“เสี่ยตัน”เดินหน้าเขย่าตลาด ส่ง“อิชิตัน”กู้แชมป์ชาเขียว!

“เสี่ย​ตัน” เดิน​หน้า​เขย่า​ตลาดอัด​งบ​กว่า 150 ล้าน​บาท ทำ​กิจกรรม​การ​ตลาด​ทุก​รูป​แบบ ส่ง “อิชิ​ตัน” กู้​แชมป์​ชา​เขียว...

′ตัน′หวนคืนตลาดชาเขียวชนโออิชิ เปิดตัวผ่านเซเว่นฯ ชิงตลาด8พันล้าน

"ตัน ภาสกรนที" เจ้าของบริษัท "ไม่ตัน" อดีตบิ๊กบอสโออิชิ เตรียมหวนคืนตลาดชาเขียว เจ้าตัวยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียด วงการเผยเริ่มส่งสินค้าเทสต์ตลาด ก่อนเปิดตลาดผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตามด้วยการปูพรมสินค้า ยึดตลาดแมส ใช้ไซซ์ 15 บาท เปิดตัว 3 รสชาติ ชี้การผลิตพร้อมโรงงานใหม่เตรียมเดินเครื่องปีหน้า ตลาดชาเขียวยังโต 20% นำโดยเบอร์ 1 "โออิชิ" ตามด้วยเพียวริคุ ลิปตัน ยูนิฟวงการจับตามองกลยุทธ์เปิดตัวช่วงแรก

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่ม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นายตัน ภาสกรนที เตรียมที่จะกลับมาสู่วงการเครื่องดื่ม "ชาเขียว" อีกรอบ

เมื่ออยากเลี้ยงปลาในสวน

“น้ำ” มีส่วนในการสร้างบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เสียงน้ำไหลรินเบา ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงน้ำสิ่งที่มักอยู่คู่กันเสมอคือ “ปลา” ซึ่งช่วยสร้างความเพลิดเพลินใจเมื่อมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาในสายน้ำ การเลี้ยงปลาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มักเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ คู่กับการออกแบบสวนเสมอ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อเลี้ยงปลา ตลอดจนวิธีเลี้ยงปลาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีความสวยงาม

ก่อนจะเริ่มเลี้ยงปลา

'แอพ มือถือ' ทางรอดศึกค้าปลีกออนไลน์

การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมค้าปลีกบนโลกออนไลน์ ทำให้เหล่าห้างสรรพสินค้าในสหรัฐ ตั้งต้นทดลองโปรแกรมประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น บนมือถือ ที่จะช่วยให้เหล่าผู้บริโภค รู้เส้นทางไปยังร้านค้า และสถานที่ที่จอดรถไว้ นอกเหนือไปจากการค้นหาสินค้าลดราคา หรือการเสนอส่วนลดพิเศษให้

ไซมอน พรอพเพอร์ตี้ กรุ๊ป อิงค์ เจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่สุดในสหรัฐ นำเสนอแอพพลิเคชั่นของรางวัลจาก ช็อปคิก อิงค์ ให้กับลูกค้าตามสาขาต่างๆ ราวครึ่งหนึ่งของสาขาที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด 338 แห่ง พร้อมเดินหน้าพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตัวเอง เพื่อนำเสนอส่วนลดสำหรับกลุ่มห้างในเครือด้วย

ร่ายมนต์เปลี่ยนจากชอบ เป็นช้อป

วันนี้ความหมายของคำว่า "โซเชียล" เริ่มขยายอาณาเขตจากเดิม จาก "สถานที่" ที่เป็นชุมชนออนไลน์ กลายเป็น "เพื่อนและกลุ่มเพื่อน"
จากที่ได้กล่าวถึงแนวโน้ม 8 เทรนด์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในปี 2554 ของไทย เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา ทุกเทรนด์ได้ปรากฏขึ้นและตอบรับกับความเคลื่อนไหวทางธุรกิจ ตามคาดการณ์ สร้างสีสันให้กับนักการตลาดมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะเทรนด์เกี่ยวกับ “อีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ” และ “ออนไลน์โปรโมชั่น”

ในระยะหลังมีการพูดถึงโซเชียลคอมเมิร์ซ และการใช้ออนไลน์โปรโมชั่นกันอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศ ในลักษณะของโซเชียล ดิสเคาท์, ข้อตกลงวันเดียว (One-day Deal) หรือข้อตกลงออนไลน์ (Cyber Deal) บนเฟซบุ๊คของแบรนด์ต่างๆ เลยจะขอยกมาคุยกันอีกครั้ง
นิยามใหม่โซเชียล

วันนี้ความหมายของคำว่า "โซเชียล" เริ่มขยายอาณาเขตจากเดิม จาก "สถานที่" ที่เป็นชุมชนออนไลน์ กลายเป็น "เพื่อนและกลุ่มเพื่อน" อาจรวมถึง "คนที่ชอบ" หรือ "แบรนด์ที่ชอบ" และยังรวมถึง "พฤติกรรม" ของการแชร์ แบ่งปันกันด้วยการให้คำแนะนำและการสนทนา

โซเชียลคอมเมิร์ซ คือ การใช้โซเชียลให้เกิดแรงจูงใจในการซื้อ หรือการซื้อที่มีเพื่อนช่วยตัดสินใจ ตัวอย่างของการใช้โซเชียลเพื่อสร้างแรงจูงใจ จะเห็นได้จาก Levi’s Friends Store (http://store.levi.com/) ที่ใช้การ “Like” เป็นเรทติ้งสร้างแรงดึงดูดจูงใจให้ซื้อเสื้อผ้ารุ่นนั้นๆ และให้เราอ่านคอมเมนท์สินค้าของเพื่อน หรือเขียนคอมเมนท์ให้เพื่อนอ่าน

ในเชิงเทคนิคแล้วเป็นการติดตั้ง Facebook Social Plugins ในเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับหน้าเฟซบุ๊คของแบรนด์สินค้า เพื่อให้ใช้ฟังก์ชันบางอย่างของเฟซบุ๊คในเว็บไซต์ได้ การใช้ Facebook Social Plugins เช่น Like Button, Share, Comment และ Live Stream ช่วยสร้างกระแสและเพิ่มสีสันการตลาดให้กับออนไลน์แคมเปญ และกิจกรรมในเฟซบุ๊คเกือบทุกธุรกิจ ในขณะนี้
เอฟคอมเมิร์ซกับกระแส Tryvertising

อีกกระแสหนึ่งที่กำลังมาแรงและเป็นที่จับตามองของนักการตลาดคงหนีไม่พ้นเรื่องอีคอมเมิร์ซ แต่เป็นอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานในเฟซบุ๊ค ที่เรียกเป็น Buzz ในขณะนี้ว่า “เอฟคอมเมิร์ซ” หรือ “เอฟสโตร์”

ร้านค้าและแบรนด์เริ่มติดตั้งอีคอมเมิร์ซกันที่เฟซบุ๊คของตน เพื่อใช้ฐานของจำนวนแฟนในเฟซบุ๊คในการขายสินค้าให้แก่แฟนๆ เช่น Apple App Store, Lady Gaga f-store, Starbucks Gift Card หรือ Coca-Cola Store

นอกจากอาศัยเป็นจุดจำหน่ายสินค้าผ่านเอฟคอมเมิร์ซแล้ว ยังพบว่าแบรนด์อย่างซอสมะเขือเทศไฮนส์ (Heinz) รุกตลาดโดยการประชาสัมพันธ์สินค้าในลักษณะ Tryvertising ผ่านเฟซบุ๊ค ด้วยการปล่อยไฮนส์รสชาติใหม่แก่แฟนๆ ก่อนการขายจริงในท้องตลาด เพื่อให้แฟนพันธุ์แท้ได้ทดลองสินค้าก่อนใคร ทำให้เกิดการพูดถึงปากต่อปาก (Word of Mouth) จากกลุ่มแฟนในเฟซบุ๊ค กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในการประชาสัมพันธ์สินค้าโดยผ่านผู้บริโภคตัวจริงนั่นเอง

อย่างไรก็ตามนักการตลาดในต่างประเทศก็ยังมีข้อสังเกตต่อผลตอบรับทางธุรกิจของเอฟคอมเมิร์ซที่ว่า เพราะค่าใช้จ่ายของสื่อเฟซบุ๊คที่สูงขึ้นทำให้ประสิทธิภาพของเฟซบุ๊คต่อการสร้างยอดขายลดลง โดยนักการตลาดบางส่วนมีความเห็นว่าเฟซบุ๊คเป็นสื่อที่เหมาะสำหรับการดูแลลูกค้า การสร้างแบรนด์ หรือการศึกษาข้อมูลในเชิงลึกมากกว่าการที่จะมาช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจโดยตรงเหมือนระบบอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์
จับกระแสแปรเป็นโอกาสให้ทัน

สำหรับนักการตลาดบ้านเราแล้ว การอินทริเกตเครื่องมือใหม่ๆ บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มเข้ากับกลยุทธ์ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เพื่อจับกระแสนิยมหรือทดสอบพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถ้ามีความพร้อมทั้งในเชิงกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่เป็นระบบสนับสนุน แล้วอาศัยเครื่องมือนี้ทำการตลาด ไม่แน่ว่าอาจเปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจให้กับแบรนด์ของเราอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

นิวมีเดีย : "แอ๊ปเปิ้ล - กูเกิล - เฟซบุ๊ค" พลิกโลก ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง

"สิ่งที่น่าจับตานับจากนี้ คือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งแอ๊ปเปิ้ล กูเกิล และเฟซบุ๊ค จะเป็นออนไลน์ แอดเวอร์ไทซิ่ง และมาร์เก็ต แพลตฟอร์ม ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภค ส่งผลให้การวางแผนบริหารสื่อต้องเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากเดิม และทวีความเข้มข้นมากขึ้น"
นี่เป็นหนึ่งใน 8 เทรนด์สำคัญของดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ปี 2554 ที่ "อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด อินเตอร์
แอคทีฟเอเยนซีไทย ประเมินไว้ พร้อมทั้งบอกว่า ทั้ง 3 บริษัทนี้จะเป็นตัวพลิกโฉมหน้าการทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่สำคัญ และจะพลิกรูปแบบการเข้าถึงสินค้า บริการของกลุ่มคอนซูเมอร์ทั่วโลกในอนาคต

อุไรพร บอกว่า ปัจจุบันแนวโน้มดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งของไทยยังคึกคักต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรที่อยู่บนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีพฤติกรรมการหาข้อมูล และเลือกซื้อสินค้าโดยใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค เป็นผู้ช่วยตัดสินใจ ก่อนที่จะซื้อ โดยใช้ช่องทาง "อีคอมเมิร์ซ" ที่มีเทคโนโลยี และเครื่องมือรองรับเต็มที่ หนุนให้ช่องทางการสื่อสารอินเตอร์แอคทีฟช่วยเร่งยอดขายและสร้างแบรนด์ของสินค้า และบริการได้จริง

"ปีหน้าดิฉันเชื่อว่า จะเป็นปีแห่งการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ออนไลน์มากขึ้น และด้วยเทรนด์ของแพลตฟอร์มใหม่ๆ รวมถึงความฮอตของโซเชียลเน็ตเวิร์คจะทำให้นักการตลาดต้องแบ่งสัดส่วนงบประมาณสำหรับการทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งแบบครบวงจร เป็น 2-10% ของงบการตลาดขององค์กรปี 2554 ขณะที่มูลค่าสื่อออนไลน์หรือดิจิทัล มีเดีย น่าจะมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 2% หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ของมูลค่าสื่อโดยรวมที่ประเมินว่าจะอยู่ระดับแสนล้านบาท"

ปัจจุบัน โซเชียล เน็ตเวิร์คที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุดยังเป็นเฟซบุ๊ค ด้วยจำนวนสมาชิกคนไทยกว่า 6.1 ล้านคน จากการศึกษา พบว่า สมาชิกอยู่ช่วงอายุ 18-24 ปี 40% และ 25-34 ปี 35% โดยคนไทยเข้าไปใช้งานเฟซบุ๊ค 2.2 ล้านคน ยูทูบ 1.2 ล้านคน และทวิตเตอร์ 90,000 คนต่อวัน นั่นหมายถึง ช่องทางการสื่อสารที่ท้าทายนักการตลาด และจำเป็นต้องศึกษาและวางกลยุทธ์ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งที่จริงจังมากขึ้น รวมทั้งต้องก้าวตามเทคโนโลยีและตัดสินใจเลือกใช้ให้เหมาะสมทันท่วงที ขณะที่ต้องคำนึงถึงผลต่อแบรนด์หรือองค์กรทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วย

เปิด8เทรนด์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งปี54

จากนี้ต่อไป คือ 8 เทรนด์ใหม่ และกลยุทธ์ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ที่จะเป็นกุญแจสำคัญพลิกโฉมการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ที่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก

1.กลยุทธ์ออนไลน์ผสมผสานโซเชียลมีเดียอย่างฉลาด (Digital Strategy and Social Media Integration) หรือการผสมผสานดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และโซเชียล มีเดียเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร โครงสร้างนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจออนไลน์เทคนิคต่างๆ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงผลทางการตลาด และติดตามได้ง่าย เป็นการขยายขอบข่ายในดิจิทัล สเปซ เพื่อให้การทำตลาดได้ผลสำเร็จสูงสุด นอกเหนือจากการสร้างเว็บไซต์แนะนำสินค้า สร้างแฟนเพจเฟซบุ๊ค หรือสร้างแอคเคาท์ทวิตเตอร์ นักการตลาดควรต้องคิดว่า ทำอย่างไรถึงให้ช่องทางที่สร้างขึ้นเหล่านี้ สามารถเชื่อมโยงและทำการตลาดร่วมกันได้ ต้องนำไปสู่การครีเอทแคมเปญใหม่ๆ ได้

2. เฟซบุ๊ค ช่องทางสื่อสารที่เนื้อหอม เมื่อเฟซบุ๊คเปรียบเสมือนสมรภูมิที่มีอิทธิพลสำหรับนักการตลาด เพราะความนิยมใช้เป็นทั้งช่องทางโฆษณา และการตลาด แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลกยังคงแข่งขันกันด้วยจำนวนแฟนบนเฟซบุ๊คผู้บริหารควรวิเคราะห์การวัดผล และวางกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับแฟนพันธุ์แท้ที่เป็นลูกค้าตัวจริง อีกทั้งต้องมีมาตรการคัดสรรและสื่อสารกับลูกค้าโดยคำนึงถึงคุณภาพมากกว่าจำนวน

ข้อเท็จจริงที่ถูกมองข้ามเสมอ คือ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ใช่ของฟรี หรือของดีราคาถูก ยิ่งการพัฒนาแอพพลิเคชั่นมากขึ้นของเฟซบุ๊คอย่างเฟซบุ๊ค ช้อป หรือเฟซบุ๊ค เมสเสจจิ้งและอีกมากมายที่กำลังจะปรากฏออกมาเร็วๆ นี้ ย่อมหมายถึง สื่อทรงพลังนี้จำเป็นต้องมีคนมาดูแลบริหารจัดการรับมือและโต้ตอบกับผู้คนที่เข้ามาได้อย่างมืออาชีพในทุกๆ ด้านและตลอดเวลา

3.แบรนด์ เอ็นเกจเมนท์ (Brand Engagement) หรือพลังมัดใจสร้างแฟนพันธุ์แท้ นักการตลาดต้องทำงานหนักเพื่อผูกใจกลุ่มเป้าหมายให้สนใจติดตาม และจดจำแบรนด์ได้มากกว่าคู่แข่ง ด้วยกลยุทธ์ที่แยบยล โดนใจ เข้าถึง ดึงดูดและต่อเนื่องกับผู้บริโภคผ่านทางการตลาดออนไลน์ การสร้างแคมเปญไมโคร ไซต์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถูกใจ และให้ความบันเทิง จะสามารถสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะนำไปสู่แรงผลักดันการตัดสินใจซื้อสินค้าในที่สุด โดยปีหน้าเทรนด์สำคัญที่จะมาแรง นักการตลาดจะหันมาใช้วีดิโอออนไลน์ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น

"เราจะเห็นฟีเจอร์บนโซเชียลมีเดียที่มีบทบาทสร้างแบรนด์ เอ็นเกจเมนท์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียหลักอย่างเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ที่พัฒนาฟังก์ชันกันอย่างไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะเป็นการแนบภาพ การแนบวีดิโอโฆษณาสินค้า บริการ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์นักการตลาดได้"

4.อีคอมเมิร์ซ และ โซเชียลคอมเมิร์ซมาแรง แน่นอนว่าการค้าปลีกออนไลน์ รีเทล อี-คอมเมิร์ซ และการค้าบนเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือโซเชียล คอมเมิร์ซ จะมาแรง ถือได้ว่าปีหน้าจะเป็นปีคิก-ออฟของร้านค้าออนไลน์ทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ของไทย และจำนวนของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมั่นใจกับการจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์มีมากขึ้น นับเป็นช่องทางที่เป็นยุทธศาสตร์การแข่งขันที่น่าจับตามอง เพราะการปิดการขายและชำระเงินได้ทันทีย่อมเป็นเป้าหมายในฝันของธุรกิจส่วนใหญ่

"เจ้าของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรูปแบบต่างๆ จึงต้องมีความสามารถเรื่องการพัฒนาช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ ได้ง่าย ตอบโจทย์การบริหารจัดการและวางแผนการขาย การสต็อกสินค้า และการขนส่งที่แม่นยำ รวมถึงการให้ความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้ ขณะเดียวกันเราจะเห็นร้านค้าออนไลน์แบบโซเชียล คอมเมิร์ซ ที่เข้ามาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น"

5.พลิกโฉมออนไลน์โปรโมชั่น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสีสันมากขึ้น เมื่อนักการตลาดที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมารุกตลาดเพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ อย่าง "Collective Buying Power" ที่นำโดยโซเชียล ดิสเคาท์ (Social Discount) ที่เกิดขึ้นในแคมเปญต่างๆ ทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วของแบรนด์ที่ตอบสนองพลังการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคได้

นอกจากนี้การทำออนไลน์โปรโมชั่นปีหน้าสำหรับร้านค้าออนไลน์จะทวีความเข้มข้น เนื่องจากมีทั้งรายเล็กรายใหญ่เข้ามาแชร์พื้นที่ จะได้เห็นความถี่ในการทำโปรโมชั่นประเภท one-day-deal, weekend deal, friend & family deal มากขึ้น สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่พัฒนาระบบฐานข้อมูลซีอาร์เอ็มอย่างเป็นระบบ จะได้เปรียบในการสร้างโปรโมชั่นเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย (Personalized Deal)

6.สมาร์ทโฟน ไอแพด แทบเล็ต ตัวสร้างประสบการณ์รับรู้ มีอิทธิพลในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานและการรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคอย่างคาดเดาได้ยาก นักการตลาดจึงต้องเข้าใจ และเลือกใช้เทคนิคการสื่อสารและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ให้เหมาะสม เพื่อทำการตลาดอย่างประชิดติดตัวแก่ผู้บริโภค

7. แบรนด์เพิ่มการลงทุนสร้างแอพพลิเคชั่น แนวโน้มนี้ จะพบว่า แบรนด์พากันทุ่มเทงบประมาณมากขึ้นในการสร้างสรรค์แอพ (แอพพลิเคชั่น) บนอุปกรณ์ดีไวซ์ใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเน้นลักษณะของแอพฯ ที่มีเป้าหมายการใช้งานต่างกันมารวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน

ยกตัวอย่าง เช่น รูปแบบของคอมเมอร์เชียล แอพ ทำหน้าที่อัพเดทข้อมูลด้วยการส่งตรงไปยังผู้บริโภค โดยเชื่อมโยงไปสู่ข้อมูลบนเว็บไซต์, อี-แม็กกาซีน อี-แคตตาล็อก ที่ใช้ลักษณะเด่นของสื่ออินเตอร์แอคทีฟ และริช มีเดีย คอนเทนท์ ทำให้เนื้อหาน่าประทับใจชวนติดตาม, ชอปปิง แอพ และจีโอ-โลเคชัน แอพ ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด รวมไปถึงโซเชียล โมบายเกม แอพที่ได้เปรียบในความนิยมของเกมและบันเทิงที่เข้าถึงได้กับทุกกลุ่ม

และ 8.จับตามอง 3 ยักษ์ใหญ่ Google-Apple-FaceBook จะเป็นออนไลน์ แอดเวอร์ไทซิ่ง และมาร์เก็ตติ้ง แพลตฟอร์ม ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์มาตอบสนองความต้องการไม่รู้จบของประชากรบนโลกออนไลน์ได้อย่างชาญฉลาด การวางแผนบริหารสื่อ (Media Strategy & Planning) จะต้องเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากเดิมและทวีความเข้มข้นมากขึ้น การอัพเดทความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีและการเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเป็นสิ่งท้าทายของนักการตลาดเป็นอย่างมาก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

ตัน ภาสกรนที โตอย่างไผ่

กลับไปเล่นน้ำเทศกาลสงกรานต์กับครอบครัวที่ชลบุรีปีนี้ “กระบอกข้าวหลาม” ของฝากข้างทาง จุดประกายให้ผมนึกถึงปรัชญาธุรกิจ “โตอย่างไผ่”
ที่ตั้งใจเก็บมาฝาก เล่าสู่กันฟังครับ

มองเผินๆ กระบอกข้าวหลามจากต้นไผ่ ต้นไม้ลำไม่ใหญ่แถมข้างในเป็นโพรง กิ่งของมันไหวเอนไปตามลม ดูไม่น่าจะแข็งแกร่งแต่กลับแข็งแรงมากกว่าที่เราคิด

ไผ่อายุยืน โตเร็วและทนทาน ขยายพันธุ์จากกอไผ่ต้นน้อย แข่งกันแตกหน่อเติบโตเป็นกอใหญ่ ลำต้นแข่งขันสูงใหญ่ขึ้นไปจนใครๆ มองเห็นทั่ว

ยิ่งแข่งกันสูงใหญ่รับแสงจากดวงอาทิตย์ กอไผ่ยิ่งเติบโต ขยายอาณาจักรของมันออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะสังคมของต้นไผ่แข่งขันกัน แต่ไม่ทำลายกัน

ไผ่หลายกอเติบโตรวมกันยามเมื่อลมพายุแรงๆ พัดใส่ ไผ่กอใหญ่กอนี้จึงแข็งแกร่ง ไม่ล้มหักโค่นลงง่ายๆ

ในความคิดของผม ไผ่จึงยืนหยัดเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงที่สุดท่ามกลางการแข่งขันและอยู่รอด

การโตแบบกอไผ่เคยเป็นกลยุทธ์ที่ผมนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ผมเริ่มต้นทำธุรกิจบนแนวคิด “ใหม่” แตกขยายร้านใหม่ออกไปบนทำเลเดียวกัน ด้วยเป้าหมาย ฝันอยากจะสร้างถนนสายวิวาห์ให้เบ่งบานที่ทองหล่อ เหมือนๆ ที่เกิดขึ้นบนถนนสายทองคำที่เยาวราช

ครั้งแรกที่ผมชวนพนักงานที่เก่งๆ แล้วในร้านแรกออกไปเปิดร้านใหม่แห่งที่ 2 “คุณแมว” หุ้นส่วนคนแรกของผม หวั่นใจไม่น้อยว่าจะเกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันเองหรือไม่

แต่ผมยังคงยืนยันนโยบายเดินหน้าร่วมทุนเปิดร้านใหม่ๆ ให้โอกาสคนเก่งๆ ก้าวออกไปโตเปิดร้านใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่จะร่วมหุ้นเปิดร้านใหม่ บรรดาหุ้นส่วนร้านเดิมทั้งหมดจะสามัคคีกันเป็นแนวร่วมทักท้วง ส่วนรายล่าสุดก็มักจะขอยื่นคำขาดแกมขอร้องว่าให้ผมหยุดที่ร้านเขาเป็นร้านสุดท้ายจะได้ไหม

วันหนึ่งผมเลยต้องเรียกประชุมหุ้นส่วนทุกร้านมาคุยพร้อมกันหมด แจกแจงให้ฟังถึงแนวคิดการทำธุรกิจ เปรียบเทียบให้เห็นถึงการโตอย่างต้นไผ่

ขอให้แต่ละร้านแข่งขันกันเต็มที่ แต่อย่าทำลายกัน ให้แข่งกันที่ความขยัน แข่งกันที่การลดต้นทุน แข่งกันบริการให้ดีที่สุด ใช้การแข่งขันดึงดูดลูกค้า สร้างบรรยากาศตลาดให้คึกคัก

เครือข่ายธุรกิจแบบแข่งขันกันแต่ยังช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เปรียบเหมือนเป็นกอไผ่ที่ยิ่งแตกก็ยิ่งเติบโต

ในที่สุดตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ในบัญชีก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้หุ้นส่วนยอมรับว่าการมีร้านมากขึ้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขายเดิม ตรงกันข้ามกลับเป็นจุดขายที่ทำให้ตลาดยิ่งโตกว่าเดิม

มองย้อนกลับไปวันนี้แม้ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานอาจจะไม่ได้บูมเหมือนยุคขาขึ้นในอดีต แต่การที่เรายังยืนหยัดสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานจนถึงปัจจุบัน

ผมถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็น “ตัวจริง” ในสังเวียนธุรกิจที่ยังยืนหยัดอยู่ได้บนถนนสายเวดดิ้งในทองหล่อ

วันนี้ กลยุทธ์โตอย่างไผ่ยังเป็นโมเดลที่ผมหยิบมาใช้อีกครั้งกับธุรกิจใหม่ร้านราเมนแชมเปี้ยน อารีน่า ทองหล่อซอย 10

โมเดลที่รวมเอาสุดยอด 6 ร้าน “ราเมน” ต้นตำรับมาต่อกรเปิดแข่งกันในพื้นที่เดียวกัน แทนที่จะมองว่าแย่งกันลูกค้า กลับยิ่งช่วยสร้างความคึกคักให้อารีน่ากลายเป็นทำเลนัดพบประสบการณ์ความอร่อยแห่งใหม่ เพราะมีความหลากหลายเมนูและบริการให้ลูกค้าได้เลือกสรรในที่เดียว

นอกจากราเมนทั้ง 6 ร้านจะขายดีแล้ว ร้านช็อกโกแลตและไอศกรีมอย่าง Melt me ก็พลอยคึกคักขึ้นไปด้วย

เมื่อ “การแข่งขัน” กลายมาเป็น “จุดขาย” ทางเลือกใหม่ๆ สำหรับลูกค้า..ยิ่งแข่ง ก็ยิ่งโตครับ

ที่มากรุงเทพธุรกิจออนไลน์

อสังหาฯเฮกู้บ้าน0%นาน2ปี

ธอส.ยันไม่มีล็อกคิวขอสินเชื่อ
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึง โครงการบ้านธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปีว่า ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์มากและทำให้ตลาดกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง รวมทั้งส่งผลดีให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านใหม่อย่างแท้จริง ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่สุดของไทย ในสัดส่วนมากกว่า 70% คาดว่าในสิ้นปีนี้ ภาพรวมยอดการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจะอยู่ที่ 140,000-150,000 ยูนิตในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จากเดิมคาดว่าตลาดจะมียอดการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 120,000 ยูนิต หลังจากมีปัจจัยลบกระทบต่อตลาดทั้งราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ทำบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมที่เปิดให้จองภายในปีนี้อาจจะไม่ได้รับผลดี เนื่องจากการก่อสร้างคอนโด มิเนียมระดับสูงต้องใช้เวลา 2-3 ปีที่อาจจะไม่ทันกับมาตรการที่กำหนดให้จองได้จนถึงสิ้นปีนี้ และต้องโอนบ้านภายในเดือน เม.ย. 55

ขณะเดียวกัน ประเมินว่า มาตรการดังกล่าว ยังทำให้การแข่งขันในตลาดสินเชื่อของไทยรุนแรงมากขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์ ต้องเตรียมออกแคมเปญสินเชื่อบ้านเข้ามาแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดบ้านในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่เป็นตลาดใหญ่สุดเช่นกัน แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าธนาคารพาณิชย์ จะออกแคมเปญสินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1-2 ปีหรือไม่ ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 1-2 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมประมาณ 20,000 ยูนิตในเขต กทม.และปริมณฑล ติดลบ 30% จากปีก่อน เป็นผลมาจากไม่มีมาตรการมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การออกมาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโตได้ดีขึ้น และทำให้ให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจที่จะเร่งลงทุนโครงการใหม่ออกมา เพราะส่งผลให้อารมณ์ในการอยากซื้อบ้านของลูกค้ามีมากขึ้น หลังจากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าไม่มีอารมณ์ในการซื้อบ้านมากนัก เนื่องจากกังวลต่อราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่า หลังจากออกมาตรการแล้ว จะทำให้ตลาดรวมคอนโดมิเนียมในปีนี้มียอดการจดทะเบียนรวม 60,000 ยูนิต อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดมียอดการจดทะเบียนรวม 10,000 ยูนิต อยู่ในระดับที่ติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะปัญหาราคาบ้านที่สูงขึ้น ทำให้ลูกค้าบางส่วนที่ต้องการซื้อบ้านได้รับผลกระทบ ประกอบกับในปีก่อนมีมาตรการกระตุ้นตลาด โดยประเมินว่า ในเบื้องต้น การไม่คิดค่าธรรมเนียมและค่าจดจำนอง จะทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านในระดับราคา 1 ล้านบาท ได้รับส่วนลดในระยะเวลา 2 ปี ประมาณ 150,000 บาท แบ่งเป็น อัตราดอกเบี้ยที่ได้ลดปีละประมาณ 60,000 บาท และอีก 30,000 บาท มาจากการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง และค่าโอน

นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารเตรียมความพร้อมรองรับการแห่ขอกู้เงินของประชาชนในโครงการบ้านธอส.เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ที่จะเริ่มวันที่ 9 พ.ค.นี้ไว้แล้ว โดยที่สำนักงานใหญ่คาดว่าจะรองรับผู้มาลงทะเบียนกู้ได้มากกว่า 100 คน หากเตรียมเอกสารพร้อมรับบัตรคิว จะใช้เวลาคนละ 10-15 นาทีเท่านั้น และใช้เวลาอนุมัติ 7 วันตามเกณฑ์ คาดว่าจะช่วยให้ประชาชนมีบ้านไม่ต่ำกว่า 20,000 ครอบครัว โดยเชื่อว่าวงเงินดังกล่าวไม่น่าจะหมดลงภายใน 1-2 วันแรก แต่น่าจะใช้เวลานานถึง 1-2 เดือน เพราะได้กำหนดคุณสมบัติกรองไว้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะกู้ได้ทุกราย โดยธนาคารให้เวลายื่นกู้ได้จนถึงสิ้นปีนี้

สำหรับเงื่อนไขหลัก คือ ต้องกู้ซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านใหม่ เป็นบ้านมือสอง หรือสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จากสถาบันการเงินได้ด้วย กู้ร่วมกับบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแล้วได้ แต่สามีภรรยาไม่สามารถกู้ซื้อบ้านอีกหลัง เพราะถือเป็นบุคคลเดียวกัน ทั้งนี้วงเงิน 25,000 ล้านบาทนั้น จะแบ่งสัดส่วนให้กู้ราคาบ้านต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทสัดส่วน 60-70% ที่เหลือราคาสูงกว่านี้ แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท.
ที่มา เดลินิวส์

ค้น 'อาชีพ' ตลาดต้องการ แนะเทคนิคก้าวสู่ความสำเร็จ

ในช่วงใกล้เปิดเทอมเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ สำหรับผู้ที่ต้องศึกษาต่อคงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์การเรียนให้พร้อม ขณะเดียวกันผู้ที่เรียนจบแล้ว หรือว่าที่บัณฑิตใหม่ภาระหน้าที่ที่ต้องทำต่อไปคงหนีไปพ้นการมองหางานที่ตนเองถนัด และสนใจ ก้าวสู่ชีวิตใหม่...คนทำงาน
เพราะงานทุกประเภทล้วนมีคุณค่า ช่วยเพิ่มทักษะเติมต่อประสบการณ์จากการเรียน อีกทั้งยังนำมาซึ่งรายได้ หากไม่เลือกรอคอยงาน โอกาสจะได้งานทำนั้นอยู่ไม่ไกล บุญเลิศ ธีระตระกูล ผู้อำนวยการกองวิจัยตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตลาดแรงงานเวลานี้จากแนวโน้มภาคการผลิตหลักซึ่งได้แก่

ภาคการเกษตร การอุตสาหกรรมและการบริการ แนวโน้มด้านการบริการมีการเติบโตมากกว่าทุกภาคการผลิต มีผู้ทำงานมากขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอาชีพในช่วงปี พ.ศ.2553-2557 ที่กองวิจัยตลาดแรงงานศึกษาโดยดูข้อมูลย้อนหลังกลับไป 9 ปี จากฐานข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ งานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาถึงอาชีพที่กำลังขยายตัวและอาชีพที่เริ่มลดถอยลงเพื่อประมาณการแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเภทอาชีพ อีกทั้ง เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการมีงานทำของประชาชนเพื่อเป็นข้อมูลให้แก่นักเรียน นักศึกษา คนหางานและประชาชนได้ใช้วางแผนอาชีพ

“จากการศึกษาจะเห็นว่าตำแหน่งงานภาคบริการ อย่างเช่น พนักงานขายของหน้าร้าน พนักงานสาธิตแนะนำสินค้ามีความต้องการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละสามแสนกว่าคน ขณะที่ผู้ขายสินค้าตามแผงร้านค้าในตลาดก็มีตัวเลขไม่น้อย ฯลฯ อีกด้านหนึ่งในภาคการเกษตรพวกไม้ผล พืชผัก ไม้ยืนต้น ไม้พุ่มก็มีตัวเลขเพิ่มขึ้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีภาคบริการอื่น ๆ ซึ่งแสดงว่าทิศทางด้านการบริการกำลังเติบโต”

นอกจากงานภาคการบริการ งานช่างที่มีหลากหลายแขนงก็ยังคงมีความต้องการสูงเช่นกัน อาทิ ช่างยนต์ ช่างเชื่อม ซึ่งถ้าเป็นช่างเชื่อมถังน้ำมัน ช่างเชื่อมเกี่ยวกับคอนกรีตรับแรงระดับสูง เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน ฯลฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญความชำนาญเฉพาะด้านเหล่านี้ก็เป็นที่ต้องการมากเช่นกัน

จากโครงสร้างการศึกษาหากดูที่ตัวเลข ไม่ใช่เพียงเฉพาะในมหาวิทยาลัย ในโรงเรียน ทุกอายุรวมกันสำหรับคนที่อยู่ในวัยทำงานอยู่ในตลาดแรงงานพบว่า มีทุกระดับ ขณะที่ตลาดแรงงานต้องการวิชาชีพทางด้านธุรกิจการค้า การบริการ เกี่ยวกับการช่าง แต่อย่างไรแล้วบัณฑิตที่จบการศึกษามาทางสายวิชาการ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บัณฑิตว่างงาน

จากประมาณการที่จะมีผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับขั้นเข้าสู่ตลาดแรงงานในปีนี้ ในระดับปริญญาตรี ซึ่งจะมีประมาณสองแสนกว่าคน ระดับ ปวช. 3 และ ปวส.รวมกันประมาณแสนคน ซึ่งมีอยู่น้อยแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกับตลาดงานและจากงานวิจัยยังแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องทั้งทางด้านความสามารถ วุฒิการศึกษา ฯลฯ

“โครงสร้างประชากรของเรากำลังไปสู่สังคมผู้สูงอายุคนรุ่นใหม่ไม่พอแทนที่คนรุ่นเก่า สภาพในวันนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ดีมานด์ซัพพลายทางด้านแรงงานก็มีความต่างกัน อีกทั้งตลาดงานในวันนี้ภาคบริการก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคการเกษตรเริ่มลดลง แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ว่างงานบ้านเราในภาพรวมยังคงไม่น่าห่วง”

ในส่วนของบัณฑิตจบใหม่จากข้อมูลพบว่ามีการผลิตสายวิชาการออกมามาก แต่ถ้าบัณฑิตไม่เลือกงานไม่กะเกณฑ์ว่าเรียนมาอย่างนี้แล้วต้องทำงานด้านนั้น รอและเลือกงาน คำตอบก็คือยังมีงานให้ทำ เพียงแต่ว่าจะเลือกหรือเปล่า ทั้งนี้เพราะบางคนมีทัศนคติว่าการไม่ได้ทำงานตามวุฒิไม่มีศักดิ์ศรี คิดไปว่าการว่างงานมีศักดิ์ศรีดีกว่า ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง

’ทัศนคติของบัณฑิตสิ่งนี้มีความสำคัญควรปลูกฝังเยาวชนให้มีเป้าหมายในชีวิต สู้ชีวิต ซึ่งหากพบความต้องการในชีวิตแล้ว มีความมุ่งมั่นมานะพยายามไปให้ถึงก็จะประสบความสำเร็จได้และเมื่อจบการศึกษาการมีงานทำถือเป็นเกียรติศักดิ์ศรี สิ่งนี้ควรจะส่งเสริมปลูกฝังยกย่อง สร้างทัศนคติค่านิยมให้มองเห็นคุณค่าของการทำงานกันยิ่งขึ้น“

ขณะที่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญควรมีเป้าหมายรู้จักตนเองว่ามีความต้องการอะไร การค้นเจอตนเองเร็วก็จะยิ่งไปถึงสิ่งที่มุ่งหวังประสบความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผู้ปกครองสามารถเป็นแรงเสริมสนับสนุนให้กับเด็ก ๆ ได้

แต่อย่างไรแล้วไม่ว่าจะเรียนอะไร สิ่งสำคัญอยู่ที่ความเชื่อมั่น มีเป้าหมายในชีวิตซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะเป็นทางออกที่จะไม่ทำให้เคว้งคว้าง ไม่มีงานทำ นอกจากนี้ในการรองรับนักศึกษาที่จะจบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางานได้เตรียมจัดวันนัดพบแรงงานโดยปีนี้ในกรุงเทพมหานครจะมีขึ้นที่กระทรวงแรงงานในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นักศึกษาจบการศึกษา

ขณะเดียวกันกรมการจัดหางานยังมีสำนักงานจัดหางานจังหวัดอยู่ทั่วประเทศผู้ที่ประสงค์ทำงานก็สามารถสมัครได้โดยมีอีกหลายตำแหน่งที่รอรับอยู่ อีกทั้งมีการฝึกอบรมระยะสั้นหลายหลักสูตรเพื่อเติมต่อทักษะประสบการณ์ ฯลฯ

ส่วนทางด้านอาชีพอิสระจะเห็นว่าได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไรก็ตามคงต้องมีความเชี่ยวชาญและการจะได้งานทำหรือก้าวเดินในชีวิตการทำงานอย่างมั่นใจไม่สะดุดนั้นทั้งหมดนี้เริ่มได้จากตัวเอง ค้นเจอในสิ่งที่ถนัดสนใจ เด็ดเดี่ยวในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤติใดก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดีได้ในที่สุด.

6 ข้อไม่ควรปฏิบัติในการสัมภาษณ์งาน

ก่อนสัมภาษณ์จะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งต้องตรงต่อเวลานัดหมาย โดยควรไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัดหมายประมาณ 10-15 นาที ควรเตรียมข้อมูลทั้งข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลตำแหน่งงานและหน่วยงานที่จะไปสมัครรวมถึงความรู้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะที่หลากคำถามที่ปรากฏในใบสมัครอาจกลายเป็นข้อสัมภาษณ์ดังนั้นควรกรอกตามความเป็นจริง ส่วนสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการสัมภาษณ์นั้น 1. ไม่ควรรับนัดสัมภาษณ์วันละหลาย ๆ แห่งเพราะอาจเกิดเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถไปได้หรือเกิดความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย 2. ไม่ควรนำพ่อ แม่และเพื่อนไปสัมภาษณ์ด้วย เพราะผู้สัมภาษณ์อาจมีความรู้สึกว่าผู้สมัครไม่มีความมั่นใจในตัวเอง 3. ไม่ควรแสดงอาการประหม่า หากตื่นเต้นควรสูดหายใจลึก ๆ ทำใจให้สบาย 4. ไม่ควรสวมแว่นกันแดด 5. ไม่ควรแสดงอาการกระตือรือร้นว่าอยากได้งานจนไม่เหมาะสม พึงนึกเสมอว่าเรามีข้อดีจนงานต้องการเราไม่ใช่เราต้องการงานเพียงฝ่ายเดียว และ 6. ไม่ควรแย่งพูดขณะตั้งคำถามและไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง.

ทีมวาไรตี้
ที่มา เดลินิวส์

คลังบทความของบล็อก