับเขา ผมจึงต้องจากไป เมื่อผมอายุแค่ 30 เท่านั้น ต้องจากไปจากสังคมนี้ สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำสำหรับชีวิตวัยทำงานของผมหายไปหมด มันแย่สุด ๆ เลย

ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อในช่วงสองสามเดือนแรก ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้นักธุรกิจรุ่นก่อนหน้าผมผิดหวังว่าเมื่อเขาอุตส่าห์ส่งไม้ ต่อให้แล้ว ผมดันทำมันหลุดมือไป ผมได้พบกับ David Packard และ Bob Noyce และพยายามขอโทษในสิ่งที่ผมทำพลาดไป ผมทำให้อะไร ๆ มันแย่ไปหมด แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มทำให้ผมมีความหวัง ผมยังรักในสิ่งที่ผมได้ทำไป มันเป็นโอกาสที่ Apple ไม่เคยจะเหลียวมอง ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมยังรักมันอยู่ ผมจึงคิดที่จะเริ่มมันใหม่อีกครั้ง

ผมยังไม่เข้าใจอะไร แต่เหมือนกับว่าการที่ผมต้องออกจาก Apple นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกหนักใจที่จะต้องประสบความสำเร็จกลับกลายเป็นความสบายใจที่จะเป็นผู้เริ่มต้นทำอะไรใหม่อีกครั้ง ไม่มั่นใจอะไรมากเกินไป มันทำให้ผมเข้าสู่ช่วงที่ผมได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

ในช่วง 5 ปีต่อมา ผมเริ่มก่อตั้งบริษัท NeXT และ Pixar แถมยังได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่ในที่สุดก็ได้อยู่กินด้วยกัน Pixar ได้สร้าง Toy Story ภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ และเป็นบริษัทในวงการที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก และในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ Apple ก็ซื้อกิจการ NeXT ผมก็กลับมาทำงานที่ Apple โดยมีเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่ NeXT เป็นหัวใจสำคัญของ Apple ยุคใหม่ ส่วน Laurene และผมก็มีชีวิตครอบครัวที่วิเศษมาก

ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าผมไม่ได้ออกจาก Apple ขณะนั้น เรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนยาขม แต่ผมว่าคนไข้ก็ต้องการมัน บางครั้งคุณก็ถูกเขกหัวด้วยก้อนอิฐอย่างจัง อย่าเพิ่งหมดศรัทธา ผมอยากบอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังเดินหน้าต่อไปก็คือผมรักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่คุณรักให้พบ มันสำคัญอย่างมากถ้างานของคุณเป็นไปเพื่อคนที่คุณรัก งานของคุณต้องเข้าไปเป็นส่วนสำคัญส่วนใหญ่ ๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต และทางเดียวที่จะสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ได้คือรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหาไม่เจอ จงหาต่อไป อย่าหยุดยั้ง ด้วยแรงใจทั้งหมด คุณจะรู้เองเมื่อพบมัน มันเหมือนเรารู้จักใครสักคน มันจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดังนั้นคุณต้องหาจนกว่าจะพบ อย่าหยุดยั้ง”

จากประสบการณ์ชีวิตเรื่องที่สองของนายสตีฟ จอบส์ คือ ให้รักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหาไม่เจอ จงหาต่อไป อย่าหยุดยั้ง ด้วยแรงใจทั้งหมด อย่าได้ท้อถอย เพราะในเส้นทางชีวิตของคนเราย่อมมีทั้งผิดหวังสมหวังสลับกันไป.


อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร
ที่มาเดลินิวส์

ภารกิจใหม่ ไปรษณีย์ไทย

อีกหน่อยเวลาบุรุษไปรษณีย์มาร้องเรียกหน้าบ้าน อาจจะไม่มีใครออกมาขานรับอีกแล้ว..

เพราะ ด่วนจี๋ ไปรษณีย์จ๋า หาได้มาส่งจดหมายรักหวานแหวว หรือพัสดุของขวัญจากแดนไกลไม่..

แต่คุณพี่ มาทวงหนี้..!!

ก็ไปรษณีย์ไทย เขาจะเป็นธนาคารแล้วนี่นา..

หลายคนที่รู้เรื่องราวของ ไปรษณีย์ญี่ปุ่น ก็คงจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่แดนซากุระเขามี ธนาคารไปรษณีย์ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมยังเป็นธนาคารขนาดใหญ่โตมีปริมาณเงินฝากมากที่สุดในโลก

เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีนิสัยรักการออมอย่างยิ่ง และมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกโกง ไม่เจ๊ง เพราะรัฐบาลเป็นเจ้าของ 100% จนเพิ่งมาถูกแปรรูปเมื่อราว 10 ปีก่อน และจะเริ่มทยอยขายหุ้นบางส่วนให้เอกชน

อย่างไรก็ตาม ธนาคารไปรษณีย์ไทย คงไม่ใช่การเดินตามรอย ซามูไรไปรษณีย์ อย่างแน่นอน เพราะจะไม่รับฝากเงิน และตั้งใจจะปล่อยสินเชื่อเฉพาะรายย่อยขนาดเล็กจิ๋วเท่านั้น โดยกำหนดวงเงินกู้เพียงรายละไม่เกิน 10,000 บาท และใช้บุคคลค้ำประกัน ไม่ต้องมีหลักทรัพย์

ดู ๆ ไปหลักการคงคล้ายกับ ธนาคารคนจน หรือ Grameen Bank ของบังคลาเทศ

แต่ดูอีกทีก็หน้าตาไม่ผิดกับ ธนาคารประชาชน ของออมสิน อีกเหมือนกันนี่นา..

อ้าว... แล้วทำไมไม่ทำธนาคารประชาชนต่อล่ะจ๊ะ ชาวบ้านฝากถาม..

หรือกลัวจะถูกหาว่า ลอกของเก่า เขามา.. อิอิ..

หากจะตั้ง ธนาคารไปรษณีย์ เพื่อสนองนโยบายที่ต้องการให้ชาวบ้านยากจนระดับรากหญ้า เข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้ง่ายขึ้น.. ไม่เห็นจะต้องไปตั้งธนาคารไปรษณีย์ให้มันยุ่งยาก..

ไม่อยากใช้ธนาคารคนจนของออมสิน ก็ยังมี ธ.ก.ส.ที่ได้แก้กฎหมายสามารถปล่อยเงินกู้นอกภาคเกษตรได้แล้ว แถมยังมีสาขามากมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ รู้จักลูกค้าชาวบ้านร้านช่องละเอียดดียิบไม่แพ้บุรุษไปรษณีย์เลยทีเดียว

ธนาคารไปรษณีย์ ที่จะตั้งใหม่ก็ต้องอาศัยบุคลากรของธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ดี..

หรือจะเป็นเพราะสมัยนี้คนไม่ค่อยส่งจดหมายกันแล้ว จึงต้องหาธุรกิจใหม่ให้บริษัทไปรษณีย์ทำ

ปัญหานี้คงเกิดขึ้นกับกิจการไปรษณีย์เหมือนกันทั่วโลก

แต่ที่อเมริกาตอนนี้ บุรุษไปรษณีย์กำลังมีงานล้นมือเลยทีเดียว เพราะบรรดาเด็ก ๆ ต่างพากันเขียนจดหมายนับพันนับหมื่นฉบับ

จ่าหน้าถึง คุณลุงซานตาคลอส ที่อยู่ ขั้วโลกเหนือ..!

เพื่อขอของขวัญคริสต์มาสที่ตัวเองอยากได้..

ไปรษณีย์สหรัฐฯ ต้องตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นเรียกง่าย ๆ ว่า อาสาสมัครซานต้า โดยมีพนักงานจำนวนหนึ่งทำหน้าที่เปิดจดหมายของเด็ก ๆ ออกอ่าน และคัดเลือกส่งให้คนใจบุญ หรือองค์กรการกุศล ช่วยส่งของขวัญไปให้ตามที่เด็ก ๆ ต้องการ

เด็กบางคนขอเสื้อกันหนาวให้แม่ ขณะที่บางคนอยากได้ที่นอนใหม่นุ่ม ๆ แทนพื้นแข็ง ๆ ที่นอนอยู่..

เรียกว่าน่ารักทั้งคนเขียน และคนส่งจดหมาย รวมทั้งคนใจบุญที่ช่วยส่งของขวัญให้เด็ก ๆ และน่าจะเป็นนำมาปรับใช้กับกิจการไปรษณีย์บ้านเราบ้าง โดยเฉพาะการหากิจกรรมพิเศษทำในเทศกาลต่าง ๆ

ไม่ใช่ทำธุรกิจธนาคารซึ่งไปรษณีย์ไม่มีความชำนาญ และไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือเปล่า..?

สรุปแล้วก็ยังไม่รู้ว่า ธนาคารไปรษณีย์ ตั้งขึ้นเพื่ออะไรกันแน่

จะช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้น ก็ไม่ใช่

จะช่วยกิจการของไปรษณีย์ ก็ไม่เชิง

จะใช้เป็นนโยบายหาเสียง ยิ่งไม่ได้ใหญ่

ใครตอบได้ ช่วยส่งจดหมาย หรือไปรษณียบัตร มาบอกที..

คุณนายทอม (khunnaitom@gmail.com)
ที่มา เดลินิวส์

สร้างโอกาสด้วยกูเกิล นายหน้าขายสินค้า ให้กับอมาซอนดอตคอม

สร้างโอกาสด้วยกูเกิล นายหน้าขายสินค้า ให้กับอมาซอนดอตคอม
ไม่รู้จะขายอะไร? คือประโยค หลักหักมุมที่ฉุดรั้งคนที่จะก้าวสู่อาชีพผู้ประกอบการให้ถอยกลับอยู่ที่เดิม และเริ่มต้นไม่ได้สักที ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโอกาส และลูกค้าอยู่กับจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในมือ

แต่สำหรับ “ประ ภาส ซึงศิลป์ “บัณฑิตวิศวฯ เครื่องกลจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่จบการศึกษาเมื่อปีกลาย ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว หางานทำไม่ได้ ต้องขวนขวายหาอาชีพจากระบบออน ไลน์ เริ่มจากเปิดเว็บเป็นโบรกเกอร์ หรือนายหน้าขายสินค้า ให้กับอมาซอนดอตคอม ซึ่งก็พอทำได้และเห็นว่าแบบนี้ก็น่าจะทำเองได้ คือหาของที่ไม่เหมือนใครขายบนเว็บ
“จะขายอะไรล่ะ” คำถามอมตะที่เตะตัดขาหน้าใหม่ เจอเข้ากับประภาสเหมือนกัน แต่ความที่เขาเป็นคนรุ่นใหม่เติบใหญ่มากับวัฒนธรรมกูเกิล www.google.com ที่เชื่อว่า อยากรู้ อยากได้อะไรในโลกนี้ ให้คลิกถาม เขาจึงไม่ตกม้าตายกับโจทย์พื้น ๆ ที่ว่าจะขายอะไร ด้วยการโยนให้กูเกิลช่วยจัดการ

“ผมก็เสิร์ช (สืบค้น) หาว่า ถ้าคนรุ่นใหม่จะค้าขายด้วยเงินทุนหลักหมื่นควรขายอะไร กำหนดกรอบว่าควรมีกำไรบนเว็บสักเดือนละสามพันบาท ทำงาน ได้จากที่บ้าน ก็ ได้ตัวเลือกมา เรื่อย ๆ จนรู้แหล่งผลิตของที่ต้องการจากประเทศจีน ก็ติดต่อสื่อสารกันด้วยโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น แล้วค่อยทดลองสั่งของมาขาย”

สินค้าประเภทอินดี้ คือแนวของประภาส เขาอธิบายว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของที่รู้จักกันในกระแสหลัก หาซื้อยาก เดินตลาดนัดก็ไม่ค่อยเจอ ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม ซื้อหาเป็นของขวัญให้กันได้ทั้งปี เช่น ลูกแก้วบอก รัก หรือหลอดไฟมีข้อความไอเลิฟยู สำหรับส่งให้เธอหรือเขาคนนั้นที่สถาปนาความเป็นแฟนกันแล้ว ประเภทที่พ่อแม่ซื้อให้ลูกก็มี อาทิ หุ่นยนต์พลังแสงอาทิตย์ แปลงร่างได้ 6 แบบ จัดเป็นของเล่นแนวการศึกษา เพราะจะได้เรียนรู้เรื่องวงจรไฟฟ้าบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ

อมาซอนอินดี้ดอตคอม (amazonindy. com) เป็นชื่อเว็บไซต์ที่ว่า มีที่มาจากชอบชื่อที่หมายถึงป่าหรือทุ่งหญ้าที่มีความหลากหลาย อีกทั้งเคยทำโบรกเกอร์กับอมาซอนมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีเว็บอื่นอีกเบ็ดเสร็จ 4 แห่ง ซึ่งเป็นแนวที่ไม่เหมือนใคร และที่ถือว่าทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเลี้ยงตัวได้อีกเว็บก็ คือเว็บขายกล้องโทรทัศน์วงจรปิดปลอม ที่ทำไว้เพื่อหลอกให้ผู้อื่น รวมถึงคนร้ายเข้าใจว่ามีกล้อง แต่บันทึกไม่ได้ ซึ่งขายดี เพราะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และโรงงานหลายแห่งนิยม มีให้เลือกหลากหลาย บางอย่างมีไฟกะพริบให้ดูสมจริงมากขึ้น

“อันนี้ลูกค้าทราบครับ ผมก็แนะนำว่า ควรติดตั้งในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ ไม่เหมาะจะใช้ในพื้นที่ซึ่งต้องการของจริง แต่โรงงานหลายแห่งที่ซื้อก็เอาไปใช้ปนกับของจริง เพื่อให้ดูมีเยอะครับ” ประภาสบอกช่องทางธุรกิจของเขา ซึ่งก็ได้แนวทางจากการนั่งสืบค้นผ่านกูเกิลนั่นแหละ

สนใจลองเข้าไปหาข้อมูลที่ เฟกแคม ดอตเน็ต

ถามถึงรายได้จากธุรกิจบนเว็บ ประภาสบอกว่า ผลตอบแทนอยู่ในระดับเลี้ยงตัวได้ และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เป็นลูกจ้างใคร เพราะเทียบเงินเดือนวิศวกรทำคงต้องทำงานหลายปีกว่าจะได้เท่านี้ แต่กำไรอาจไม่มาก เพียงแต่ได้เงินหมุนเวียน และประสบการณ์ที่จะต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่น

เขายอมรับว่า เป็นการเริ่มต้นธุรกิจแบบเด็ก ๆ ที่อยากมีอาชีพอิสระ ทำไปเรียนรู้ไป จึงไม่ได้วางเป้าหมายยาวนานนัก แต่ในการค้าขายก็เน้นสร้างความเชื่อถือ เช่น เมื่อมีผู้สั่งของก็สามารถติดตามสถานะได้ คนที่สนใจก็ตรวจสอบได้จากข้อมูลของผู้ซื้อรายก่อน ๆ ที่ปรากฏบนเว็บบอร์ด

และหากคนรุ่นใหม่อยากเริ่มต้น ธุรกิจ แต่ไม่ทราบจะนับหนึ่งตรงไหน ประภาสบอกว่า ก็ใช้วิธีหาจากกูเกิล โดยกำหนดกรอบการค้นหาให้ได้คำตอบที่ต้องการ และควรเป็นนักแสวงหาข้อมูลไป เรื่อย ๆ แต่อย่าไปเชื่อคำชักชวนให้หาเงินทางเน็ต เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวง

จะได้หมดปัญหาเสียที ว่าไม่รู้จะขายอะไร.

วีระพันธ์ โตมีบุญ
VeeraphanT@gmail.com
ที่มา เดลินิวส์

ตรึงราคาน้ำมันเอาใจคนไทยถึงหลังปีใหม่

ปตท.จับมือบางจาก ประกาศเอาใจคนใช้รถ เล็งตรึงราคาน้ำมันขายปลีกดีเซล-เบนซิน ไปจนถึงวันหยุดยาวปีใหม่

วันนี้ (20 ธ.ค.) นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ อาจจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนราคา และมีแนวโน้มที่จะตรึงราคาต่อเนื่องไปจนถึงช่วงวันหยุดยาวปีใหม่เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติ โดยปัจจุบัน ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.10-1.20 บาทต่อลิตร กลุ่มเบนซิน อยู่ที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร

“รัฐบาล มีมาตรการตรึงดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร แต่หากราคาตลาดโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจต้องหารือกับกระทรวงพลังงาน ว่าจะนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยราคาได้หรือไม่” รมว.พลังงาน กล่าว

สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในปี 2554 เชื่อว่าจะไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจในยุโรป ยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ขณะที่การใช้น้ำมันของโลก น่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 88 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ อาจปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสสอง ตามความต้องการใช้ในช่วงหน้าร้อน ขณะเดียวกัน ยังมีความเสี่ยงจากกองทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ ที่มีน้ำมันอยู่ในสต็อก 170 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือว่าสูงมาก และอาจมีการเทขายทำกำไร หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ออกมาไม่ดีอย่างที่ดาดการณ์ และฉุดราคาน้ำมันตลาดโลกให้อ่อนตัวลงได้

นายสรัญ รังคศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก หน่วยธุรกิจน้ำมัน บมจ.ปตท.กล่าวว่า หากตลาดโลกไม่มีการปรับเปลี่ยนมากผิดปกติ ปตท.อาจตรึงราคาน้ำมันจนถึงวันปีใหม่เพื่อสนับสนุนการเดินทางกลับบ้านของคนไทย.
ที่มา เดลินิวส์

ช่องทางทำกิน'สระน้ำน้องหมา'อินเทรนด์...เป็นกำไร

ช่องทางทำกิน'สระน้ำน้องหมา'อินเทรนด์...เป็นกำไร ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจเสมอ เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าคนรักสัตว์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนทำให้ตลาดของธุรกิจประเภทนี้กว้างขึ้น และนอกจากการผลิตและจำหน่ายสินค้า สำหรับธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ก็ถือว่าเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ อย่างเช่น “สระว่ายน้ำสำหรับสุนัข”...

@@@@@

“โชติมา โชติบัณฑิต” เจ้าของธุรกิจให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข ในชื่อ I Tube Pool เล่าว่า เดิมทำงานเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง ต่อมาเกิดความสนใจในธุรกิจการให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข เพราะได้แรงบันดาลใจจากความลำบากที่ต้องเดินทางไกล เพื่อพาสุนัขไปสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พักในบริเวณสุขุมวิทมาก ทำให้เสียเวลาการเดินทาง จึงคิดว่าในพื้นที่แถวสุขุมวิทยังไม่มีบริการด้านนี้ ทั้งที่มีกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขและมีความต้องการ บริการนี้อยู่พอสมควร จึงคิดว่าหากใช้พื้นที่บ้านดัดแปลงให้เป็นสระว่ายน้ำ เน้นกลุ่มลูกค้าย่านนี้ที่ส่วนใหญ่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมซึ่งไม่ค่อยมีพื้นที่ให้สุนัขออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพสุนัขมีปัญหา จึงมองว่าธุรกิจนี้น่าจะแทรกตัวในพื้นที่ดังกล่าวได้

เจ้าของไอเดียบอกว่า นอกจากเป็นสถานที่ออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นสถานที่สำหรับทำกายภาพบำบัดด้วย เนื่องจากสุนัขเมื่อมีอายุมากขึ้นมักมีปัญหาบาดเจ็บที่ตะโพก โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ใหญ่และสุนัขที่มีรูปร่างอ้วน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้มีมากขึ้น ทำให้ความต้องการในบริการนี้มีเพิ่มขึ้น

“ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความลำบาก แต่ที่เลือกทำก็เพราะเรามีความสุขด้วย ในฐานะคนรักสุนัขคนหนึ่ง” เจ้าของธุรกิจกล่าว ก่อนบอกอีกว่า จุดขายของธุรกิจบริการสระว่ายน้ำสุนัขคือเรื่องของ “ความสะดวก”

นอกจากนี้ก็ยังต้องคำนึงถึง “ความสะอาด” และ “ความปลอดภัย” ของสุนัขด้วย สำหรับสระว่ายน้ำที่นี่จะใช้ “ระบบเกลือ” ซึ่งต้องลงทุนสูงกว่าการใช้ “สารคลอรีน” แต่มองในระยะยาวระบบเกลือจะดีกว่า โดยสระที่ใช้เป็นขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร และลึก 1.20 เมตร

“หัวใจสำคัญอยู่ที่ความสะอาด สระว่ายน้ำจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลเสมอ เพราะบางฤดูสุนัขจะขนร่วงมาก ก็จำเป็นจะต้องคอยช้อนขนสุนัขออก อีกทั้งเรื่องปริมาณสุนัขในสระก็ต้องควบคุมให้พอดี ไม่ให้มากเกินไป”

ในเรื่องการสร้างความมั่นใจ การสร้างความเชื่อมั่นก็เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจนี้ โชติมาบอกว่า สุนัขทุกตัวเจ้าของจะกังวลเรื่องของความปลอดภัย โดยทางร้านจะมีชูชีพให้ใช้ฟรี นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยงคอยดูแลความปลอดภัยของสุนัขเวลาที่อยู่ในสระ ส่วนโรคติดต่อจะมีกฎระเบียบในการใช้บริการคือ เจ้าของสุนัขจะต้องมีใบตรวจวัคซีนมาให้ทางร้านดูก่อนที่จะลงสระ โดยทางร้านจะอาบน้ำก่อนและหลังจากลงสระ พร้อมทั้งบริการเป่าแห้งให้เรียบร้อย เพียงแต่เจ้าของต้องเตรียมแชมพูมาเองเพื่อป้องกันปัญหาจากการแพ้แชมพู

ทุนเบื้องต้น ตัดเรื่องค่าเช่าสถานที่ออกก็จะมีแต่ค่าสระและค่าตกแต่งสถานที่ อยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท ทุนหมุนเวียน ส่วนใหญ่เป็นค่าไฟ-ค่าน้ำ ค่าจ้างพนักงาน อยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อเดือน รายได้มาจากค่าบริการและจากการขายอาหารและเครื่องดื่ม โดยรายได้จากค่าบริการสำหรับ สุนัขพันธุ์เล็กอย่าง ชิสุ, ไส้กรอก อยู่ที่ 380 บาทต่อชั่วโมง ส่วนพันธุ์ใหญ่อย่าง ลาบราดอร์, โกลเด้น อยู่ที่ 480 บาทต่อชั่วโมง

เจ้าของธุรกิจนี้แนะนำว่า นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องของสุนัขแล้ว การจัดสถานที่ให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรมีสถานที่ให้เจ้าของสุนัขนั่งพักรอ มีบริการอินเทอร์เน็ต และของว่างหรืออาหารไว้บริการให้พร้อม เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความประทับใจและอำนวยความสะดวกแล้ว ก็ยังเป็นรายได้เสริมที่เพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากรายได้จากค่าบริการในส่วนของสุนัขเพียงอย่างเดียว

“การออกแบบสถานที่ ต้องเน้นสะอาด สะดวกสบาย และต้องดูดี เช่นเดียวกับสระว่ายน้ำของคน และควรมีพื้นที่รอบ ๆ ให้สุนัขได้เดินเล่น หรือให้สุนัขได้กระโดดน้ำได้ด้วย” เป็นไอเดียที่เจ้าของธุรกิจแนะนำมา

ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจนี้ยังบอกด้วยว่า การทำอาชีพสระว่ายน้ำสุนัข กำไรอาจจะไม่ได้มากมายเหมือนการค้าขายทั่วไป เนื่องจากราคาให้บริการ ถ้าสูงมากลูกค้าก็จะไม่มา ถ้าถูกเกิน ร้านก็จะไม่ไหว แต่เหมือนเป็นการทำแล้วสบายใจมากกว่า จากการที่ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของเจ้าของสุนัข เมื่อได้เห็นสุนัขมีความสุข

@@@@@@

ธุรกิจ “สระว่ายน้ำสุนัข” รายนี้ อยู่ที่เลขที่ 25 ซอยพร้อมมิตร สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ โทร. 0-2258-4736 เว็บไซต์ www.itubepool. com เปิดให้บริการช่วง 09.00-17.00 น. ปิดวันจันทร์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงที่น่าพิจารณา โดยเฉพาะสำหรับคนที่รักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว.


