มีความต้องการสูงทองคำคาดว่าจะทะลุ 1,500 ดอลลาร์

ปัจจัยที่ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จนทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนในเวลานี้เกินระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาเงินที่พุ่งสูงทำสถิติในสัปดาห์นี้เช่นเดียวกัน
เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ เสถียรภาพของเงินตรา และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาทิ วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อในจีน ยิ่งทำให้ความต้องการทองคำมีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เวลานี้มีทองคำอยู่ในกองทุน exchange-traded รวมทั้งสิ้น 2,111 เมตริกตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 1.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อคำนวณจากราคาปัจจุบัน
การที่ทองคำได้รับความสนใจมากขึ้นส่งผลให้ราคาขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อราคาทองเพิ่มขึ้นความต้องการก็ยิ่งสูงตามไปอีก ในปี 2553 เพียงปีเดียว ทองคำมีราคาเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30% อย่างไรก็ดีในเวลานี้ราคาทองสูงขึ้นมาถึงระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญบางรายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าแนวโน้มราคาทองจะอ่อนตัวลงหรือไม่ "นักลงทุนจะเชื่อว่าราคาทองสูงเพียงพอแล้ว และรอก่อนจะลงทุนครั้งใหม่หรือไม่ นี่จะเป็นคำถามสำคัญ" จอร์จ เกโร รองประธานของอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ โกลบอล ฟิวเจอร์ส ให้ความเห็น
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20 เม.ย.) ราคาทองคำซื้อขายล่วงหน้าในตลาดโคเม็กซ์ที่จะส่งมอบในเดือนเมษายน พุ่งสูงถึง 1,505.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,498.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสัญญาซื้อขายทองคำที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดเป็นของงวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ซึ่งปิดตลาดที่ 1,498.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากพุ่งทำสถิติในระดับ 1,506.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ความต้องการซื้อขายทองคำล่วงหน้าซึ่งราคามีความสัมพันธ์กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้ทองดูเหมือนมีราคาถูกลงในสายตาของนักลงทุนนอกสหรัฐฯ นักลงทุนนิยมซื้อทองเพื่อใช้ประกันความเสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงิน จากประวัติศาสตร์ที่ทองเคยทำหน้าที่เป็นตัวเลือกเข้ามาทดแทนเงินตรา
การเพิ่มขึ้นของทองคำในกองทุน exchange-traded ส่งผลดีต่อราคาทอง เพราะช่วยทำให้การซื้อขายและจัดเก็บทองคำจริงๆ ของนักลงทุนรายย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เอสดีพีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ กองทุนลักษณะดังกล่าวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เวลานี้มีทองคำอยู่ในมือประมาณ 1,230 เมตริกตัน และเป็นเจ้าของทองในปริมาณมากเป็นอันดับ 4 รองจากธนาคารกลาง 3 แห่ง
จนถึงตอนนี้ ราคาทองในตลาดอยู่ในราคาที่สูงมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่ผิดกับช่วงทศวรรษ 1990 ที่การลงทุนในทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่สวนกระแส
ด้านราคาซื้อขายเงินล่วงหน้าก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำ โดยสัญญาซื้อขายงวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหวสูงที่สุด ปิดตลาดที่ 44.461 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากสร้างสถิติสูงสุดที่ 45.400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาดังกล่าวทำลายสถิติเดิมที่ 41.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2523

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,629 24-27 เมษายน พ.ศ. 2554

"กฤษฎา อุทยานิน" ไขข้อข้องใจ "กองทุน" การออมแห่งชาติ

ในอีก 1 ปีข้างหน้า ชื่อของ "กองทุนการออมแห่งชาติ" หรือ กอช. คงจะเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเหมือนกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เพราะเป็นการออมอีกทางเลือกของการประกันรายได้เพื่อชราภาพ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับประมาณ เม.ย. 2554 หรือ 360 วัน นับตั้งแต่ พ.ร.บ.พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ได้ลงราชกิจจานุเบกษา แต่ขณะนี้กฎหมายอยู่ในขั้นตอนรอโปรดเกล้าฯ
ดังนั้น เพื่อทำความรู้จักกับ กอช. และสิทธิประโยชน์ที่ผู้เป็นสมาชิกควรรู้ในเบื้องต้น "ประชาชาติธุรกิจ" จึงได้สัมภาษณ์ "นายกฤษฎา อุทยานิน" ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) หนึ่งในทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาโดยตลอด ได้ตอบทุกคำถามที่ข้องใจ

- กลุ่มเป้าหมายสมาชิก กอช.คือใคร

ผู้มีสิทธิเป็นสมาชิก กอช.คือ แรงงานที่ไม่มีนายจ้าง อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปี ยกเว้นปีแรกผู้ที่อายุเกิน 60 ปีสามารถเป็นสมาชิกได้ ทั้งหมดนี้ครอบคลุมแรงงาน 30-40 ล้านคน ซึ่งช่วงแรกของการเปิดรับสมาชิกคิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นเกษตรกรในชนบท และกลุ่มการออมในชุมชนต่าง ๆ เพราะเท่าที่ลงพื้นที่ 7-8 ครั้งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยกลุ่มการออมของชุมชนต่าง ๆ มองว่า กอช.เป็นของแถม คือปกติออมกันเองไม่มีใครสมทบ เมื่อมี กอช.ก็จะออมมากขึ้น และนำเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นไปออมกับ กอช.ซึ่งได้เงินสมทบจากรัฐบาลด้วย
- ทำไมต้องจำกัดเงินออม 50-1,100 บาท

ที่จำกัดการออมเพราะต้องการให้รัฐบาลไปการันตีว่าจะจ่ายผลตอบแทนไม่ให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง อีกเหตุผลหนึ่งคือ รัฐบาลมีภาระต้องจ่ายเงินสมทบ ซึ่งจากการคำนวณเบื้องต้นพบว่า หากประชาชนคนไทยวิ่งเข้าโครงการนี้ทั้งหมด รัฐบาลจะต้องใช้เงินประมาณ 33,000 ล้านบาทต่อปี ถือว่ามากพอสมควรสำหรับรัฐบาลไทยที่มีเงินไม่มากนัก

นอกจากนี้ การที่กำหนดขั้นต่ำเพียง 50 บาทต่อเดือน เพื่อให้นับหนึ่งหรือเป็นจุดเริ่มต้นของการออมอย่างแท้จริง คือออมสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ตัวเลขนี้สามารถปรับแก้ไขได้ โดยกฎหมายเขียนไว้ว่าสามารถทบทวนได้ทุก 5 ปี โดยจะพิจารณาจากเงินเฟ้อ และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

- ผลตอบแทนที่สมาชิกจะได้รับ

รัฐบาลการันตีจะจ่ายผลตอบแทนไม่ให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง แต่ในทางปฏิบัติจริงคิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่านั้น โดยมีสมมติฐานว่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5% ซึ่งค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่ต้องยอมรับความจริงว่าตัวเลขนี้ยังไม่ได้หักเงินเฟ้อออก อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ในอดีต เช่น การบริหารกองทุนของ กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนประกันสังคม เขาบริหารจัดการได้ผลตอบแทน 6-8% ดังนั้นถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีด้วย

- บำนาญที่ได้รับจะพอยังชีพไหม

ขึ้นอยู่กับเงินที่ออม และอายุ ถ้า ออมน้อย หรืออายุมากก็อาจจะได้เงินบำนาญไม่พ้นเส้นความยากจน โดยการออมแต่ละช่วงอายุ และจำนวนเงินที่แตกต่างกัน (ดูตาราง) ก็จะได้รับเงินบำนาญไม่เท่ากัน เช่น ถ้าออมตั้งแต่อายุ 15-60 ปี เป็นเงิน 50 บาททุกเดือน จะได้บำนาญ 764 บาทต่อเดือน แต่ถ้าออม 1,100 บาททุกเดือน จะได้บำนาญ 10,795 บาทต่อเดือน

- ความเสี่ยงการบริหารเงิน กอช.

ทุกอย่างมีความเสี่ยง แต่ต้องบริหารจัดการไม่ให้เสี่ยงมากนัก ในช่วงแรกเชื่อว่าคณะกรรมการลงทุนของ กอช.จะระมัดระวังเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และพันธบัตรของรัฐบาลเป็นหลักคล้าย ๆ กับกองทุนประกันสังคมที่ลงทุนในตราสารหนี้ถึง 80% แต่ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะไม่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนของ กบข.ที่มีการลงทุนเสี่ยงมากกว่า

สุดท้าย นายกฤษฎามีความฝันว่า กองทุนจะเป็นพลังของชาติ เพราะกองทุนนี้จะโตเร็ว สมมติถ้าเกิดคนเข้าเป็นสมาชิก 50% ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด แล้วรัฐบาลสมทบด้วย ปีหนึ่งก็จะได้เงิน 50,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยเมื่อมีการบริหารจัดการที่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริง อีก 10 ปีจะเห็นกองทุนที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านล้าน และอีก 20 ปีอาจกลายเป็น 10 ล้านล้าน ทำให้กองทุนนี้จะเป็นพลังของชาติ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ขายประกันผ่านทีวีสไตล์ "ซิกน่าฯ" ปรับกระบวนการขาย-ปั้นโมเดลเจาะใจลูกค้า

