ฟันธงราคาทองคำปี 2012 จาก 26 เซียนทองทั่วโลก

ฟันธงราคาทองคำปี 2012 จาก 26 เซียนทองทั่วโลก
Fundamentals รวบรวมความเห็นของ 26 นักวิเคราะห์ทองที่อยู่ทั่วโลกมานำเสนอ จะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างของเซียนทอง ว่าจะรุ่งหรือร่วง

จะใกล้หมดยุคทองของทอง หรือราคาทองจะยังวิ่งฉิวต่อไป
เราอาจจะได้ฟังคำทำนายจากปากคนในแวดวงทองของไทยกันไปเยอะพอสมควรแล้ว ลองมาฟังคำพยากรณ์ราคาทองในปี 2012 จากคนในแวดวงทองที่อยู่ทั่วโลกกันบ้างดีกว่า
Fundamentals ฉบับนี้ รวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์ทองที่อยู่ทั่วโลกมานำเสนอ จะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างของเซียนทอง ทั้งหมดนี้ อย่างน้อยคุณจะได้จับทิศทางการลงทุนในทองคำให้ตัวเองได้อย่างทันเกมทอง

***
ผลสำรวจการคาดการณ์ราคาทองคำของสมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอนปี 2012 พบว่า ราคาทองยังคงเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยราคาคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เทียบกับช่วงต้นปีราคาทองคำจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น 10.2% หรือเพิ่มขึ้น 12.3% เทียบราคาเฉลี่ยจริงปีที่แล้ว ราคาคาดการณ์สูงสุดของเหล่านักวิเคราะห์ เฉลี่ยอยู่ที่ 2,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาคาดการณ์ต่ำสุด เฉลี่ย ที่ 1,443 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก คาดว่าจะทำให้ราคาทองคำจะแกว่งตัวผันผวนค่อนข้างมาก และคาดการณ์กันว่าราคาทองคำจะแตะระดับสูงสุดอีกครั้งในปีนี้ โดยเหตุผลที่จะสนับสนุนให้ราคาทองคำไปยืนสูงสุดเฉลี่ยที่ 2,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คือ 1. อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ติดลบในยุโรป 2. ดอลลาร์ที่อ่อนค่า 3. ปัญหาหนี้สินในสหรัฐ และญี่ปุ่น และ 4. แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ปัจจัยบวก 4 ตัวหลักนี้ น่าจะผลักให้ราคาทองคำเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
ส่วนปัจจัยที่อาจมีผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้ คือ 1. เศรษฐกิจสหรัฐที่กระเตื้องขึ้น 2. ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางและยุโรป แต่โดยรวมแล้ว นักวิเคราะห์ราคาทองคำเหล่านี้ ก็ยังมองบวก (bullish) กับราคาทองคำ


Oวิลเลียม อดัม : เฉลี่ย 1,785
วิลเลียม อดัม นักวิเคราะห์ทองจากแฟสท์มาร์เก็ตส์ มองราคาทองในปีนี้จะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,500-2,230 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเฉลี่ย 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาคาดว่าในปี 2012 ราคาทองคำอาจจะปรับตัวสูงขึ้นจากประเด็นวิกฤติหนี้ในยุโรปและอาจลุกลามในวงกว้าง ที่อันตราย ก็คือ ระบบการเงินในยุโรปไม่สามารถจัดการปัญหาได้ แม้ว่าภาครัฐจะเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ปฏิกิริยาตอบสนองจากตลาดและผู้ลงทุนจะเป็นอย่างไร หากเห็นการหาทางออกจากปัญหาของรัฐบาล การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดอาจจะจบลงด้วยค่าเงินยูโรที่ลดลง ขณะที่สหรัฐ และญี่ปุ่นก็มีหนี้มหาศาลและเจอภาวะขาดดุลอย่างมาก คงไม่น่าแปลกใจถ้าผู้ลงทุนจะถือทองเพิ่มขึ้น เพื่อปกป้องการด้อยค่าลงของเงิน ด้วยเหตุนี้ ราคาทองอาจจะเพิ่มสูงขึ้น