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ
ที่มา เดลินิวส์

ทำเงินบนโลกไอที (47) : "นักเล่น Social Network" อาชีพใหม่เมืองไทย?

ทำเงินบนโลกไอที (47) : "นักเล่น Social Network" อาชีพใหม่เมืองไทย? เชื่อว่าน้อยคนนักที่ยังไม่รู้ ว่าวันนี้องค์กรในเมืองไทยกำลังตื่นตัวกับตำแหน่งงานใหม่ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการว่าจ้างให้พนักงานมานั่งเล่น Facebook, Twitter หรือ Youtube อย่างจริงจังตลอดเช้าสายบ่ายเย็น แน่นอนว่าการลงทุนจ้างพนักงานอย่างเป็นล่ำเป็นสันนี้แปลว่าเครือข่ายสังคมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นช่องทางทำเงินที่องค์กรไทยเริ่มมองเห็นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

"@maeyingzine"จะพาทุกคนไปรู้จักกับความท้าทายของอาชีพใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือติดปีกกลยุทธ์การตลาดของหลายองค์กรในประเทศไทยต่อเนื่องไปอีกหลายปี

***เล่น Social Network อย่างไรให้ได้เงิน
ผู้เขียน : @maeyingzine

เล่น Social network อย่างไรให้ได้ดี นี่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อแบบ Spam mail หรือพวก Spam Tag ที่เอาแต่ส่งเมล์ Tag รูปพร้อมกับใช้รูปสาวๆ น่ารัก แอ๊บแบ้ว ดึงดูดตาดึงดูดใจคนไปวันๆ แล้วบอกว่าเพียงแค่คลิก หรือส่งเมล์ก็สามารถสร้างรายได้ได้แล้ว แต่สิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้คือ การเล่น Social Network อย่างถูกต้องและเข้าใจ เครือข่ายสังคมก็สามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้คุณได้เหมือนกัน
การที่ Fanpage หนึ่งจะประสบความสำเร็จ มีจำนวน Fan มาก มีการนำเสนอเนื้อหา มีการพูดคุยอย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา ผู้คนชื่นชอบได้นั้น เบื้องหลังของความสำเร็จไม่ได้อยู่นักการตลาดเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น เปรียบเสมือนกับการทำงานในองค์กร ที่ต้องมีหลายแผนกเพื่อช่วยกันทำงาน ทำหน้าที่ส่วนต่างๆ คอยช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้งานออกมาสำเร็จได้ด้วยดี

การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มนักการตลาดที่คอยคิด Strategic เพียงกลุ่มเดียวแล้วจะทำให้ Page สามารถประสบความสำเร็จมีคนชื่นชอบได้ ในซอกในมุมหนึ่งยังมีกลุ่มคนทำงานกลุ่มหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่หลายคนอาจมองข้ามและนึกไม่ถึง นั่นคือ นักเขียนหรือคนที่คอยดูแลหน้า Page คอยพูดคุยกับ Fan คอยตอบปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น คนที่คอยมาทักทาย Fan ตอนเช้าและเย็นนั่นหล่ะค่ะ บางองค์กรอาจเรียกตำแหน่งของคนกลุ่มนี้ว่า Online Content, Digital Content, Social Media Content ก็ว่ากันไป แต่ละที่อาจเรียกและให้คำจำกัดความที่ไม่เหมือนกันก็ได้

ตำแหน่ง Online Content, Digital Content, Social Media Content ยังเป็นตำแหน่งที่ไม่แพร่หลายมากนัก และบางคนอาจจะยังงงๆ กับชื่อตำแหน่งว่าทำอะไร ตกลงวันๆ เค้าจ้างให้มานั่งเล่น Facebook, Twitter, Youtube หรือ

หน้าที่หลักของ Online Content, Digital Content, Social Media Content จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจาก Web Content เลย คือเน้นการเขียนบทความ เนื้อหา และการอัปเดทหรือ Publish เนื้อหา เพียงแต่เปลี่ยนที่ทางในการเผยแพร่จาก Web Site มาเป็นบน Social Network แทนเท่านั้นเอง

Skill หลักในการทำงานก็ยังคงอยู่ที่การเขียนเนื้อหาเป็นหลัก การอัปเดท Status อัปเดทรูปภาพ ประชาสัมพันธ์ข่าวต่างๆ บนหน้า Wall อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ เช่นตอนเช้า ที่จะมีคนมาคอยกล่าวคำว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เป็นต้น หน้าที่อีกอย่างที่น่าสนใจและสนุกก็คือการได้โต้ตอบ พูดคุยกับบรรดา Fan หลายๆ คน บางครั้งกับบางคนที่คุยกันบ่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่า Fan คนนี้เป็นเพื่อนกับเราจริงๆ ไปเลยก็มี

การเขียนเนื้อหาลงบน Social Network มีความแตกต่างจากการเขียนบนเว็บอยู่ไม่น้อย เพราะ Social Network คือแหล่งที่จะพูดคุยต่อกัน ดังนั้นการเนื้อหาจึงต้องแฝงด้วยความเป็นกันเองและเน้นให้เกิดการ Response ของผู้อ่านกลับมามากว่า Website หรือ นิตยสาร

ความสนุกในการทำงานคือการที่คุณจะได้พบปะและพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คอย Monitoring หน้า Page พูดคุย ตอบคำถามกับบรรดา Fan ของเราเพื่อให้เป็น Social media อย่างแท้จริงสร้างความเป็นกันเองให้มากขึ้น เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนให้หน้า Page เป็นเหมือนหน้า Profile ของเราที่เวลาโพสต์ข้อความอะไรไปแล้วมีเพื่อนมาคอมเมนท์แล้วเราก็จะคุยกลับกับเพื่อนเหล่านั้นไป จะทำให้ Page ดูมีชีวิตชีวามีตัวตนจริงๆ

และที่สนุกยิ่งไปกว่านั้นคือในหนึ่งวันคุณอาจจะกลายเป็นคนมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ ยกตัวอย่างหากองค์กรของมีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อยู่หลายตัว แล้วทุกสินค้ามี Fanpage หมด ดังนั้นการดูแล Page แต่ละกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่สินค้าแต่ละตัวก็ย่อมต่างกันออกไปด้วย

ดังนั้นการเขียนเนื้อหาสำหรับ Page แต่ละ Page ก็แตกต่างกันออกไป บางครั้งตอนเช้าคุณอาจจะต้องนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคุณแม่ สายหน่อยอาจจะต้องกลายเป็นเด็กวัยรุ่นแอ๊บแบ้ว บ่ายๆ อาจจะต้องเป็นพวกรักสุขภาพ ความสวยความงาม ตกเย็นอาจกลายเป็นหนุ่มเพลย์บอย สาวเพลย์เกิร์ลเตรียมออกไปเริงร่ายามราตรีก็ได้ นี่แหละคือความสนุกของการทำงาน

การสวมหมวกหลายใบในหนึ่งวันจะทำให้คุณรู้ว่า “เราสามารถเป็นได้มากกว่าที่เราเป็นและเราคิด” และมันก็สนุกไม่น้อยเลย การได้ค้นคว้าหาข้อมูลที่แตกต่าง และหลากหลายนี่ล่ะที่จะทำให้ไม่เบื่อกับการทำงานที่ต้องนั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์

ที่ยิ่งไปกว่านั้นการทำงานแบบนี้ยังบอกถึงความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของเราได้อีกด้วย จริงๆ แล้วคนเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ ได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และยังเป็นท้าทายที่จะทดสอบความสามารถของตัวเองด้วยว่าเราสามารถสวมหมวกหลายใบได้หรือไม่ และเรามีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนบุคลิกของเนื้อหาไปตามเพศ วัย อายุ ความสนใจได้มากแค่ไหน วันนึงคุณอาจจะค้นพบว่าจริงๆ คุณชอบเพศอะไรมากกว่ากัน หรือชอบเรื่องแนวไหนมากกว่า ;)

ฟังอย่างนี้แล้วบางคนอาจคิดว่าโห สบายจังเลย งานไม่เห็นยากตรงไหน วันๆ ก็แค่เขียนนิดๆ หน่อยแล้วก็คอยคุยกับ Fan แต่จริงๆ แล้ว การพูดคุยไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เราจะคุยอะไรก็คุยได้ อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นฐาน มีความรู้ ความเข้าใจความเป็นไป กลไกการทำงานของ Social Network ว่าเป็นยังไง หลักการทำงานของมันเป็นอย่างไร เล่นให้เป็นเล่นให้ถูกต้องอยู่เหมือนกัน และต้องร่วมมือทำงานให้เป็นไปในทิศทางของ Strategic กลยุทธ์ทางการตลาดที่นักการตลาดได้วางแผนมาว่าให้เป็นอย่างไรด้วย

ปัจจุบันก็เริ่มมีองค์กรใหญ่ๆ หลายองค์กรที่หันมาให้ความสนใจและความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น และมีการประกาศรับพนักงานในตำแหน่ง Online Content, Digital Content, Social Media Content เพิ่มมากขึ้นแล้ว และนี่อาจเป็นตำแหน่งงานใหม่ ทางเลือกใหม่ในการทำงานให้ใครอีกหลายๆ คนที่ชื่นชอบทั้งด้านการตลาดและการเขียนควบคู่กันไปก็ได้ค่ะ

เหนืออื่นใด การสร้าง Page ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีแค่นักการตลาด Content เพียง 2 กลุ่มเท่านั้นแต่ยังมีกลุ่มคนทำงานอื่นที่อยู่เบื้องหลังอีกส่วน ไม่ว่าจะเป็น Programmer หรือ Creative ก็ตาม ทุกคนทุกกลุ่มร่วมกันทำงานความสำเร็จของ Fanpage จึงจะเกิดขึ้น

คนเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้สำเร็จจริงไหมคะ Fanpage ก็เช่นกันค่ะ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ทำเงินบนโลกไอที (49) - Joomla! เล็กรวยได้ ใหญ่รวยดี

ทำเงินบนโลกไอที (49) - Joomla! เล็กรวยได้ ใหญ่รวยดี มาร่วมกันเปิดโลกทัศน์ใหม่เกี่ยวกับ Joomla! CMS ชุดโปรแกรมสำหรับการสร้างระบบหลังบ้านให้เว็บไซต์ที่ธุรกิจน้อยใหญ่ทั่วโลกสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรได้สำเร็จมาแล้ว บนค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบที่มีการเก็บค่าลิขสิทธิ์การใช้งานแสนแพง

***ใครว่า Open Source CMS ทำได้แค่เว็บเล็กๆ มาดู Joomla! CMS สิทำได้มากกว่าที่คุณคิด
(โดย อัครวุฒิ ตำราเรียง ประธานกรรมการบริษัท มาร์เวลิค เอ็นจิ้น จำกัด/ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ JoomlaCorner.com)

Open Source CMS ในมุมมองของบางคนหรือบางบริษัทในเมืองไทย ยังมีความคิดว่าไม่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงธุรกิจ บางคนบอกว่ามันไม่ปลอดภัย บางคนบอกว่าไม่สามารถรองรับคนใช้จำนวนมากๆได้ หรือบางคนบอกว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ได้ เพราะมีข้อจำกัดต่างๆนาๆ

แต่ขณะนี้ บริษัทอย่าง Tesco , eBay , McDonald , PizzaHut ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ต่างเลือกใช้ Joomla! ในการทำเว็บไซต์ โดยเทสโก้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในอังกฤษได้เลือกใช้ Joomla! เป็นเว็บ eLearning สำหรับพนักงานมากกว่า 400,000 คน ภายใต้เว็บไซต์ TestcoAcaemy.com

ในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของการมีเว็บไซต์เพื่อเพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์สินค้าหรือธุรกิจของตนเองให้เป็นที่รู้จัก รวมถึงเป็นช่องทางในการขายสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนของเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์นั้นปัจจุบันมีมากมายให้ได้เลือกใช้ ทั้งเว็บไซต์สำเร็จรูป ร้านค้าออนไลน์ หรือใช้ซอฟต์แวร์ประเภทที่เรียกกว่า Content Management System หรือ CMS ซึ่งมีทั้งซอฟต์แวร์ที่ขายเป็นไลน์เซนส์การใช้งาน และที่เป็นซอฟต์แวร์เปิดเผยรหัส (โอเพนซอร์ส)

ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างถึง การนำโอเพนซอร์สที่ชื่อ Joomla! มาใช้ในการสร้างเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของตน โดยเฉพาะการใช้ร้านค้าสำเร็จรูป ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ได้ครบถ้วนนัก แต่ Joomla! เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยม 2.5% ของเว็บไซต์ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วยเว็บไซต์ส่วนบุคคล ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมไปถึงเว็บไซต์ขนาดใหญ่

โดย Joomla! สามารถรองรับการนำไปพัฒนาเป็น Webbase Application ต่างๆ Joomla! ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2005 การพัฒนาและบริหารโครงการทำโดยคอมมูนิตี้จากทั่วโลก มีการดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วมากกว่า 19 ล้านครั้ง มี Extensions เสริมมากกว่า 6,000 Extensions (http://extensions.joomla.org)

ในส่วนของรูปแบบการนำ Joomla! มาสร้างเว็บไซต์เพื่อเพิ่มช่องทางขายนั้นทำได้หลากหลาย ในทุกๆ ธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ก็นำเสนอเมนูอาหาร รวมถึงสามารถให้มีการจองโต๊ะล่วงหน้าได้

รวมทั้ง Mcdonald Arabia แมคโดนัลในกลุ่มประเทศอาหรับที่ใช้ Joomla! ในการพัฒนาเว็บไซต์ ให้ข้อมูลเมนูอาหาร ของสะสม รวมถึงสถานที่ตั้งของสาขาต่างๆ ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

IKEA ประเทศซาอุดิอาระเบีย http://www.ikea.com.sa ใช้ Joomla! ขับเคลื่อนเว็บไซต์ 2 ภาษา คือ อาหรับและอังกฤษ รวมถึงใช้ extensions ที่ใช้สำหรับเป็น shopping cart ในการสั่งซื้อสินค้า IKEA Store เป็นร้านขายอุปกรณ์ตบแต่งบ้านคล้ายๆ โฮมโปร ในบ้านเรา

Suwannin Place : ธุรกิจให้บริการเช่าห้องพัก ได้ใช้ Joomla! และ Extensions สำหรับบริหารจัดการโรงแรม ในการรับจองห้อง รวมถึงตัดชำระผ่านบัตรเครดิต

หน่วยงาน SOCA ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นหน่วยงานเหมือน FBI หรือ DSI ในบ้านเราก็เลือกใช้ Joomla! ในการพัฒนาเว็บไซต์

หรือแม้กระทั่ง eBay ก็เลือกใช้ Joomla! เป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนาพอทัลสำหรับพนักงาน 16,400 คน รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ http://www.ebayinc.com/content/press_release/ebay_selects_joomla_open_source_to_foste

ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นของหน่วยงานที่ได้นำ Joomla! ไปใช้พัฒนาเว็บไซต์ สำหรับท่านที่สนใจในส่วนของ extensions เสริมของ Joomla! ที่ใช้สำหรับร้านค้านั้น Joomla! มีมากมายให้ท่านได้เลือกใช้ ตั้งแต่ระดับเล็กๆ ไปจนถึงระดับบริหารจัดการร้านค้าแบบเบ็ดเสร็จในตัว สำหรับ extensions ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้กันมากในปัจจุบัน ก็ได้แก่

VirtueMart (http://virtuemart.net ) ซึ่งในบ้านเราก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เนื่องจากมีทีมพัฒนาภาษาไทย (http://joomlacorner.com) และได้ออกแพคเกจชื่อ Joomla! LaiThai eCommerce Edition (http://www.joomlacorner.com/jcornernews/315-laithai-e-commerce-edition-vm-114-joomla-1515.html) ซึ่งเป็นการรวมการติดตั้ง Joomla! และ VirtueMart เข้าด้วยกัน ทำให้สะดวกในการติดตั้งมากขึ้น

นอกจาก VirtueMart แล้วก็ยังมี TienDa ซึ่งเป็น eCommerce Extensions ตัวใหม่ ที่น่าจัดตามอง ซึ่งผู้พัฒนาเองได้เดินทางมาบรรยายเกี่ยวกับ TienDa ให้กับกลุ่มผู้ใช้ในเอเซียในงาน JoomlaDay Bangkok 2010 เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาสามารถดาวน์โหลดสไลด์ได้ที่เว็บไซต์ http://www.joomladay.in.th

VirtueMart และ TienDa เป็นเพียงตัวอย่างของ Extensions ที่ใช้ในการสร้างร้านค้าออนไซต์แบบเบ็ดเสร็จในเว็บของตนเอง ซึ่งนอกจากที่จะเป็น Extensions ประเภทนี้แล้ว ก็ยังมี Extensions ประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Adsense หรือการเชื่อมกับระบบ eCommerce ภายนอกอื่นๆ เช่นเชื่อมต่อกับ Magento , osCommerce ฯลฯ

นอกจากการเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าของตนเองแล้ว สำหรับท่านที่ไม่มีสินค้าของตนเองท่านก็ยังสามารถเปิดเว็บไซต์ หารายได้จากการทำ Affiliate ซึ่งใน Joomla! ก็มี Plugin เสริมหลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงการสร้างรายได้จากผู้พัฒนา Extensions สำหรับ Joomla! ซึ่งจะเรียกว่า Joomla! Affiliates Program ที่ผู้ร่วมโครงการจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการโฆษณาในลักษณะของ Referral ตัวอย่างของผู้ให้บริการที่เปิดให้ทำในลักษณะ Affiliates เช่น

•RocketTheme เว็บขายเทมเพลตสำหรับ Joomla! จ่ายให้ 20% เมื่อมีผู้สมัครสมาชิก
•iJoomla จ่ายให้ 20% , สะสมอย่างน้อย $9 USD จึงจะโอนเงินได้
•Alledia - 10% สะสมอย่างน้อย $5 USD จึงจะโอนเงินได้
•JoomlArt - 20% สะสม $100USD จึงจะโอนเงินได้
•Sharp 5 - 20% สะสม $100USD จึงจะโอนเงินได้
•BuyHttp - 25% สะสม $100USD จึงจะโอนเงินได้

ในประเทศไทย Joomla! ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 1 เมื่อดูจาก Google Trends เนื่องจากในประเทศไทยมี Community ที่แข็งแกร่งในการให้บริการ ให้ความรู้ ได้แก่ JoomlaCorner.com, เว็บไซต์ Joomla User Group ประเทศไทย Joomla.or.th มีการจัดงาน JoomlaDay ประจำปีและมีผู้ร่วมงานเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี รวมถึงมีบริษัทที่เชี่ยวชาญให้บริการในเชิงธุรกิจครบวงจร ให้บริการตั้งแต่การฝึกอบรม ไปจนถึงการรับพัฒนา Extensions เสริมเพื่อให้เหมาะกับลักษณะงานประเภทต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบให้ Joomla! ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน

อะไรทำให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้จูมล่า

1. ใช้ง่าย - Joomla มีการออกแบบ UI หรือส่วนของการติดต่อกับผู้ใช้งานที่เข้าใจง่าย มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะไม่ได้กำหนดตายตัว เช่นชื่อเมนู สามมารถเปลี่ยนเองได้ ปรับลำดับเองได้ กำหนดการแสดงผลข้อมูลต่างๆ เองโดยไม่ต้องแก้ไข Code

2. ทรงพลัง - Joomla! มีระบบที่รองรับ จำนวนผู้ใช้ และรองรับ Cache Server เช่น Eaccelerator, Memcache, Xcache, APC Joomla!

สามารถใช้ได้ทั้งกับ Server ที่ใช้ linux OS และ Windows OS
ใช้ ภาษาPHP
ใช้ฐานข้มูล MySQL

3. รองรับ SEO (Search Engine Optimization) - Joomla! ออกแบบมาให้ รองรับ SEO (Search Engine Optimization) เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine ในการค้นหาข้อมูล แทนที่จะต้องพิมพ์ URL (Uniform Resource Locator) ก็ใช้ Keyword (คำค้น) ป้อนลงไปใน Search Engine Box ต่างๆ ก็จะค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ซึ่งเว็บที่พัฒนา หรือปรับแต่งให้ รองรับ SEO ก็ย่อมได้เปรียบ ซึ่ง Joomla! เอง ก็มีความสามารถนั้น

4. ลิขสิทธิ์ เป็น Opensource GNU/GPL - ผู้พัฒนาสามารถนำ Source Code ของ Joomla! ไปใช้งาน แก้ไข ดัดแปลง แจก ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริงจะไม่นิยมแก้ไข Source Code ของ Joomla! แต่จะเขียน ระบบเสริมขึ้นมาหากมีความต้องการบางอย่างที่ไม่มีในตัว Joomla! ซึ่งตอนนี้เองมีคนทำออกมามากกกว่า 6,000 Extensions (http://extensions.joomla.org)

5. Free (ถ้าลงมือทำเอง) - แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในตัว Software Joomla! นั้นไม่มี สามารถ แก้ไข ดัดแปลง แจก ได้ แต่หากคุณต้องเรียนรู้การใช้งานนั้นเอง หากคุณต้องการประหยัดเวลาในการเรียนรู้ ด้วยตัวเองก็ต้องไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ หรือหากคุณต้องการใช้งานแต่ไม่อยากลงมือทำเอง ก็ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาทำให้

ยินดีต้องรับสู่โลกแห่งความ“FREE" ซึ่งในความหมายของ OpenSource คือ Freedom อิสระในการใช้งานครับ
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

10 แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นบนโลกไอที ในปี 54

ไอดีซีคาด การเติบโตของบริษัทต่างๆ ในเอเชียจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านไอซีที ในปี 2554 เชื่อแอปพลิเคชัน Socialytics เป็นเรื่องเด่นในการคาดการณ์ 10 อันดับแนวโน้มที่สำคัญในปี 2554

บริษัทวิจัยตลาดไอดีซี (International Data Corperation) คาดการณ์ 10 แนวโน้มสำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น ในปี 2554 การดำเนินธุรกิจของภูมิภาคเอเชียและมุมมองด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นั้นจะยังคงถูกเน้นหนักไปที่ภาพของการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือในบางกรณีมีอัตราการเติบโตในระดับสูง ด้วยเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนส่งผลให้เกิดการแปลงสภาพของอุตสาหกรรม ไอซีที ตามลำดับ และยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ต่อไปนี้คือ 10 อันดับแนวโน้มด้านไอซีทีที่สำคัญในปี 2554 ที่ไอดีซีเชื่อว่าจะเป็นแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลกระทบตลาดไอซีทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

1. แอปพลิเคชั่น Socialytic จะเปลี่ยนตลาด

ในปี 2554 Social media และ Business analytical จะทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มให้มีใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ภายในองค์กร โดยแอปพลิเคชันทางธุรกิจทุกประเภทจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของระบบโครงการสร้างการทำงาน ด้วยการรวมซอฟต์แวร์ด้าน Social/Collaboration และงานด้านการวิเคราะห์ เข้าไปเป็นหน่วยหนึ่งในแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ใช้งานมาดั้งเดิม ในปี 2554

2. Mobilution - Mobility จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดไอที

สิ่งที่เราเรียกว่า “มหาพายุ (Perfect storm)” ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีหลายประเภทที่รวมตัวกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่องโมบิลิตี้ แท็บเล็ต มีเดียแท็บเล็ต อย่างไอแพด และสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ สามารถทำงานด้านซอฟต์แวร์ หรือเซอร์วิสได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยี Cloud Computing ในปัจจุบัน ทำให้เราพบว่าระบบไอทีต่างๆ กำลังจะเริ่มให้บริการในรูปแบบที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์มากขึ้น โดยจะลดความสำคัญของงานประมวลผลที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ สิ่งนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็น Mobile อย่างจริงจัง และในปี 2554 จะเป็นปีที่หลายๆ หน่วยงานให้ความสำคัญญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

3.“จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย Less for Less” - พอร์ทัลสำหรับให้ลูกค้าใช้บริการด้วยตนเองจะเป็นหัวหอกในการนำเสนอบริการราคาประหยัดที่ยึดเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง

การมองลูกค้าเป็นตัวตั้ง - การปรับเปลี่ยนสินค้าหรือบริการไปตามสภาพของตลาดที่เปลี่ยนไป จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กร ในขณะเดียวกันผู้คนก็จะเห็นแนวคิดหรือวิถีชีวิตที่มาจากคน Gen-Y เพิ่มขึ้นในโลกของธุรกิจอีกด้วย ด้วยแรงขับเคลื่อนจากสองสิ่งนี้ในสภาพแวดล้อมของการทำงาน บทบาทของการให้บริการด้วยตนเอง (Self-service) ที่เป็นการใช้งานผ่านเว็บไซต์จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ จากแนวคิดของ “จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย” หมายถึงค่าใช้จ่ายที่น้อยสำหรับการใช้บริการที่จะเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าผู้ใช้บริการ ที่ไม่มีความซับซ้อนต่อการใช้บริการ ง่ายต่อการให้บริการดูแลลูกค้า ซึ่งไอซีทีจะมีบทบาทที่สำคัญในเรื่องของบริการด้วยตนเองที่ “จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย” ที่ใช้แนวคิดลูกค้าเป็นตัวตั้ง

4. Analytics จะช่วยเร่งการติดตามพฤติกรรมการบริโภคในเอเชีย

การแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นในเอเชียในอีก 3-5 ปีข้างหน้า กำลังมุ่งเข้าตลาดในภูมิภาคนี้ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต จากเหตุผลในเรื่องของความสามารถในการพัฒนาวิธีการตัดสินใจและช่วยส่งเสริมให้รายได้เพิ่มขึ้นสูงขึ้น การวิเคราะห์ด้านธุรกิจถูกคาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ระยะกลางสำหรับบรรดาซีไอโอ ในปี 2554 เมื่อเทคโนโลยีนี้กำลังถูกมองว่าเป็นตัวช่วยให้องค์กรต่างๆ เพื่อความสามารถในการแข่งขันได้

5. iPad จะได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในเรื่อง Client Virtualization

ด้วยกระแสความนิยม iPad ในปี 2533 ส่งผลให้ซีไอโอของแต่ละองค์กรกำลังถูกเชิญชวนโดยผู้บริหารระดับสูงของ Apple เพื่อโน้มน้าวให้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลสามารถเชื่อมต่อเข้าไประบบไอทีขององค์กร และสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับได้ ทั้งที่ซีไอโอกำลังกังวลว่ามีโอกาสที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องความเสี่ยงต่างๆ

เพราะเหตุนี้โซลูชันทางเลือกที่เป็นไปได้ทางหนึ่งคือการใช้ Client Virtualization ด้วยการสร้างช่วงของการใช้งานที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระบบปฏิบัติการ อีกทั้งยังสามารถสร้างความมั่นใจให้กับซีไอโอว่าพวกเขาจะรู้ได้ว่าข้อมูลต่างๆ ขององค์กรนั้นมีความปลอดภัย เรื่องนี้เป็นไปได้ว่าจะใช้เวลาอีกหลายปีในการดำเนินการ แต่ไอดีซีคาดว่าการใช้งานอย่างแพร่หลายของ Client Virtualization จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

6. การให้บริการและการจัดตั้งสมาพันธ์จะเป็นตัวโน้มน้าวให้เกิดการใช้งาน Cloud ในระดับองค์กร

การเริ่มต้นของเทคโนโลยีและบริการ Private Cloud สำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2554 เนื่องจาก ความกังวลเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ความเสถียร และประสิทธิภาพของบริการ Public Cloud ไอดีซี คาดว่า ความสามารถในการผสานรวมแอปพลิเคชันหรือบริการจากคลาวด์กับแอปพลิเคชัน หรือบริการจากหน่วยงานไอทีขององค์กรหรือกับบริการจากผู้ให้บริการคลาวด์ อีกรายหนึ่งนั้นจะเป็นได้ทั้งแรงบวกหรือลบสำหรับการนำคลาวด์มาใช้ในองค์กร

ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทต่างๆ ในเอเชียจะใช้บริการคลาวด์ ที่จะเน้นไปที่โซลูชันที่ใช้งานตามความต้องการเฉพาะเรื่องมากกว่าที่จะใช้งานแบบ “ถอดทิ้งและแทนที่ใหม่” มันจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าแอปพลิเคชันที่ใช้งานในปัจจุบันกับแอปพลิเคชันของ คลาวด์จำเป็นจะต้องผนวกเข้าด้วยกัน ถ้าหากปราศจากการผสานรวมกันแล้ว มันจะเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ในเรื่องผลตอบแทนการลงทุน (ROI)

7. องค์กรธุรกิจที่ทันสมัยจะเริ่มทำแค๊ตตาล๊อกบนพื้นฐานเกี่ยวกับไอที (Catalog-Based IT)

จากการที่เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ได้กลับมาฟื้นตัวและธุรกิจต่างๆ ก็กำลังเติบโต ผู้ใช้งานจะเริ่มมีความต้องการใช้ทรัพยากรด้านไอทีมากขึ้น การจัดหาทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาให้ได้แบบปัจจุบันทันด่วนกำลังกลายเป็นความต้องการที่เหมือนจะเป็นข้อบังคับภายในองค์กร จะถูกคาดหวังให้สนับสนุนความต้องการใช้งานเฉพาะหน้าที่ ส่วนมากจะเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน หนทางเดียวที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้คือการติดตาม และการเตรียมพร้อมในเรื่องทรัพยากรด้านไอที ผ่านแคตตาล๊อกบนพื้นฐานไอที (catalog-based IT)

ไอดีซีคาดว่า มากกว่าร้อยละ 50 ขององค์กรธุรกิจสัญชาติเอเชียขนาดกลางถึงใหญ่ กำลังถูกสั่งให้สร้างแคตตาล๊อกบนพื้นฐานไอซีที ในปี 2554

8. Business-as-a-Service เป็นคำตอบสำหรับการผสานระหว่างไอทีกับธุรกิจเข้าด้วยกัน?

Business-as-a-Service เป็นการนำเสนอบริการที่เน้นไปในเรื่องของขั้นตอนดำเนินธุรกิจมากกว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที มันเป็นแนวโน้มที่แสดงถึงความสำคัญและผลกระทบที่ไม่ใช่แค่เรื่องไอทีเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงเรื่องการเอ้าซอร์สขั้นตอนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ดังนั้น Business-as-a-Service จึงถูกคาดหมายว่าจะเป็นสิ่งที่นำแสงแห่งความหวังในการจับคู่ระหว่างไอที และธุรกิจ ให้กลายเป็น “หนึ่งเดียวกัน” เพื่อแข่งขันได้อย่างมั่นใจในตลาดเอเชียแปซิฟิก ไอดีซีเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2554

9. ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะหันกลับมาตลาดไอที

Cloud ยังคงถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ เป็นหนึ่งในยุคของเทคโนโลยีซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมครองตลาดได้ เนื่องจากมันเป็นข้อได้เปรียบที่ติดมาจากการเป็นเจ้าของระบบโครงข่ายการติดต่อสื่อสาร ซึ่งสิ่งนี้เรื่องจำเป็นที่สำหรับการให้บริการ Cloud ทั้งหมด

ไอดีซี เชื่อว่าองค์กรส่วนใหญ่จะมุ่งพัฒนาไปสู่รูปแบบคลาวด์ที่เป็นลูกผสม โดยที่บริษัทหลายแห่งชอบที่จะปกป้องทรัพย์สินของตนเองโดยเฉพาะงานหรือแอพพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อองค์กรไว้ภายใน Private Cloud ที่ลงทุนเอง ไอดีซีเชื่อว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะไม่หันหลังให้กับโอกาสสำหรับโซลูชันไพรเวท คลาวด์ที่องค์กรต่างๆ จะลงทุนเอง ตลาดนี้คาดว่าจะมีมูลค่าราว 752 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2554 และคาดว่าจะสูงถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2557

10. ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมองหาเทคโนโลยี Cloud เพื่อใช้ในการดำเนินงาน

ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตกำลังเร่งนำเสนอบริการ Cloud ให้กับผู้ใช้งานที่เป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กรธุรกิจ แต่กลับมีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมย่อยที่เกิดใหม่และน่าจับตามอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการไอที โดยผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่ายกำลังจัดหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งจะทำหน้าที่ในการแปลงผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี หรือการให้บริการเหล่านี้ไปสู่การให้บริการคลาวด์ ที่ให้ผลตอบแทนกลับมาเป็นตัวเงินได้

รูปแบบการให้บริการคลาวด์ที่นำเสนอในลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบ “ผู้ให้บริการหนึ่งรายต่อลูกค้าหลายราย” ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่อยู่ในใจเสมอเมื่อกำลังพูดถึงบริการคลาวด์ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยทั่วไปแล้วมักลังเลเป็นอย่างมากที่จะแชร์เซิฟเวอร์เดียวกันกับคู่แข่งของเขา เพื่อขจัดปัญหาเช่นนั้น ผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่าย กำลังมองหาแนวทางในการนำเสนอบริการเหล่านี้ในลักษณะ Hosted Private Cloud ซึ่งจะมีการจัดสรรโครงสร้างพื้นฐานตามตรรกะตามผู้ให้บริการโทรคมนาคมแต่ละราย ด้วยทิศทางในอนาคตที่จะมุ่งไปสู่การมีโครงสร้างพื้นฐานของ cloud ที่เสมือนจะแยกกันอย่างชัดเจน จะทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั้งหลายจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นในเรื่องของแนวคิดการใช้งานร่วมกัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่ว่าอาชีพไหนก็ขาดแผนการเงินไม่ได้

"ธรรมสถิตย์ แจ่มศรี" ไม่ว่าอาชีพไหนก็ขาดแผนการเงินไม่ได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นเกษตรกร หรือผู้บริหารระดับสูง คุณควรจะวางแผนการเงิน นั่นจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตของคุณประสบความสำเร็จ
"ไม่ว่าใครจะอยู่ในสายอาชีพไหน การวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนทุกอาชีพที่ควรมีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้การใช้ชีวิตสอดรับกับสิ่งที่ควรจะเป็น ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเกษตรกร หรือผู้บริหารระดับสูง คุณควรจะวางแผนการเงิน นั่นจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตของคุณประสบความสำเร็จ บางคนที่ใช้ชีวิตผิดพลาดพอเราไปดูลึกๆ อ๋อเป็นเพราะเขาขาดตรงนี้นี่เอง" "ธรรมสถิตย์ แจ่มศรี" ผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ เกริ่นตั้งแต่เริ่มบทสนทนากับ Fundamentals

เขาว่าตั้งเรียนจบและพอเริ่มทำงานก็ลงมือวางแผนการเงินเลย และพยายามบริหารจัดการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตของเราในช่วงเวลานั้นๆ เพราะคนเราแต่ละช่วงชีวิตไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องบริหารจัดการให้สอดรับกับเป้าหมายและเงื่อนไขในช่วงนั้น

แต่แผนการเงินทุกวันนี้ของธรรมสถิตย์ เขาแบ่งเอาไว้ลงทุน และใช้จ่ายอย่างชัดเจน แต่ทั้ง 2 หมวดเน้นไปที่ "เอิร์นนิ่ง แอสเซ็ท" กับ "อันเอิร์น แอสเซ็ท" และโดยภาพรวมเป็นการลงทุนให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

"เอิร์นนิ่ง แอสเซ็ท ว่าแต่ละอาชีพไม่เหมือนกัน เช่นคนที่เป็นดารา เขาต้องใช้เรื่องความงาม เครื่องสำอาง ผิวพรรณ เสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อประกอบอาชีพ นั่นจึงถือว่าเป็นการลงทุนของเขา แต่หากเป็นอาชีพอื่นไปลงทุนแบบนี้อาจจะเป็นอันเอิร์น แอสเซ็ท เพราะฉะนั้นต้องมาดูว่าการที่ตัวเองอยู่ในแต่ละอาชีพ เอิร์นนิ่ง แอสเซ็ท ของตัวเองคืออะไร จะได้วางแผนการลงทุนให้เหมาะสม ถ้าชัดเจนกับแนวคิดนี้ จะประสบความสำเร็จ อย่างผมอยู่ในหมวดลูกจ้างมืออาชีพ เราก็ต้องดูว่าอะไรที่จะส่งเสริมให้มีศักยภาพมากขึ้นในการทำงาน"

ธรรมสถิตย์ขยายความการลงทุนของเขาเอง ว่าเลือกลงทุนตามไลฟ์สไตล์ อย่างกองทุนประหยัดภาษีถือว่าเป็นลงทุนขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะรีเทิร์นสูงสุด นอกจากได้ภาษีแล้วยังได้แคปปิตอลเกนด้วย รวมแล้วบางปีได้ถึง 40-50% จึงถือว่าดีที่สุดแล้วในแง่ผลตอบแทน นอกจากนี้ก็ยังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยการซื้อคอนโดมิเนียมด้วย

"การลงทุนในคอนโดแนวคิดของผม ถ้ามองให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนทำงานในเมืองกรุง ผมถือว่าเป็นเอิร์นนิ่ง แอสเซ็ทของผม เพราะทำให้เรามีเวลาคิดงาน ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง แต่ถ้าเป็นอาชีพอื่นที่เขาไม่ต้องคำนึงถึงการเดินทาง คอนโดฯอาจจะไม่เหมาะก็ได้ แต่ผมมองว่าคอนโดฯเป็นการลงทุนที่ไม่เน่าไม่เสีย "

เขาบอกว่าชีวิตที่ยุ่งกับหน้าที่การงาน ทำให้ต้องลงทุนที่เหมาะสม เช่นถ้าจะลงทุนหุ้นก็ต้องใช้เวลา ก็เลยหันไปยุ่งกับพวกของเก่าและศิลปวัตถุโบราณดีกว่า เพราะผลตอบแทนค่อนข้างดี แต่ปัญหาคือต้องดูเป็นและซื้อจากคนที่ไว้ใจได้

" ผมเริ่มลงทุนไม่นานมานี้เอง ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เพราะมั่นใจได้ว่าของที่นี่มีผู้รู้คอยแนะนำ ของพวกนี้เราสามารถใช้จินตนาการผ่านโบราณวัตถุย้อนกลับไปในอดีตได้ ว่ายุคนั้นเขาเป็นอย่างไร ใช้แจกันแบบไหน เป็นการลงทุนที่ให้ความสุขทางใจไปด้วย อนาคตเป็นสมบัติที่ขายต่อและทำกำไรได้ ที่นี่มีจัดประมูลตลอด ถ้าเป็นมือสมัครเล่นให้มาที่นี่ ราคาไม่แพงและเป็นของแท้แน่นอน ส่วนในแง่ของการใช้เงินลงทุนในเอิร์นนิ่ง แอสเซ็ท ผมครอบคลุมถึงการมองหาอาหารดีๆ เที่ยวในสถานที่สวยงาม นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้เงินอย่างเหมาะสม เพราะเวลาทำงานเครียดๆ การไปรีแลกซ์กับครอบครัว เที่ยวต่างประเทศบ้างถือว่าเป็นการเปิดมุมมองเปิดโลกทัศน์ บางครั้งผมคิดอะไรดีๆ ออกในสถานที่ปลอดโปร่ง เวลาทอดสายตาไปยาวๆ ปัญหาอุปสรรคหายไปเลย บางครั้งใช้ชีวิตแบบนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผม "

อีกอย่างหนึ่งคือการลงทุนในหมวดของการศึกษา ธรรมสถิตย์ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเขาถือว่าลูกน้องทุกคนคือแอสเซ็ทที่ต้องลงทุนทางสินทรัพย์ทางปัญญาให้เขาด้วย จึงส่งพนักงานไปเทคคอร์สเทรนนิ่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะเยอะ แต่เป็นการลงทุนที่เอิร์นนิ่ง แอสเซ็ท คุ้มค่าในระยะยาว เพราะเวลาพนักงานไปเห็นอะไรที่ดีเราถือว่านำมาพัฒนาบริการของเราได้

"เราต้องใช้เงินเพื่อส่งเสริมหรือเพิ่มคุณค่า บางคนเป็นนักบัญชีก็ลงทุนด้วยการต่อยอดเรียนเรื่องภาษีอากร ทำให้คุณค่ามีมากขึ้น อันนี้เป็นส่วนสำคัญของการใช้จ่าย ที่ต้องตอบโจทย์ของแต่ละคน จะได้เสียเงินไปอย่างคุ้มค่า"

ด้วยการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบทำให้ธรรมสถิตย์ ไม่ค่อยมีเรื่องผิดพลาดทางการเงินซักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเขามีแบ็คกราวนด์เรื่องการเงิน ทำให้แผนของเขามักจะเผื่อเรื่องความเสี่ยงเอาไว้ด้วย ทุกครั้งที่ตัดสินใจลงทุนหรือทำอะไร จะมีแพลน A และ B เผื่อไว้ด้วย และพร้อมรับสถานการณ์ตลอด เขาเล่าว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 สอนว่าบางครั้งทำอะไรตึงเกินไปก็ไม่ดี ทำอะไรไม่พอดี ก็ทุกข์ แต่ถ้าพอดี มีแพลน B รองรับก็ช่วยให้หนักเป็นเบา อยู่อะไรกับที่จับต้องได้ดีกว่า นั่นเป็นแนวทางที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

แต่บางครั้ง คอนเซอร์เวย์ทีฟมากเกินไปก็เสียโอกาส เขาเล่าว่าตอนหนุ่มๆ จะกล้าได้กล้าเสียมากกว่านี้ เรียกว่าลงทุนไม่ยั้ง แต่พออายุ 40 กว่า เห็นโลกเยอะขึ้น ก็ต้องยั้งมือหน่อย แต่สิริรวมแล้วทุกวันนี้ จะลงทุนก็ไม่ลืมกระจายความเสี่ยง บางคนลงหุ้นหมด บางคนลงคอนโดฯหมด ไม่บาลานซ์ พอวิกฤติก็ลำบาก เวลาจะลงทุนก็ควรกระจายหลายช่องทางจะได้กระจายความเสี่ยงไปในตัว

"แต่ที่เสี่ยงที่สุดตั้งแต่ทำงานมาคือวิกฤติปี 40 ผมอยู่ใน 56 ไฟแนนซ์ที่ถูกสั่งปิดในช่วงนั้น ซึ่งเป็นวิกฤติที่ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง ผมมั่นใจมาตลอดตั้งแต่เรียนจบว่าการหางานไม่ใช่ปัญหาของผม เดินเข้าที่ไหนก็ทำงานได้หมด แต่วิกฤติทำให้ผมคิดว่าไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้ ตอนนั้นลูกเพิ่งคลอด บ้านเพิ่งผ่อน ชีวิตหักเหมาก อย่างที่เราไม่คาดฝันมาก่อน จากไฟแนนซ์ผมต้องไปอยู่ในหน่วยของซิเคียวริตี้ดูแลเรื่อง รปภ. ทำอยู่ 2 ปี ผมทำทุกอย่าง ประตูปิดหมด แบงก์และไฟแนนซ์ไม่รับ แต่ผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้ ก็ทำได้ทุกอย่าง จากนั้นก็ไปทำที่อิตัลไทย ผมเข้าไปตอนอิตัลไทยปรับโครงสร้างหนี้ ผมคิดว่าอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ มันท้าทายผม เราเข้าไปช่วงหนี้สินล้นพ้นตัว ถ้าเรากล้าทำ และทำสำเร็จ ก็ถือว่าท้าทายดี จากนั้นถึงจะมาอยู่ที่ริเวอร์ซิตี้ เข้ามาก็เจอวิกฤติเศรษฐกิจย่ำแย่ นักท่องเที่ยวน้อย เรียกว่าผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้ "

และในบทบาทของการเป็นคุณพ่อ ธรรมสถิตย์ไม่ลืมวางแผนเพื่ออนาคตของลูกสาวด้วย เขาเล่าว่าวางแผนการเงินตั้งแต่ก่อนมีลูก พอเกิดมาแล้วก็วางแผนชัดเจนขึ้นอีก การลงทุนเรื่องการศึกษาของลูกถือว่าเป็นการลงทุนที่ดี และที่ขาดเสียไม่ได้คือการบ่มเพาะ เรื่องการใช้เงินตั้งแต่เด็ก อะไรที่อยากได้จะให้เขาคิดก่อน สิ่งที่ปลูกฝังคือเงินของคนอื่นคือเศษกระดาษ ให้เขาชัดเจนกับตัวเองว่าอะไรคือเงินของเขา อะไรไม่ใช่เงินของเขา เงินอันไหนมีค่าสำหรับเรา อันไหนไม่มีค่า

"ผมเปิดโอกาสให้เขาทำทุกอย่าง สักพักเขาจะเลือกเอง ว่าเขาจะออกไปแนวไหน อย่างลูกผมออกไปทางดนตรี อาร์ท ส่วนประกันชีวิตผมทำให้เขาอยู่แล้ว หรือพวกคอนโดฯก็ลงทุนเพื่อเขา แต่สำคัญที่สุดการลงทุนทางการศึกษาเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ใช่ลง 1 ได้ 2 แต่มันอันลิมิต แต่เด็กพอโตขึ้น ดีมานด์มีเยอะแยะเลย แต่ผมใช้วิธีวางกรอบมีลิมิต ใน 1 เดือนมี 5 พันบาทใช้ให้ได้ ให้เขาเป็นบัดเจ็ทไว้ แล้วให้เขาบริหารเอง ผมจะไม่ยุ่งกับเขา เขาจะไปฝากแบงก์และดูแลบัญชีด้วยตัวเอง ค่าโทรจ่ายเอง ถ้าไม่ลิมิตก็จะไปเรื่อย วิธีนี้สอนให้เด็กมีทักษะในการบริหารเงิน "

ทุกวันนี้ ธรรมสถิตย์ยึดหลักว่า ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำวันนี้ ประวัติก็จะดี ตั้งใจทำงาน เมื่อเรามองย้อนกลับมา เราก็ไม่เสียใจกับมัน เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว
ที่มา money.impaqmsn

ลงทุนตราสารหนี้...เพราะไม่ถูกโฉลกกับหุ้น


“อริยา ติรณะประกิจ” ลงทุนตราสารหนี้...เพราะไม่ถูกโฉลกกับหุ้น
ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าไปอ่อนไหวกับความผันผวนในระหว่างทางที่ลงทุน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแมงเม่าตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

"ไม่มีคำว่าสายเกินไป สำหรับการเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ถูกต้อง” คำกล่าวนี้คงไม่ต่างอะไรกับเส้นทางสายการลงทุนของ “อริยา ติรณะประกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ที่หลังจากมั่นใจว่า “หุ้น” ไม่น่าจะใช่การลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง เธอก็ขยับมาหา “ตราสารหนี้” ที่ใช่ พร้อมปรับเปลี่ยนสไตล์การลงทุนในหุ้นที่เหลืออยู่ ให้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองไปด้วยในตัว

อริยา บอกว่า ปกติเป็นคนอนุรักษนิยมไม่ค่อยชอบความเสี่ยงเท่าไรนักบุคลิกค่อนข้างจะเหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า ซึ่งปัจจุบันพอร์ต การลงทุนประมาณ 70 - 75% ก็จะลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก โดยมีหุ้นประมาณ 20% และทองคำอีกประมาณ 5 - 10% แต่ถ้าย้อนไปช่วงที่อายุน้อยๆ ช่วงที่เริ่มต้นทำงาน ก็จะมีการลงทุนในหุ้นมากหน่อยประมาณ 50% แต่ช่วงนั้นเงินลงทุนก็น้อยด้วยเช่นกัน โดยคาดหวังกำไรจากหุ้นสมัยที่ใครๆ ก็เล่นหุ้นกัน จนมาเจอวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 ทุกคนเจ็บตัวหมด รู้สึกเหมือนดวงตัวเองไม่ค่อยถูกกับหุ้น เวลาซื้อหุ้นตัวไหนก็มักจะลง เวลาขายหุ้นตัวไหนก็มักจะขึ้น

ในอดีตก็เคยมีประสบการณ์กับหุ้นมีข่าวเช่นกัน เคยเล่นหุ้นตามข่าว ผลปรากฏว่าขาดทุนมากกว่ากำไรเรียกว่าเหนื่อยฟรี หากจะลงทุนตามข่าว เพราะขาดทุนมากกว่ากำไร เพราะการจับจังหวะตลาด (Market Timing) ก็ไม่ดี แล้วตัดสินใจในบางครั้งก็ตามอารมณ์ตลาดมากไปหน่อย ทำให้ผลตอบแทนโดยภาพรวมเมื่อคำนวณออกมาไม่ค่อยดีนัก คิดว่าตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ลงทุนในหุ้นแล้วลงทุนในตราสารหนี้ยังได้ผลตอบแทนมากกว่าอีก จึงเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นเท่าไรนัก

เดิมเคยคิดว่าจะเซ็ทกำไรไว้ทุก 15% จะขาย แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้ อาจเพราะตัวเองไม่มีวินัยพอก็ได้ เวลาเห็นราคาหุ้นขึ้นก็อยากจะได้อีกเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน แล้วนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะสุดท้ายก็โลภมากอยากจะได้เพิ่มเรื่อยๆ ก็ปล่อยต่อไปเรื่อยๆ เลยใช้ไม่ได้ผล สุดท้ายจึงเปลี่ยนสไตล์การลงทุนโดยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงมาจนเหลือประมาณ 20% ในนี้รวมกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) อยู่ด้วย

“แม้ปัจจุบันจะพยายามมองภาพการลงทุนระยะยาวมากขึ้น ในระหว่างทางราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ปล่อยไปถือว่าลงทุนเอาปันผลในระยะยาว แต่ต้องยอมรับว่าเวลาเจอหุ้นตกหนักๆ เราก็อดตื่นตระหนก (Panic) ไม่ได้อยู่ดี อย่างวิกฤติการเงินครั้งล่าสุด เวลาที่เจอหุ้นลงเยอะๆ เราก็ขายลดความเสี่ยงไปด้วยส่วนหนึ่งซึ่งแน่นอนก็ทำให้ขาดทุนไปพอสมควร ในกองทุนหุ้นที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) เองก็ตัดใจขาย ขอขาดทุน 50% ดีกว่าไม่เหลืออะไร และจนปัจจุบันก็ยังไม่กลับไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศอีกเลย”

อริยา ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันตราสารหนี้ที่ลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนผ่านกองทุนรวมโดยมีทั้งอายุสั้น-กลาง-ยาวผสมกันไป ประมาณ 60% เป็นพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็มีหุ้นกู้ผสมเข้าไปด้วยเพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน และมีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศด้วยประมาณ 25% เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น

โดยเป้าหมายของการลงทุนในตอนนี้เป็นไปเพื่อดูแลเรื่องความเจ็บป่วยของตัวเองเป็นหลัก ในช่วงที่อายุยังน้อยเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อประกันคิดว่าตัวเองไปลงทุนเองน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่า แต่ตอนหลังๆ คิดว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะตอนอายุน้อยๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเจ็บป่วย แต่พออายุเริ่มมากขึ้นความเจ็บป่วยก็เริ่มมาหา โรคบางอย่างปัจจุบันก็ซื้อประกันไม่ทันแล้ว เพราะเขาไม่รับทำ โดยทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ก็มีประกันสุขภาพให้พนักงานเช่นกัน แต่เราก็ต้องมองหาประกันสุขภาพส่วนตัวเพิ่มเติมด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลปัจจุบันค่อนข้างแพงและนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลงทุนในตราสารหนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่า

ผลตอบแทนจะน้อยก็จริงแต่ได้แน่ๆ ไม่ต้องลุ้น เวลาที่เราเจ็บป่วยต้องการใช้เงินก็สามารถที่จะหมุนออกมาได้ทันที

“สำหรับคนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามการลงทุน คิดว่าการให้มืออาชีพบริหารก็มีข้อดี แต่ว่าเราเองก็ต้องทำใจยอมรับด้วยเหมือนกันว่า ผลตอบแทนของมืออาชีพมักจะเป็นไปตามภาวะตลาดเช่นเดียวกัน คือเมื่อตลาดลงก็ลงด้วย เมื่อตลาดขึ้นก็ขึ้นด้วย จึงแบ่งเงินประมาณ 50% ลงทุนเองแล้วอีก 50% ให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารให้แทน โดยจะมีการรีวิวการลงทุนของตัวเองปีละครั้ง จะมองภาพการลงทุนที่ยาวขึ้น ว่า จะซื้อหรือขายในเทอมของปีแล้ว ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าไปอ่อนไหวกับความผันผวนในระหว่างทางที่ลงทุน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแมงเม่าตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”

ส่วนตัวอริยาเองเลือกลงทุนใน บลจ. โดยดูจากจริยธรรมความน่าเชื่อถือของตัวผู้บริหาร ประกอบกับผลการดำเนินงานในอดีตด้วย เรียกว่าขอความสบายใจในการลงทุนจากจุดนี้ด้วยเช่นกัน
ที่มา http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=23572&ch=244

ทำไมต้องทำ "ประกันบำนาญ"

ทำไมต้องทำ "ประกันบำนาญ"
ทำไมถึงต้องเลือกทำประกัน และทำไมต้องเป็นประกันแบบบำนาญ รวมถึงใครล่ะ ที่จะได้รับผลประโยชน์จากประกันบำนาญ หาคำตอบได้ใน รายงานของ Fundamentals ฉบับนี้

ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้บริษัทประกันชีวิต สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญมาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ถึง 200,000 บาท จากเดิมที่กำหนดเอาไว้ 100,000 บาท นั้น ส่งผลให้ผู้ที่ซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำเบี้ยประกันมาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท แต่เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กบข. หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมาย และ RMF แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เรื่องนี้แม้เป็นเรื่องใหม่ ที่บุคคลทั่วไปกำลังสนใจ โดยเฉพาะบริษัทประกันชีวิต ส่วนใหญ่ต่างก็รีบออกผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อเสนอขายให้ทันภายในปี 2553 เพื่อให้ประชาชนที่ซื้อสามารถนำไปใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะต้องยื่นแบบการเสียภาษี ในปี 2554 เพื่อให้ทุกคนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำประกันแบบบำนาญ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าทิศทางประชากรของไทย กำลังไปทางไหน

Oทำไมการเพิ่มขึ้นของคนสูงอายุจึงน่าสนใจ

การมีจำนวนและสัดส่วนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายถึงว่าประเทศมีระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นในการเตรียมรองรับการดูแลผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นให้มี คุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ ยังมีผลกระทบต่อภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารประเทศ เพราะเมื่อโครงสร้างประชากร เริ่มขยับไปสู่การมีประชากรสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ สัดส่วนของประชากรวัยทำงาน ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ ก็จะลดน้อยลง

ในปี 2533 มีประชากรวัยแรงงาน 10 คน ทำหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน คาดว่าในปี 2563 ภาระของประชากรวัยแรงงาน ในการดูแลผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะประชากรวัยแรงงาน ประมาณ 4 คน จะต้องรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุอย่างน้อย 1 คน

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นนัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการลดลงของรายได้เฉลี่ยประชากร การออม การลงทุน รวมถึงรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ด้านการประกันสังคม สุขภาพอนามัย และสวัสดิการผู้สูงอายุ นอกจากนี้ในด้านสังคม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในลักษณะนี้ ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของครอบครัว ซึ่งมีนัยว่า จะมีสมาชิกของครอบครัว ที่จะทำหน้าที่ในการให้การดูแลผู้สูงอายุน้อยลง

Oสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญยามเกษียณ

เมื่อเข็มนาฬิกาชีวิตเดินทางมาหยุดที่ตัวเลข 60 เป็นสัญญาณเตือนให้ได้รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เดินทางมาถึงแล้ว อาจมีหลายท่านที่ยิ้มรับกับช่วงเวลาดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่จะได้มีความสุข เนื่องจากจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น หลังจากได้ทำงานหนักมาค่อนชีวิต รวมทั้งยังจะมีเวลามากพอที่จะท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่อยากจะไป หรือ ทำในสิ่งที่อยากจะทำ มีเวลาอยู่กับลูกหลานมากขึ้น แต่หลายท่านอาจจะลืมคิดไปว่าการเกษียณอายุนั้น นอกจากจะมาพร้อมกับการมีเวลาว่างมากขึ้น และไม่ต้องทำงานแล้ว นั้น ยังมีบางสิ่งที่ตามมาพร้อมกับการเกษียณอายุ คือ

1. การสูญเสียรายได้หลัก เมื่อเกษียณอายุแล้ว ก็หมายความว่าไม่มีงานทำ และเมื่อไม่มีงานทำก็ไม่มีรายได้หลักเหมือนเช่นแต่ก่อน ซึ่งจะสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย ค่าเดินทาง เป็นต้น ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายประจำและต่อเนื่องไปจนสิ้นอายุขัย

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเกษียณอายุแล้ว ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ ค่าใช้จ่ายเดินทางท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายในการบริจาค และอื่นๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ทุกคนยังต้องเผชิญเมื่อเกษียณอายุ

2. โรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อมกับการชราภาพ เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ สิ่งที่ตามมาก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าโรคที่จะมาพร้อมกับการเกษียณอายุสูงสุด 5 อันดับแรก คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด , โรคต่อมไร้ท่อ , โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ , โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคระบบทางเดินหายใจ ตามลำดับ หากพิจารณาถึงวิธีการดูแลและรักษาโรคดังกล่าวแล้ว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าจะต้องใช้เงินเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง และเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณอายุ โอกาสที่จะต้องเผชิญกับโรคดังกล่าวก็จะมีเพิ่มตามไปด้วย

3. อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อถือว่าเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับวัยเกษียณเพราะทำให้ทรัพย์สินของผู้สูงอายุมีมูลค่าลดลงและมาตรฐานการครองชีพลดต่ำลง แม้ว่าจะไม่มีใครคิดว่าประเทศไทยจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศอาร์เจนตินา เมื่อช่วงยุคปี 1980 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อสูงมากจนทำลายสังคมทั้งระบบ ความเป็นไปได้ที่รายได้จากเงินบำนาญ 120,000 บาทต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีค่าเพียงแค่ 82,000 บาทก็ได้ บนพื้นฐานที่สมมติฐานว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.5% หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 4.5% รายได้ที่ได้รับจากบำนาญก็จะมีค่าแค่ 74,000 บาท เท่านั้น และหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 5.5% รายได้ที่ได้รับจากบำนาญก็จะมีค่าแค่ 66,000 บาท เท่านั้น ถือว่ามีมูลค่าแค่ครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อก็ยิ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณยากลำบากมากขึ้นอีกเท่าตัว หากมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาเงินออม จึงเป็นคำถามว่าผู้สูงอายุ หรือ เราๆ ท่านๆ จะมีการรับมืออย่างไรในภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดิน สิ่งที่เราๆ ท่านๆ ทำได้ คือ การคำนวณดูว่า ท่านต้องการเงินเป็นจำนวนเท่าใดสำหรับวัยเกษียณ โดยรักษามาตรฐานการครองชีพที่ดีของท่านเช่นในปัจจุบัน

ปัจจุบันมีการพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ก้าวล้ำอย่างมาก ทำให้คนที่มีอายุเข้าสู่วัย 60 ปี นั้น อาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ถึง 19 ปี สำหรับผู้ชายไทย และอีก 21.5 ปี สำหรับผู้หญิงไทย นั่นหมายความว่าผู้ชายไทยจะมีอายุขัยมากถึง 79 ปี และ 81.5 ปี สำหรับหญิงไทย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน สำหรับการใช้ชีวิตในช่วงหลังวัยเกษียณของแต่ละคน ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะยิ่งมีอายุยืนยาวขึ้นเท่าไร ยิ่งต้องการเงินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มองเรื่องการออมเพื่อการเกษียณยังเป็นเรื่องที่รองลงมา ทำให้หลายครัวเรือนจึงประสบปัญหามีเงินออมที่ไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ ทำให้ต้องกลับไปทำงานเพื่อให้ได้รายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ สาเหตุหลักนั้นก็มาจากการประเมินค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณที่ต่ำเกินไป และขาดการวางแผนการเงินให้ได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพเมื่อเข้าสู่ วัยสูงอายุ ส่งผลให้มีการออมเพื่อการเกษียณที่ช้า

ดังนั้น ถ้าใครยังไม่ได้เริ่มออมเงินเพื่อการเกษียณ ก็ควรที่จะเริ่มออมตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการออมเงินเพื่อการเกษียณนั้นจะต้องใช้เวลาในการออมอย่างน้อย 15 ปี เพื่อให้เงินออมได้มีเวลาสำหรับการสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นอย่างมีนัยสำคัญ การออมเป็นเรื่องของระยะเวลา ยิ่งออมนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งสบายตอนแก่มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจึงควรเริ่มออมเงินเพื่อการเกษียณตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ความจริงในปัจจุบัน คนทั่วไปมีช่วงอายุทำงานอยู่ระหว่าง 25-55 ปี ดังนั้นจึงมีระยะเวลาในการหารายได้ และเก็บเงินออม 30 ปี หากออมเงินเดือนละ 5,000 บาท และได้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% ต่อปี ก็จะมีเงินออม อยู่ที่ประมาณ 4,161,293 บาท ในขณะที่มีช่วงอายุหลังเกษียณ ซึ่งไม่มีรายได้ แต่ต้องใช้เงินออม จะเริ่มตั้งแต่อายุ 55-85 ปี มีระยะเวลาหลังเกษียณ 30 ปี มีเงินที่ใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณอยู่ที่ 11,599 บาท

Oรีวิวกฎเกณฑ์ประกันบำนาญ

"จันทรา บูรณฤกษ์" เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) ให้ทัศนะว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการออมในรูปแบบการประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยอนุมัติวงเงินหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เพิ่มจากวงเงินเดิมสำหรับค่าเบี้ยประกันชีวิต 100,000 บาท เป็น 300,000 บาท

ทั้งนี้วงเงินส่วนที่เพิ่มขึ้น 200,000 บาท นั้น ต้องเป็นเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น และต้อง ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินได้ที่จ่ายเข้ากองทุนอื่นๆ ประเภทเดียวกันเช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ตาม กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตาม กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

จากนี้ไป คปภ . จะเร่งประสานกับภาคธุรกิจในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจรูปแบบของการประกันชีวิตแบบบำนาญที่จะสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมดังกล่าวได้ ว่าต้องมีหลักเกณฑ์ เช่น

1. ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาเอาประกันภัย 10 ปีขึ้นไป

2. การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญ จะจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัย ตั้งแต่อายุ 55 ปี ขึ้นไป และจ่ายต่อเนื่องไปจนผู้เอาประกันภัยอายุเกิน 85 ปี

3. เป็นกรมธรรม์ที่ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์อื่นใด ก่อนที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญที่อายุ ครบ 55 ปี ยกเว้นผลประโยชน์กรณีการเสียชีวิต หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186

"สุทธิ รจิตรังสรรค์" นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ได้แสดงความคิดเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่รัฐบาลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ช่วยผลักดันมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการออมในรูปแบบการประกันชีวิตแบบบำนาญ นอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้มีเงินได้ทำประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อสะสมเงินออมไว้ใช้หลังเกษียณอายุอันจะเป็นการช่วยสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับชีวิตในบั้นปลาย และเพื่อเพิ่มทางเลือกในการออมทำให้การออมของประเทศในระยะยาวเพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาสังคมที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ และลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุในอนาคตได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้นับเป็นนโยบายของภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมการออมของธุรกิจประกันชีวิตอย่างแท้จริง โดยจะเป็นแรงจูงใจที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนสนใจและหันมาทำประกันชีวิตแบบบำนาญมากขึ้น ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนได้มีการวางแผนความมั่นคงให้กับชีวิตในยามชราภาพโดยไม่สร้างภาระให้กับครอบครัว สังคมและประเทศชาติ

เมื่อการออมของประชาชนเพิ่มขึ้น ระดับเงินออมภายในประเทศก็สูงขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจมีความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และในภาคของผู้ประกอบการก็จะคิดค้นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพื่อนำเสนอให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ทุกอาชีพ เพื่อเป็นการร่วมกันสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนต่อไป

Oใครเหมาะสมจะทำประกันบำนาญ

กลุ่มคนที่เหมาะสมต่อการทำประกันชีวิตแบบคือกลุ่มคนที่มีอายุ ระหว่าง 30-55 ปี โดยไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น บุคคลที่ไม่มีเงินเดือน ก็สามารถทำได้ ทั้งอาชีพ ค้าขายทั่วไป เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ รับจ้างทั่วไป อาชีพอิสระ กลุ่มบุคคลที่ยังไม่มีประกันชีวิตมาก่อน หรือ กลุ่มคนที่มีประกันชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีแบบบำนาญลดหย่อนภาษี หรือ แม้กระทั่งผู้ที่ลงทุนผ่าน RMF แต่ยังลงทุนไม่ถึง 500,000 บาท หรือ กลุ่มคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงในการลงทุน และต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน หรือ กลุ่มคนที่ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลาน หรือ แม้กระทั่งคนโสด

จากการสำรวจประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่มีการเสนอขายในปัจจุบัน คือ เมืองไทยประกันชีวิต , เอไอเอ , ไอเอ็นจี และธนาคารทหารไทย ที่ผ่านมาการอนุมัติแบบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีลักษณะที่คล้ายๆ กัน คือ เป็นแบบประกันที่รับประกันตั้งแต่อายุ 30-55 ปี มีการรับรองการจ่ายเงินเป็นจำนวนเดียวเท่ากันทุกปี เริ่มตั้งแต่ ปีที่ผู้เอาประกันอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี แล้วแต่แบบประกันที่ลูกค้าเลือกซื้อ โดยจะมีการจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้เอาประกันภัยประมาณ 12% ของทุนประกันภัย

ตัวอย่างแบบประกันบำนาญของ เมืองไทยประกันชีวิต แบบ 8555 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) รับประกันตั้งแต่อายุ 30-50 ปี ทุนประกัน 1 ล้านบาท สามารถส่งเบี้ยประกันแบบรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือนและรายปี ส่วนเบี้ยประกันนั้นขึ้นอยู่กับอายุ และเพศ ซึ่งไม่เท่ากัน ผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้น เมื่อผู้เอาประกันมีอายุครบ 55 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญปีละ 12% ของทุนประกันที่ 1 ล้านบาท นั่นหมายความว่า ผู้เอาประกันจะได้รับเงินบำนาญปีละ 120,000 บาท ไปจนถึงอายุ 85 ปี

คำถามที่ตามมา คือ กรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนรับเงินบำนาญละ จะทำอย่างไร ตัวอย่างนี้ก็มีให้เห็นเช่นกัน คือ สมมติว่าผู้เอาประกันได้ส่งเบี้ยประกันมาเป็นเวลา 7 ปี แล้วเสียชีวิต ในกรณีนี้ผู้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือ มูลค่าเวนคืนในขณะนั้น แล้วแต่จำนวนใดมีค่าสูงกว่า

ในทำนองเดียวกันกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหลังรับบำนาญไปแล้ว เช่น รับบำนาญไปแล้ว 5 ปี ทายาท หรือ ผู้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับผลประโยชน์เท่ากับมูลค่าปัจจุบันของเงินบำนาญที่ยังไม่ได้รับอีก 5 งวด หรือ 5 ปี เพราะตามเกณฑ์ระบุเอาไว้ว่า มีการการันตีรับบำนาญ 10 ปี

คำถามเกี่ยวกับสิทธิเรื่องภาษีและแบบประกันบำนาญที่ลดหย่อนภาษีได้ ยังเป็นเรื่องที่ทุกคนสงสัยอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นใครก็ตามที่จะซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ นั้นให้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า ต้องเป็นแบบประกันที่ออกหลังจากที่ ครม.อนุมัติเท่านั้น และต้องระบุว่าเป็น "บำนาญแบบลดหย่อนได้" หรือหากสงสัยให้ติดต่อกับตัวแทนฝ่ายขาย หรือเจ้าหน้าที่ของแต่ละบริษัท เท่านี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว

Oสำหรับคนที่ไม่เคยมีประกันชีวิตเลย

สำหรับบุคคลที่ไม่เคยมีประกันชีวิตเลย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ดังนั้น คือ

1.เบี้ยประกันชีวิต 100,000 บาทแรก สามารถลดหย่อนได้เต็มจำนวนตามหลักเกณฑ์เดิม

2.เบี้ยประกันชีวิตที่เหลือ 200,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ในวงเงินไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน

ตัวอย่างที่ 1

นาย A มีรายได้พึงประเมิน 1 ล้านบาท 15% เท่ากับ 150,000 บาท สามารถหักลดหย่อนภาษีบำนาญใหม่ได้ 150,000 บาท รวมกับหักลดหย่อนภาษีเดิมอีก 100,000 บาท เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด 250,000 บาท

ตัวอย่างที่ 2

นาย B มีรายได้พึงประเมิน 2 ล้านบาท 15% เท่ากับ 300,000 บาท สามารถหักลดหย่อนภาษีบำนาญใหม่ได้ 200,000 บาท รวมหักลดหย่อนภาษีได้ 300,000 บาท

Oสำหรับบุคคลที่มีประกันชีวิตอยู่แล้ว

บุคคลที่มีประกันชีวิตทุกแบบเดิมที่ลดหย่อนภาษีได้ หากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมไว้ สมมุติว่า 50,000 บาท เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ดังนี้ คือสามารถหักลดหย่อนภาษีในเงื่อนไขเดิมได้ 100,000 บาทแรกได้ 50,000 บาทอยู่แล้ว ส่วนเบี้ยประกันชีวิตที่เหลืออีก 250,000 บาท นั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ดังนี้

สมมุติว่า นาย A มีรายได้พึงประเมิน 1 ล้านบาท 15% ของรายได้ก็เท่ากับ 150,000 บาท เพราะฉะนั้นสามารถหักลดหย่อนภาษีแบบบำนาญใหม่ได้ 150,000 บาท บวกกับ 50,000 บาทเดิม เพราะฉะนั้นสามารถลดหย่อนภาษีได้ 200,000 บาท

สมมติว่า นาย B มีรายได้พึงประเมิน 2 ล้านบาท 15% ของรายได้ก็เท่ากับ 300,000 บาท เกณฑ์ใหม่ระบุว่า สามารถลดหย่อนภาษีได้ 200,000 บาท เพราะฉะนั้น เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตเดิมที่มีอยู่ 50,000 บาท ก็หมายความว่า นาย B สามารถลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด 250,000 บาท

ทั้งหมดนี้ คือ รายละเอียดของการทำประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่หลายคนที่ใส่ใจการประหยัดภาษี ไม่ควรพลาด
ที่มา money.impaqmsn

คลังบทความของบล็อก