ปัจจุบันการทำการตลาดภาพยนตร์โฆษณาช่องทางขายตรงผ่านโทรทัศน์ (Direct Response Television : DRTV) ของธุรกิจประกันกำลังเติบโตมาก ซึ่ง "ซิกน่าประกันภัย" ถือว่าเป็นบริษัท แรก ๆ ที่นำร่องทำการตลาดผ่าน ช่องทางนี้ และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เบี้ยกระโดดกว่า 100% สะท้อนความสำเร็จได้เป?นอย่างดี ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสได้พูดคุยกับ "อรนาฎ นชะพงษ์" ผู้จัดการการตลาดด้านช่องทางการตลาด บมจ.ซิกน่าประกันภัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์ DRTV ของซิกน่าฯมาตั้งแต่เริ่มต้น

จับเทรนด์ลูกค้าห่วงใยครอบครัว

อรนาฎเริ่มต้นเล่าว่า จากการสำรวจแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคในเวลานี้หันมามองความสำคัญและห่วงใยคนในครอบครัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ซิกน่าฯจึงจับแนวคิดนี้มาต่อยอดเป็นโปรดักต์หลักของปีนี้ด้วย "ซื้อ 1 ดูแล 2" ที่ให้ความคุ้มครองทั้งผู้ซื้อกรมธรรม์และบุคคลในครอบครัวด้วยอีก 1 คน ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ สามี ภรรยา หรือลูก ซึ่งสร้างจุดขายใหม่ของโปรดักต์ และลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ที่ "มากกว่า"

กลุ่มเป้าหมายหลักของโปรดักต์นี้จะเน้นที่วัยทำงานอายุ 30-45 ปี เพราะมีกำลังซื้อดี เป็นกำลังหลักของครอบครัว หลังจากออกอากาศมาได้ระยะหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่า ลูกค้าตอบรับค่อนข้างดี โทร.เข้ามาติดต่อที่คอลเซ็นเตอร์เฉลี่ย 300-400 สายต่อวัน จึงค่อนข้างมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้ซิกน่าฯสามารถสร้างเบี้ยจาก DRTV ในปีนี้ได้ถึง 140 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 40%

ขายประกันอย่าง "รู้จักลูกค้า"

นอกจากโปรดักต์ที่เป็นจุดขายแล้ว อรนาฎบอกอีกว่า หัวใจหลักอีกอย่างหนึ่งก็คือ "กระบวนการขาย" ที่รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ก่อนจะเลือกรูปแบบความคุ้มครองที่เหมาะสม ทำให้โอกาสในการปิดการขายได้เมื่อลูกค้าโทร.เข้ามาจึงค่อนข้างสูง ประมาณ 30% ของจำนวนสายที่โทร.เข้ามา

"กลยุทธ์การขายของเราไม่ได้มีแค่โปรดักต์เดียว แต่เราต้องมีโปรดักต์สำรองไว้นำเสนอเพิ่มเติม เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลแบบรายเดี่ยว ประกันชดเชยรายได้ หรือประกันสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งลูกค้าอาจซื้อเพื่อให้พ่อหรือแม่แทนก็ได้ ส่วนกรณีลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เราก็สามารถนำเสนอความคุ้มครองอื่น ๆ เสริมเข้าไปได้ เช่น ขยายเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ครอบคลุมได้ตั้งแต่อายุ 1-70 ปี"

ดังนั้น กระบวนการขายที่ตรงกับความต้องการลูกค้าจริง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การมีโปรดักต์ประกัน สุขภาพและอุบัติเหตุที่หลากหลาย ซึ่งอัตราต่ออายุเบี้ยประกันที่เกิน 4 เดือนขึ้นไปของซิกน่าฯสูงถึง 60-70% จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงกระบวนการขายผ่านช่องทาง DRTV อย่างมีประสิทธิภาพ

ชูโมเดลใหม่เพิ่มประสิทธิภาพ

แม้จะสามารถปิดการขายได้สูงถึง 30% ดังกล่าว แต่ในมุมมองของอรนาฎเองก็ไม่ได้ละทิ้งลูกค้าอีก 70% ที่ยังปิดการขายไม่ได้ เพราะถือเป็น "การบ้าน" ที่ทีมขายต้องมานั่งคิดต่อว่า จะนำเสนอขายโปรดักต์อะไรที่ตรงกับความต้องการลูกค้า โดยซิกน่าฯจะมีโมเดลการวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้า (Customer Value Management : CVM) มาช่วยอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นโมเดลที่ "ซิกน่าฯ" พัฒนาขึ้นมา และประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้สำหรับการขายในหลายประเทศมาแล้ว

"ลูกค้าบางรายอาจจะยังไม่ตัดสินใจซื้อในครั้งแรกก็ได้ เราอาจจะเว้นระยะไปอีก 1-2 เดือน วิเคราะห์ลูกค้าใหม่ หาโปรดักต์ที่น่าจะเหมาะสมกับลูกค้ามาตอบโจทย์ ซึ่งขณะนี้เรากำลังศึกษาระบบการขายใหม่ที่จะใช้โมเดล CVM เข้ามาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดต่อเข้ามาได้เลย เพื่อนำเสนอโปรดักต์ได้ตรง มากขึ้น โอกาสปิดการขายเพิ่มขึ้น และประหยัดเวลาด้วย"

รุก "เคเบิลทีวี-อินเทอร์เน็ต"

อรนาฎบอกว่า ปีนี้ซิกน่าฯยังเริ่มเข้ามาทำโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีอีกด้วย ซึ่งผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มลูกค้าที่สนใจบางรายการที่อยู่ในเคเบิลทีวี เช่น ข่าว สารคดี วาไรตี้โชว์ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สนใจซื้อประกันภัยเช่นกัน แม้ว่าวอลุ่มอาจจะไม่มากเท่าฟรีทีวี แต่ก็เป็นโอกาสที่จะขยายการรับรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และการแข่งขันยังน้อย

เช่นเดียวกับช่องทางอินเทอร์เน็ตที่ซิกน่าฯให้น้ำหนักมากขึ้น เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนวัยทำงานที่ชอบหาข้อมูล และเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของโปรดักต์แต่ละแบบก่อนจะตัดสินใจซื้อ น่าจะช่วยสร้างเบี้ยให้บริษัทได้อีก 15-20% จากเป้าหมายเบี้ยทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแผนจะออกประกันโรคมะเร็งมาชิมลางตลาดในประมาณไตรมาส 3 หากได้ผลตอบรับที่ดีก็อาจจะต่อยอดมาขายผ่าน DRTV ในอนาคตต่อไป

ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้นที่อรนาฎมองโจทย์สำหรับปีนี้เท่านั้น แต่ในระยะยาวอีก 4 ปีข้างหน้า เธอเชื่อมั่นว่าซิกน่าฯจะสร้างเบี้ยได้เติบโตขึ้นไปอีก 3 เท่าจากปัจจุบัน เพราะอัตราการ มีประกันภัยของคนไทยยังค่อนข้างต่ำ เพียง 16-20% เท่านั้น ดังนั้นตลาดนี้ จึงยังเปิดกว้างอยู่ และซิกน่าฯซึ่งมีประสบการณ์ในการทำตลาด DRTV จนประสบความสำเร็จมาหลายประเทศแล้ว ย่อมมีโอกาสมากขึ้นอย่างแน่นอน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ความ(ไม่)รู้เรื่องเศรษฐกิจ

ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เมืองไทยแลนด์ที่รักของผมและของคุณมีเศรษฐกิจดีหรือไม่

รู้อย่างเดียวว่า อาหารการกินแพงกว่าปีที่แล้ว

ของกินที่ผมชอบ เพิ่มราคาทั้งนั้น เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู แม้ข้าวแกงก็แพงขึ้น

เหตุที่ของกินราคาแพง ผู้รู้คนหนึ่งบอกผมว่า

เกิดจากเศรษฐกิจของโลก แปลว่า แพงไปทั้งโลก ไม่ได้แพงเฉพาะเมืองไทย สาเหตุใหญ่มาจากน้ำมันแพง ของกินก็ต้องแพงตาม

บางคนก็ว่าเหตุที่ค่าครองชีพของคนไทยสูงขึ้นก็เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ก็เหมือนกับสิงคโปร์ รัสเซีย และอีกหลายประเทศ

ประเทศใดก็ตาม ถ้าค่าครองชีพสูง ประเทศนั้นเศรษฐกิจดี เขาว่าอย่างนั้น

หลายคนด่ารัฐบาลว่า บริหารประเทศอย่างไร ทำให้ของกินแพง

แต่บางคน โดยเฉพาะเจ้าของสวนยางพารากลับพอใจที่ยางพาราราคาสูงกว่าทุกสมัยที่ผ่านมาทำให้มีเงินซื้อของแพงกิน

ทั้งราคาอาหาร และราคายางพารา อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล แปลว่า ของสองอย่างที่ว่านี้จะแพงหรือถูก ไม่ได้เกิดจากฝีมือของรัฐบาล มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ

ถูกแล้ว ผู้ใดมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้จะต้องพบกับอาหารแพง และยางพาราราคาสูงทั้งนั้น

ถ้ามองภาพรวมทั้งหมด แล้วไปถามฝ่ายรัฐบาลว่าปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจของไทยดีหรือไม่

“ดีมาก ๆ” ฝ่ายรัฐบาลจะต้องตอบอย่างนี้

หากไปถามฝ่ายค้านก็ต้องได้รับคำตอบตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

จึงเชื่อไม่ได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน หรือเชื่อตัวเองก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้

สำหรับผม ผมจะวัดว่าเมืองไทยเศรษฐกิจดีหรือไม่แบบมวยวัด คือ จากการสังเกต

วิธีสังเกตแบบของผม ทำได้ง่ายนิดเดียว เช่น เวลานั่งรถขึ้นทางด่วน ผมจะมองป้ายโฆษณาและตึกสูง

สมัยที่เมืองไทยยุคฟองสบู่แตก

สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่ามีตึกร้าง และตึกที่ก่อสร้างคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ตึกที่สร้างเสร็จแล้ว บางชั้นก็ปิดไฟมืด เพราะไม่มีคนอยู่

ป้ายโฆษณาริมทางด่วนก็มีแต่โครงเหล็กขึ้นสนิม

ทว่าในปัจจุบัน ตึกร้าง ตึกที่ก่อสร้างค้างอยู่แทบไม่มีเลย มีแต่ตึกสูงที่ก่อสร้างขึ้นมาใหม่มากเหลือเกิน โดยเฉพาะริมถนนคู่ขนานไปกับรถไฟฟ้า

โครงเหล็กที่ติดตั้งป้ายโฆษณาก็ปิดป้ายโฆษณาเต็มทุกป้าย แทบไม่มีโครงเหล็กว่างให้เห็น

บนถนนของกรุงเทพฯ ผมจะพบเห็นรถเก๋งป้ายแดงมากเหลือเกิน โดยเฉพาะรถขนาดเล็ก

บังเอิญว่า งานมอเตอร์โชว์เพิ่งจัดผ่านไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ เจ้าของงานคือคุณปราจิน เอี่ยมลำเนาให้ข่าวสื่อมวลชน สรุปได้ว่า

ปีนี้มีคนสั่งซื้อรถมากกว่าปีที่แล้ว และมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา

คนสั่งซื้อรถมีถึงสามหมื่นกว่าคัน คิดเป็นเงินห้าหมื่นกว่าล้านบาท

มิน่ารถป้ายแดงจึงแล่นเพ่นพ่านทั่วกรุง

รถเก๋ง รถปิกอัพ ในเมืองไทยขายดี โดยเฉพาะภาคใต้ของไทยขายรถปิกอัพได้มากคันติดอันดับโลก เพราะราคายางพาราเป็นต้นเหตุ

ถ้าอุทกภัยไม่มาทำให้หยุดชะงัก เศรษฐกิจของคนภาคใต้คงไปได้ดีกว่านี้

ที่ศูนย์การค้าที่ผมไปซื้อของและนั่งจิบกาแฟเขียนหนังสือเป็นประจำนั้น

มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของมากเหลือเกินโดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์

เมื่อสามปีที่แล้ว ศูนย์การค้าแห่งนี้มีขนาดไม่ค่อยใหญ่โตอะไรมากนัก ปัจจุบันได้ขยายเนื้อที่กว้างขึ้น ทั้งขายของ ขายอาหาร แล้วยังเพิ่มโรงภาพยนตร์เข้าไปอีก

ที่ถนนหน้าหมู่บ้านของผมซึ่งถือเป็นย่านบันเทิงแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันมีแหล่งบันเทิงประเภทคาราโอเกะ โรงนวด ร้านอาหารเพิ่มขึ้นเหมือนดอกเห็ด

เนื่องจากระยะนี้เป็นหน้าร้อน สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลจึงคึกคักทั่วภาคใต้

นักท่องเที่ยวมีทั้งคนไทย คนเทศ ที่สนามบิน พบว่ามีคนไทยพากันไปเที่ยวต่างประเทศมากเหลือเกิน

ขณะเดียวกัน คนต่างประเทศก็มาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น สังเกตจากงานสงกรานต์ปีนี้ มีฝรั่งปะปนอยู่กับคนไทยเล่นน้ำสงกรานต์มากเป็นพิเศษ

เมื่อพูดถึงงานสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านมานี้ นับได้ว่าคึกคักและครึกครื้นกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา

ผู้คนพากันออกมาเล่นน้ำสงกรานต์กันเต็มถนน เต็มวัด ทั่วประเทศ

เป็นการฉลองสงกรานต์ที่มีใบหน้าบอกให้รู้ว่ามีความสุข

ถ้ามองงานสงกรานต์รู้ได้ทันทีว่าความสุขกำลังกลับมาสู่เมืองไทยอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ข้อสังเกตของผมดังกล่าวข้างต้น จึงน่าจะยืนยันได้ว่า เมืองไทยเศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน นี่ขนาดบ้านเมืองไม่ปกติ ไม่งั้นเศรษฐกิจคงจะดีกว่านี้

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมืองไทยจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะต้องต่อสู้กันมันหยด เพราะฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้อีกหน

ส่วนฝ่ายค้านจะต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อต้องการพา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทยโดยไม่ต้องติดคุก

ช่วงระยะหาเสียงการเงินต้องสะพัดมากขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอีก จากการทุ่มเงินของนักการเมืองนั่นเอง.


ไมตรี ลิมปิชาติ
ที่มา เดลินิวส์

ศึกษาอนาคตตลาดเพชร-พลอย ตามรอย'งานแสดงอัญมณีโลก' ที่ฮ่องกง

นับถอยหลังไปราว 5 ปี ก่อนหน้านี้ งานแสดงสินค้าอัญมณีที่ฮ่องกง มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมงานกันอย่างหนาแน่น รวมถึงงานล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่เพิ่งผ่านไป เหตุผลหนึ่งอาจเป็นผลมาจากรัฐบาลฮ่องกงยกเว้นภาษี แต่ที่สำคัญสุดก็เนื่องเพราะลูกค้าจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากจะทะลักเข้ามาร่วมงานนี้ไม่ขาดสาย

จากข้อมูลที่ได้รับจากผู้ประกอบการไทยที่มาออกร้านในงานแสดงสินค้าอัญมณีที่ฮ่องกงนี้พบว่า งานแสดงสินค้าอัญมณีในไทยชาวต่างชาติเข้าไปเลือกซื้อน้อยลง จนส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายทยอยปิดตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการอย่าง เคนเนธ สคาแรทท์ ชาวอังกฤษที่เดิมเป็นทหารในกองทัพผ่านสงครามศาสนามาสามครั้ง จนตำแหน่งสุดท้ายทางราชการเป็นทหารรักษาเครื่องเพชรของพระราชินี หลังจากนั้นได้ศึกษาศาสตร์อัญมณีเรื่อยมา ปัจจุบันคุมบังเหียนเป็น ผู้จัดการสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (จีไอเอ) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและตรวจวิเคราะห์อัญมณี จีไอเอ ประเทศไทย มองว่า ตอนนี้อัญมณีมีการปรับเปลี่ยนมากมายเพื่อให้เป็นสีหรือรูปทรงที่ได้รับความนิยม ดังนั้น การซื้อขายโดยมีใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณี จึงมีความจำเป็น ขณะเดียวกันสถาบันที่ออกใบรับรองต้องไม่มีข้อเกี่ยวพันกับร้านค้า

ด้าน การเลือกซื้ออัญมณีควรดูแบบที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะยิ่งผ่านการปรุงแต่งมากเท่าไหร่ราคาการขายยิ่งถูก สำหรับ พลอยจะนิยมแบบไม่เผา และจะไม่มีการแยกประเภทแต่จะแบ่งได้ตามแหล่งที่มา เช่น พลอยพม่า พลอยโคลัมเบีย ไม่ต่างจากมุกที่ต้องดูถึงความสะอาดในเม็ด ที่ผ่านมาร้านค้ามุกเคยประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากมุกน้ำจืดจากจีนล้นตลาด ซึ่งตอนนั้นสามารถนำมุกมาทำเป็นกระดุมขายได้เลย

“เป็นเรื่องยากที่จะบอกผู้ซื้อว่า อัญมณีชิ้นไหนเป็นของจริงหรือของปลอม หากไม่นำเข้าไปตรวจในห้องวิจัย ผู้ซื้อส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานทางอารมณ์และความพึงพอใจในสินค้าเป็นหลัก ทางที่ดีหากเป็นสินค้าจิวเวลรี่ราคาไม่แพงไม่จำเป็นต้องขอดูใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณี แต่ถ้าสินค้านั้นต้องใช้เงินเดือนถึงสามเดือนซื้อจำเป็นจะต้องขอดูเพื่อความมั่นใจในสินค้า”

นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงต่อลูกค้า ในภาพรวมตลาดอัญมณีทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีราคาสูงเนื่องจากหลายเหมืองในต่างประเทศเริ่มปิดตัวลง อย่างเช่น พลอยแดงของไทยที่ไม่มีการทำเหมืองแล้ว แต่สินค้าที่อยู่ในตลาดจะเป็นของเก่าที่นำมาขายใหม่และคุณภาพแต่ละเหมืองจะไม่เหมือนกัน หากยังไม่มั่นใจสามารถนำมาตรวจในศูนย์วิจัยได้

“การซื้อเครื่องประดับนอกจากต้องคำนึงถึงความชอบแล้วยังต้องให้ความสำคัญของฐานะการเงินตนเอง ไม่ควรซื้อมากจนตนเองต้องเดือดร้อน ควรใช้อย่างพอเพียงไม่เกินตัวมากกว่าจำเป็น”

ด้าน พิราพรรณ เบลม้อนท์ ผู้บริหารร้าน เค.วี.เจมส์ ซึ่งนำพลอยของร้านมาขายในครั้งนี้ เป็นอีกคนที่มองการเปลี่ยนแปลงของวงการพลอย เนื่องจากเป็นคนจันทบุรี ซึ่งเดิมมีบ่อพลอยมากแต่ตอนนี้ไม่มีการทำเหมืองพลอยในไทยแล้ว กล่าวว่า แต่ก่อนที่จันทบุรีแต่ละบ้านมีพลอยเป็น กระสอบอยู่ใต้เตียง พอเลิกการทำเหมืองส่งผลให้พลอยทับทิมสยามขาดแคลนจากตลาด โดยเฉพาะพลอยแดงที่มีความเข้มของสีและเป็นที่ต้องการของลูกค้า

พลอยที่ได้รับความนิยมเป็นพลอยไม่เผา ส่วนที่ผ่านการเผาแล้วจะมีราคาถูกไม่ได้รับความนิยมจากผู้เล่นพลอย แนวโน้มดังกล่าวเป็นความนิยมโดยทั่วไปของอัญมณีทุกแบบที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ตลาดลูกค้าส่วนใหญ่ตอนนี้เป็น ยุโรป อเมริกา เอเชีย ตามลำดับ

พลอยสีที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วตอนนี้เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งตั้งแต่เจ้าชายวิลเลียมประกาศอภิเษกสมรสด้วยแหวนประดับพลอยน้ำเงินทำให้ตลาดในยุโรปมีความต้องการอย่างสูง และเริ่มมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าโดยภาพรวมพลอยแดงก็ยังได้รับความนิยม เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียเชื่อว่าเป็นสีของความเป็นมงคล และสีดังกล่าวยังเป็นพลอยที่หายากมากโดยพลอยแดงที่ขึ้นชื่อเป็นของพม่า แต่ปัจจุบันพลอยพม่าเริ่มขาดตลาดทำให้ต้องหาพลอยแดงจากแหล่งอื่นมาทดแทนเช่น แคชเมียร์, มาดากัสการ์

สำหรับ ความนิยมพลอยในไทยยังมีไม่มากเพราะคนไทยชอบเพชรมากกว่า แต่สำหรับตลาดจีนยังมีความต้องการพลอยมรกต ซึ่งแรงขึ้นมาตามความเชื่อแบบจีน ซึ่งการเลือกซื้อพลอยควรดูที่เนื้อสะอาดไม่มีรอยแตก มีเหลี่ยมมุมที่ให้แสงได้ดี หรือหาก ไม่มั่นใจสามารถเรียกดูใบรายงานคุณลักษณะของอัญมณีในสินค้าที่มีราคาสูง

ตอนนี้ผู้ประกอบการพลอยในไทยหลายรายเลิกกิจการไปเนื่องจากสภาพการเมืองยังไม่นิ่ง และงานแสดงสินค้าอัญมณีที่ผ่านมายังไม่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ ทำให้ตนต้องพยายามมาออกแสดงสินค้าในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง แทน

ส่วนร้านจิวเวอร์เมอร์ ผลิตไข่มุกสีทองที่ได้จากท้องทะเลฟิลิปปินส์ เล่าว่า ตอนนี้ ตลาดมีความต้องการไข่มุกสีทองมาก แต่การผลิตยังไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาวะโลกร้อนและน้ำทะเลที่สูงขึ้นเพิ่มความเป็นกรดในน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ไข่มุกผลิตได้น้อยลงแถมยังมีประสิทธิภาพที่ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน

อนาคตเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าไข่มุกจากธรรมชาติบางสีจะไม่มี เนื่องจากสูญพันธ์ุด้วยภาวะของโลกร้อน และจะส่งผลอย่างมากต่อวงการไข่มุกที่ราคาซื้อขายจะเพิ่มจากตอนนี้ไปอีก 20–25 เปอร์เซ็นต์

อัญมณีในอนาคตราคาอาจแพงขึ้นอย่างน่าตกใจ เนื่องจากทรัพยากรเริ่มลดลง ดังนั้นอนาคตอันใกล้ของวงการเครื่องประดับยังเป็นที่น่าจับตามอง.

การดูแลรักษาอัญมณีให้สวยงามคู่กาลเวลา

เพชร มีความแข็งเป็นอันดับ 1 ในบรรดาสสารทั้งหมดในโลกนี้ มีการทนต่อความร้อน ทนต่อสภาพกรด-ด่าง และแอลกอฮอล์ การทำความสะอาดเพชรโดย การต้ม หรือ แช่ในน้ำร้อน จึงไม่ทำอันตรายต่อเพชร และ ถ้ามีสิ่งสกปรกเคลือบอยู่บนผิวเพชรมากก็ให้นำไปแช่ในแอลกอฮอล์ หรือเหล้าและเขย่าเบา ๆ (เพื่อให้สิ่งสกปรกละลายได้ง่ายขึ้น) และนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งอีกครั้งด้วยผ้านุ่ม ๆ เพชรจะสะอาดแวววาวหรือถ้าวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็แนะนำให้ใช้ โซเดียม คาร์บอเนต (โซดาซักผ้า) ผสมน้ำและนำเพชรไปต้มประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงล้างให้สะอาด ระมัดระวังอย่าให้เพชรกระทบกระเทือนกับอะไรแรง ๆ เพราะจะให้ขอบเพชรบิ่นได้และอย่าเก็บเพชรไว้ปะปนกัน เพราะเหลี่ยมของเพชรอาจจะขูดขีดกันเองทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้

พลอย มีความเหนียวและความเปราะแตกต่างกัน พลอยที่มีความแข็งค่อนข้างต่ำ การสวมใส่ หรือการใช้งานควรมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเนื้อพลอยจะมีความเปราะ ถ้าไปกระทบกับสิ่งที่มีความแข็งกว่าก็อาจจะทำให้เกิดริ้วรอย หรืออาจแตกร้าวได้ อย่าล้างด้วยน้ำร้อน ๆ เพราะความร้อนจะทำให้น้ำที่แทรกอยู่ในเนื้อพลอยระเหยออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวของพลอยลดความวาว และความมันลง เพราะฉะนั้นจึงควรล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาดพลอย หรือในน้ำธรรมดาที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ อย่าเก็บพลอยด้วยวิธีการแช่ไว้ในน้ำมัน เพราะฝุ่นละอองจะสามารถจับได้ง่าย เมื่อทำการเช็ด ทำความสะอาดผงของฝุ่นละอองจะเกิดการเสียดสี และขูดขีดผิวของพลอย ให้ลดความวาวลงไป ทำให้ประกายของพลอยน้อยลง ซึ่งจะดูไม่สวยงาม ดังนั้น วิธีที่เหมาะสมที่สุดในการทำความสะอาดพลอยคือ แช่น้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ

ไข่มุก ห้ามให้ไข่มุกถูกสารเคมีทุกชนิด เช่น น้ำหอม หรือสเปรย์ต่าง ๆ เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ไข่มุกลดความวาวลงได้ ห้ามมิให้ผิวของไข่มุกไปขูดขีดกับวัตถุที่มีความแข็งเพราะผิวของไข่มุกอ่อนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย จึงควรสวมใส่ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำสะอาด ทำความสะอาดไข่มุก เพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่จะมาเกาะบริเวณผิวของไข่มุก หรือ หลังจากสวมใส่เครื่องประดับมุกแล้วก็ให้นำมาแช่น้ำดื่มไว้ประมาณ 5 นาที จึงเช็ดด้วยผ้านุ่ม ๆ ไม่ควรเก็บไข่มุกรวมกับอัญมณีชนิดอื่น ๆ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยง่าย.
ศึกษาอนาคตตลาดเพชร-พลอย ตามรอย'งานแสดงอัญมณีโลก' ที่ฮ่องกง
ที่มา เดลินิวส์

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ยืนยันเดินหน้า'สกายวอล์ก'

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ทำหนังสือมาถึงกทม. ตรวจสอบกรณีโครงการทางเดินยกระดับ (สกายวอล์ก) นั้นไม่ได้ห้ามดำเนินโครงการแต่เป็นข้อเสนอแนะ ซึ่งมี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ โครงการในระยะที่ 1 ที่ประกอบด้วย 4 เส้นทาง คือ สายสุขุมวิท รามคำแหง พญาไทและสายวงเวียนใหญ่ สตง.ได้ทักท้วงใน 3 สายแรก ที่ กทม.ได้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อปี 52 ประมาณ 500 คน และมีผู้เห็นด้วยร้อยละ 88 นั้น เป็นผลสำรวจที่อาจยังไม่ครอบคลุมและยังไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในเรื่องนี้เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้มีการทำสำรวจก็ได้ผลที่สอดคล้องกันคือมีผู้เห็นด้วยกว่าร้อยละ 87 แต่เมื่อทาง สตง.ทักท้วงในเรื่องนี้ ตนก็ได้สั่งให้ทางสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ไปทำการสำรวจเพิ่มอีก โดยระบุข้อมูลในส่วนของเลขที่บ้านที่ไปทำการสำรวจด้วย รวมถึงโครงการในเฟสที่ 2 ระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร งบกว่า 10,000 ล้านบาทนั้น จะให้สจส.ว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดมากขึ้นเช่นกัน ส่วนโครงการสายวงเวียนใหญ่ที่ไม่มีประเด็นข้อท้วงติง จะให้เร่งเดินหน้าต่อไป ประเด็นที่ 2 ในเรื่องที่ สตง.ท้วงถึงกรณีการสอบถามความเห็นที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องงบประมาณนั้น ขอยืนยันว่าโครงการนี้ได้ตั้งงบบนