"ไตรรงค์" แนะธุรกิจเปลี่ยนเครื่องจักรช่วงบาทแข็ง จับตาระดับ 28 บาท/ดอลลาร์

"ไตรรงค์" แนะผู้ประกอบการเปลี่ยนเครื่องจักรช่วงบาทแข็ง มั่นใจค่าเงินบาทไม่หลุด 28 บาทต่อดอลลาร์ แต่ห่วงปัญหา ศก.ไอร์แลนด์ และการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ด้านนายแบงก์คาด ปลายปี 54 ค่าเงินบาทแตะ 28 บาทต่อดอลลาร์

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ นโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตไทยก้าวไกลไปกับอาฟตา โดยเชื่อว่า ค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าทะลุ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะอยู่ระดับ 29 บาทเศษ โดยสิ่งที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษคือ ปัญหาเศรษฐกิจของไอร์แลนด์ และการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่

ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ล่าสุดมีแนวคิดลงทุนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ-ระยอง และโครงการความร่วมมือไทย-จีน สร้างเส้นทางรถไฟความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และรางขนาด 1.4 เมตร เชื่อมจากคุนหมิงผ่านลาวเข้าหนองคาย และลงไปสู่ภาคใต้ของไทย เชื่อมต่อมาเลเซียจนถึงสิงคโปร์

ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) คาดว่า ภายในปลายปี 54 ค่าเงินบาทมีโอกาสอยู่ที่ 28 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากธนาคารกลางของจีนจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 4-6 ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับเงินหยวน

สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นวันที่ 1 ธันวาคม 2553 นี้ เชื่อว่า จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะส่งผลต่อค่าเงินบาททันที รวมทั้งการประมาณการณ์เงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ สูงเกินความเป็นจริง เพราะเชื่อว่า รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะต่อนโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอีก ส่วนเงินทุนไหลเข้าที่เป็นการลงทุนโดยตรง (FDI) นั้นในปีหน้า ยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้

นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวอีกว่า การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลใน 5 ปีนั้น เป็นเรื่องยาก เพราะงบประมาณส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายด้านต่างๆ จึงไม่สามารถปรับลดได้ และหากต้องลงทุน รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงิน จึงทำให้การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลนั้น เป็นเรื่องยาก ยกเว้นการทำงบประมาณแบบสมดุลแบบไม่รวมงบชำระหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คลังบทความของบล็อก