Oแดเนียล เบรบเนอร์ : เฉลี่ย 1,825
แดเนียล เบรบเนอร์ นักวิเคราะห์ทองจากดอยช์ แบงก์ ลอนดอน มองว่า ค่าเฉลี่ยของทองในปีนี้จะอยู่ในราว 1,545-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเฉลี่ยที่ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับลงของราคาทองในปีก่อนแสดงความอ่อนแรงของกระแสใช้ทองเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย เป็นพฤติกรรมซื้อขายที่เคลื่อนไหวต่างไปจากปัจจัยพื้นฐาน หลายเดือนข้างหน้า ทำให้เขาคาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าต่อเนื่องไป อย่างไรก็ดี พื้นฐานระยะยาวของดอลลาร์ยังอ่อนแอ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ยังติดลบอยู่จะดึงดูดการถือทองคำไว้ และคาดว่าธนาคารกลางก็ยังจะซื้อทองคำต่อไปตราบที่ปัญหาหนี้สินภาครัฐในยุโรปยังคงมีอยู่ เหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองให้สูงขึ้นกว่าระดับที่เคยทำไว้

Oซูกิ คูเปอร์ : เฉลี่ย 1,875
ซูกิ คูเปอร์ นักวิเคราะห์ทองจากบาร์เคลย์ส แคปปิตอล นิวยอร์ก มองว่าปีนี้ราคาทองจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,400-2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าหลังจากการทำราคาสูงสุดใหม่ ความต้องการทองคำก็อ่อนตัวลง ทั้งจากดอลลาร์แข็งค่า แรงขายตามการวิเคราะห์เชิงเทคนิค และข่าวร้ายที่เบาลง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และความเสี่ยงลดลง เหล่านี้ จะไม่เอื้อต่อราคาทองคำในระยะสั้น


Oเบย์แรม ดินเซอร์ : เฉลี่ย 1,770
เบย์แรม ดินเซอร์ นักวิเคราะห์ทองจาก แอลจีที แคปปิตอล แมเนจเม้นท์ คาดการณ์ว่าราคาทองปีนี้ จะอยู่ระหว่าง 1,450-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเฉลี่ย 1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์
"การคาดการณ์ราคาทองคำมาจากมุมมองภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ต่ำและอาจติดลบ ตัวชี้วัดความเสี่ยงจากเครดิตประเทศ ประเด็นการเมืองภูมิภาคต่างๆ ความไม่แน่นอนทั้งระบบ เช่น การแตกตัวออกของกลุ่มยูโร หากประเด็นเหล่านี้ มีผลกระทบมาก จะยิ่งเอื้อให้ทองคำเป็นการลงทุนที่คนต้องการเพื่อการหลบภัย"

Oปีเตอร์ เฟอร์ทิค : เฉลี่ย 1,730
ปีเตอร์ เฟอร์ทิค นักวิเคราะห์ทองจากคิวซีอาร์ ควอนทิเททีฟ คอมมอดิตี้ รีเสิร์ช คะเนว่าปีนี้ราคาทองจะอยู่ในราว 1,390-2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเฉลี่ยประมาณ 1,730 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาบอกว่าอินเดียลดการนำเข้าทองในไตรมาสที่ 4 แสดงว่าความต้องการทองคำเพื่อการทำเครื่องประดับ อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะหนุนราคาทองปี 2012 ขณะที่ วิกฤติหนี้ยุโรปน่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ผลักดันราคาทอง ในกรณีที่เลวร้ายถึงการล่มสลายของกลุ่มยูโรหรือการชะงักของระบบการเงินจะทำให้ทองเป็นที่ต้องการในฐานะแหล่งรักษามูลค่าเงิน หากไม่เกิดเรื่องร้ายๆ แต่เป็นกรณีที่บรรยากาศดีๆ เกิดขึ้น ก็ยังคาดว่าทองคำก็จะยังคงได้ประโยชน์อยู่ดี
"ไตรมาส 1 คาดว่าราคาทองคำน่าจะมีความผันผวนสูงและทองอาจปรับลดลงเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ หลังการเพิ่มสภาพคล่องสูงระบบของธนาคารกลางยุโรปคาดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ในกรณีนี้มูลค่าพื้นฐานของทองคำจะสูงขึ้น อีกทั้งเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอีก ดังนั้น เราจึงคาดว่าราคาทองจะสูงขึ้นผ่าน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2012"

Oคาร์ล เฟียร์แมน : เฉลี่ย 1,689
คาร์ล เฟียร์แมน นักวิเคราะห์ทองจากวีเอ็ม กรุ๊ป ลอนดอน มองว่า ปีนี้ทองจะเคลื่อนไหวแถว 1,410-2,012 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเฉลี่ย 1,689 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยปัจจัยหนุนราคาทองยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยแท้จริงยังต่ำถึงติดลบ อัตราเงินเฟ้อยังกดดัน และธนาคารกลางยังซื้อทองจะสนับสนุนราคาทองต่อไป ขณะที่ความต้องการจากจีนยังมีอยู่มาก และการผสมทองคำเข้าเป็นส่วนกระจายความเสี่ยงในการลงทุนและความต้องการถือทองทำจริงๆ ที่เพิ่มขึ้น จะส่งให้ราคาทองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ในปีนี้

Oเรอเน โฮเครเทอร์ : 1,650
เรอเน โฮเครเทอร์ นักวิเคราะห์ทองจากอัลลัน โฮเครเทอร์ มองว่า ราคาทองปีนี้เฉลี่ยน่าจะอยู่ในราว 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเคลื่อนไหวระหว่าง 1,450-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นั่นเพราะเขามองว่าเศรษฐกิจโลกยังคงไม่นิ่ง สภาคองเกรสสหรัฐไร้พลัง และธนาคารกลางสหรัฐกับปัญหาหนี้ ล้วนน่าจะทำให้ราคาเฉลี่ยทองคำปี 2012 สูงกว่าปี 2011 และโอกาสที่น่าจะเพิ่มขึ้นทะลุระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ก็มี

Oไมเคิล แจนเซน : เฉลี่ย 1,869
ไมเคิล แจนเซน นักวิเคราะห์ทองจากเจพี มอร์แกน ซิเคียวริตี้ส์ ลอนดอน เชื่อว่าทองทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,869 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,450-2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเขาเชื่อว่าทองยังคงเป็นขาขึ้น เพราะธนาคารกลางยังซื้อสะสมต่อ อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นตลาดเงิน ส่วนราคาทองคำที่ลดต่ำลงเมื่อช่วงก่อนหน้านี้เป็นมาจากการมีดอลลาร์ ไม่เพียงพอในตลาด ทองยังซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นตามสภาพเศรษฐกิจ
"เรายังคิดว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ดีที่จะเข้าลงทุนในราคาระหว่าง 1,785-1,885 ดอลลาร์ สำหรับปี 2012"

Oเดวิด จอลลี : เฉลี่ย 1,770
เดวิด จอลลี นักวิเคราะห์ทอง Mitsui&Co Precious Metals คาดว่าราคาทองคำเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,480-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีหลายปัจจัยที่หนุนราคาทองในปี 2011 ยังคงมีต่อเนื่องมาในปี 2012 ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่ำ อัตราเงินเฟ้อสูงในประเทศกำลังพัฒนา ปีนี้ปัจจัยเหล่านี้ ก็ยังคงมีอยู่และจะเป็นตัวหนุนราคาทองคำ

Oทอม เคนดอลล์ : เฉลี่ย 1,755
ทอม เคนดอลล์ นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิส ซิเคียวริตี้ส์ (ยุโรป) มองว่าราคาทองน่าจะเฉลี่ยที่ 1,755 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือสูงสุดที่ 1,960 และต่ำสุดที่ 1,475 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าราคาทองคำเผชิญแรงต้านหลายเรื่องในปลายปี 2011 ไม่ว่าจะเป็นจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น สภาพคล่องลดลงในตลาดเงิน กองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ปิดกองไป ความกังวลในยุโรปเริ่มผ่อนคลาย และการอ่อนค่าของเงินรูปีอินเดีย ทำให้ความต้องการทองคำจากอินเดียลดลง

Oฟิลิป แคลปวิค : เฉลี่ย 1,760
ฟิลิป แคลปวิค จากทอมสัน รอยเตอร์ ฮ่องกง คะเนว่าราคาทองปีนี้จะเฉลี่ย 1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือสูงสุดที่ 2,005 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และต่ำสุดที่ 1,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นในทองคำถูกท้าทายอย่างมาก เมื่อราคาทองคำตกลงมากนับตั้งแต่ทำจุดสูงสุดในเดือนกันยายน 2011 ตัวชี้วัดหลายอย่างระบุว่าขาขึ้นได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่เร็วเกินกว่าจะชี้ชัดว่าทองคำถึงจุดกลับตัวลงแล้ว

Oมาร์ติน มูเร็นบลีด : เฉลี่ย 1,835
มาร์ติน มูเร็นบลีด นักวิเคราะห์จาก DundeeWealth มองราคาทองเฉลี่ยที่ 1,835 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยให้ระดับสูงสุดที่ 2,125 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และต่ำสุดที่ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าปี 2012 เป็นปีที่ยากต่อการคาดการณ์ทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น อัตราดอกเบี้ย และอื่นๆ ภาวะเศรษฐกิจพื้นฐานทั้งการถดถอยในยุโรป ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ การเติบโตที่ชะลอตัวลงในตลาดทองคำสำคัญทั้งอินเดียและจีน เศรษฐกิจสหรัฐยังมีปัญหาในปี 2012 ถ้าเศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำและภาวะถดถอยเกิดขึ้นไปทั่ว เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีปัญหา สภาพเช่นนี้ราคาทองคำจะถูกดึงลงเป็นระยะๆ
ปัจจัยบวกที่จะหนุนราคาทองในปี 2012 คือ ความต้องการซื้อทองคำของธนาคารกลาง ปัญหาทางการเมืองที่แพร่ขยายในตะวันออกกลาง ซึ่งจะหนุนทั้งราคาทองและราคาน้ำมันให้เพิ่มสูงขึ้น

Oเอ็ดดี้ นากาโอะ : เฉลี่ย 1,525
เอ็ดดี้ นากาโอะ นักวิเคราะห์จากซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น โตเกียว มองว่าปีนี้เฉลี่ยราคาทองจะอยู่ที่ 1,525 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเคลื่อนไหวระหว่าง 1,300-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยคาดว่าราคาทองลดลงในปี 2012 เทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยทองคำจะถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์ โดยเปรียบเทียบกับค่าเงินยูโร เงินเยน และสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ ยังต้องระวังการขายทองคำจาก IMF และประเทศสมาชิกยุโรปเพื่อการระดมทุนมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเกิดกรณีใดก็ตาม ราคาทองคำจำเป็นต้องปรับตัวลงเพื่อพักหลังจากราคาขึ้นสูงมานาน เพื่อขึ้นต่อได้อย่างมั่นคง

Oรอส นอร์แมน : เฉลี่ย 1,765
รอส นอร์แมน นักวิเคราะห์จากชาร์ปส พิกซ์เลย์ ลอนดอน คาดว่าราคาทองปีนี้เฉลี่ย 1,765 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเคลื่อนไหวระหว่าง 1,590-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าทองคำในภาวะนี้มีความไม่น่าไว้ใจสูง อนาคตของทองโดยหลักจะเชื่อมโยงกับเงินดอลลาร์และยูโร ซึ่งมีความเกี่ยวโยงต่อกับนโยบายจากทางการเมือง โดยพื้นฐานแล้วทองคำยังคงน่าลงทุน ปริมาณทองคำที่มีจำกัดแต่ความต้องการในเอเชียยังมีอยู่สูง
ขณะที่ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก จะเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ โดยในครึ่งแรกของปี 2012 น่าจะมีความกังวลอยู่สูงและน่าจะคลี่คลายไปในครึ่งหลังของปี 2012 ปัจจัยลบที่จะดึงราคาทองคำลง คือ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น

Oเฟรดเดอริค พานิซซุติ : เฉลี่ย 1,808
เฟรดเดอริค พานิซซุติ นักวิเคราะห์ทองจาก เอ็มเคเอส ไฟแนนซ์ เจนีวา ประเมินราคาทองเฉลี่ยปีนี้ที่ 1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเคลื่อนไหวระหว่าง 1,550-2,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยคาดว่าปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2011 จะยังคงเกิดขึ้นในปี 2012 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ปัจจัยหนุนราคาทองคำ ยังคงเป็นความขัดแย้งทางการเมืองในหลายภูมิภาค
การปฏิรูปการปกครองในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จะเกิดเป็นกระแสต่อเนื่องในภูมิภาคอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะกระตุ้นการสะสมทอง โดยสรุปเราคาดว่าทองจะมีจุดสูงสุดใหม่ในปี 2012 และมีราคาเคลื่อนไหวในช่วงกว้างกว่า ปี 2012 จะเป็นปีที่มีความผันผวนอีกปี

Oธอร์สเทน โพรเอทเทล : เฉลี่ย 1,640
ธอร์สเทน โพรเอทเทล นักวิเคราะห์ทองจาก Landesbank Baden-Wurttemberg แห่งเยอรมนี มองราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 1,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,220-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าการทำเหมืองทองคำที่ยังเพิ่มขึ้น การซื้อเครื่องประดับและความต้องการลงทุนที่ลดลง ทำให้ปี 2012 เป็นปีที่ยากสำหรับทองคำ
"ถ้าการเจรจาแก้ปัญหาหนี้ประเทศกรีซยังยืดเยื้อต่อไป หรือความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของกลุ่มยุโรป อาจจะจุดประเด็นทองคำให้ทำราคาสูงสุดใหม่"

Oเจฟเฟรย์ โรดส์ : เฉลี่ย 1,727
เจฟเฟรย์ โรดส์ นักวิเคราะห์จากไอเอ็นทีแอล คอมมอดิตี้ส์ ดูไบ คาดว่าราคาทองเฉลี่ย 1,727 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเคลื่อนไหวระหว่าง 1,465-1,975 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่ำเข้าใกล้ศูนย์ และการแสวงหาช่องทางให้เงินลงทุนเติบโต สภาพเช่นนี้ ยังคงทำให้ทองคำเป็นทางเลือกในการบริหารเงินที่โดดเด่นหากพิจารณาจากผลตอบแทนในอดีตในระดับ 20% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

Oโรห์อิท ซาวานท์ : เฉลี่ย 1,612
โรห์อิท ซาวานท์ นักวิเคราะห์จากซีพีเอ็ม กรุ๊ป นิวยอร์ก ประเมินราคาทองปีนี้เฉลี่ย 1,612 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,200-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาว่าปี 2012 ราคาทองจะผันผวนแกว่งตัวในกรอบกว้าง คาดว่าผู้ลงทุนจะยังคงสนใจลงทุนในทองคำ เพราะความกังวลในความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการเมือง แต่ระดับความกังวลใน 2 ปัจจัยนี้มีลดลง ดังนั้น ผู้ลงทุนจะอ่อนไหวต่อราคาทองคำมากขึ้น ผู้ลงทุนจะเห็นเป็นโอกาสซื้อ เมื่อราคาทองคำตก

Oแดเนียล สมิธ : เฉลี่ย 1,875
แดเนียล สมิธ นักวิเคราะห์ทองจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ลอนดอน มองว่าราคาทองเฉลี่ยปีนี้ที่ 1,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวช่วง 1,525-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาว่าปีที่แล้วราคาทองสร้างจุดสูงสุดใหม่และตลาดก็มีผลตอบแทนที่โดนเด่นเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ และการลงทุนในหมวดสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ราคาในช่วงปลายปีก็อ่อนลงจากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์และสภาพคล่องที่น้อยลง
"คาดว่าราคาทองคำยังคงจะขึ้นต่อไปในปี 2012 แต่จะมีความผันผวนสูง ไม่ได้เป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างช้าๆ สม่ำเสมอเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา"

Oเจมส์ สตีล : เฉลี่ย 1,850
เจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จากเอชเอสบีซี นิวยอร์ก มองราคาทองเฉลี่ยปีนี้ที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เคลื่อนไหวช่วง 1,450 - 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าทองได้รับประโยชน์สูงสุดจากข่าวร้ายที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่จะมีขึ้นอีก นอกจากนี้ แม้ว่าปัญหาหนี้ในยุโรปจะไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำแต่เมื่อตลาดเริ่มหันมาสนใจปัญหาจากปัญหายุโรป กลับไปหาปัญหาการขาดดุลของสหรัฐภาวะเช่นนี้ ก็จะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดอลลาร์อ่อนค่าลง

Oแอนน์ เทรมเบลย์ : เฉลี่ย 1,775
แอนน์ เทรมเบลย์ นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ ลอนดอน คาดว่าราคาทองเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 1,775 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรืออยู่ในช่วง 1,500-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แอนน์ยังคงมองราคาทองคำเป็นบวก คาดว่าราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้นในปี 2012 ถึงแม้ว่าราคาทองจะปรับขึ้นไปสูงแล้วก็ตาม คาดว่าราคาทองคำจะขึ้นไปสูงอีกในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก และน่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในปีนี้
"ความต้องการที่จะสะสมทองจากธนาคารกลาง และจากจีนมีผลทำให้การบริโภคทองคำมากขึ้น ภาครวมเศรษฐกิจมหภาค อัตราเงินเฟ้อ สภาพคล่องที่ล้นระบบ และอัตราผลตอบแทนที่ติดลบ รวมถึงความกังวลถึงความด้อยค่าในเงินสกุลต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นตัวสนับสนุนราคาทองคำ"

Oอีเดล ทุลลี : เฉลี่ย 2,050
อีเดล ทุลลี นักวิเคราะห์ทองจากยูบีเอส ลอนดอน คือ คนที่มองทองสดใสที่สุด โดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ราว 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,400-2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทุลลีประเมินว่ามีปัจจัยสนับสนุน คือ ปัญหาหนี้และเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป การอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงลดลง ดอกเบี้ยต่ำในสหรัฐความต้องการสะสมทองคำของธนาคารกลางที่ยังมีต่อเนื่องจากปี 2011 ทิศทางของมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป จะเป็นตัวกำหนดว่าราคาทองคำจะขึ้นแรงแค่ไหน

Oแมทธิว เทอร์เนอร์ : เฉลี่ย 1,782
แมทธิว เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จากมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ลอนดอน คาดว่าทองปีนี้จะเฉลี่ย 1,782 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,425-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประวัติศาสตร์ได้ถูกจารึกไว้ในปี 2011 ว่า ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ หนึ่งในไม่กี่ประเภทที่ทำกำไรได้ในปี 2011 อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทองคำยังคงเป็น ตลาดขาขึ้น (Bullish) ปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ผลพวง คือ ภาวะเงินเฟ้อ ไม่มีธนาคารกลางประเทศใดต้องการให้ค่าเงินของตัวเองแข็งค่า ทองคำจึงยังคงเป็นการลงทุนที่ผู้ลงทุนทั่วไปต้องการ และธนาคารกลางต่างๆ ก็ต้องการสูงขึ้นด้วย
โดยสรุปนโยบายการเงินของธนาคารกลาง นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน และการบริหารเงินทุนสำรอง เพียงแค่ 3 ปัจจัยนี้ ก็เพียงพอที่จะเป็นตัวผลักดันให้ราคาทองคำไปเหนือ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

Oพาร์กาวา ไวทยะ : เฉลี่ย 1,600
พาร์กาวา ไวทยะ นักวิเคราะห์จาก BN Vaidya & Associates มุมไบ มองว่าทองน่าจะมีราคาเฉลี่ย 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวช่วง 1,440-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขามองว่าปัญหาหนี้ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้ความต้องการทองคำสูงขึ้น ทองคำได้รับการยอมรับว่าเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่ปลอดภัย และเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาค่าเงินลงทุน ความต้องการทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับจะลดลง แต่จะถูกชดเชยจากความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน จนกว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาแข็งแรง ระหว่างนี้ทองคำจะยังคงเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้นต่อไป

Oไมเคิล วิดเมอร์ : เฉลี่ย 1,850
ไมเคิล วิดเมอร์ นักวิเคราะห์ทองจากบีเอเอ็มแอล ลอนดอน คาดว่าราคาทองเฉลี่ย 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเคลื่อนไหวระหว่าง 1,500-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาเชื่อว่าปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำยังคงอยู่เหมือนเดิม คือ ปัญหาหนี้สินในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง ไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะเวลาสั้นๆ ปัจจัยนี้เป็นเหตุผลหลักหนุนราคาทองคำที่เหนือกว่าปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังคาดว่ามาตรการการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบ หรือ QE รอบใหม่ จะเกิดในประเทศพัฒนาทั้งหลาย จะยิ่งเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำโดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ของปี 2012

Oวอล์ฟกัง วืรซนอค: เฉลี่ย 1,750
วอล์ฟกัง วืรซนอค นักวิเคราะห์จาก Degussa Goldhandel GmbH เยอรมัน มองว่าราคาทองเฉลี่ย 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เคลื่อนไหวประมาณ 1,425-2,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เขาเชื่อว่าปัจจัยที่หนุนราคาทองคำยังมีอยู่เหมือนเดิม ก็คือ ปัญหาหนี้ยุโรป ปัญหาระบบธนาคาร ความตึงเครียดทางการเมือง และการขาดแคลนทางเลือกในการลงทุน ปัญหาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจาก เช่น ปัญหา ฟองสบู่แตกของภาคที่อยู่อาศัย และ ด้านสินเชื่อของจีน ปัญหานิวเคลียร์ในอิหร่าน เกาหลีเหนือ ปากีสถาน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ รวมทั้งปัญหาการของกลุ่มประเทศตะวันออกที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน
ที่มา โดย : กาญจนา หงษ์ทอง จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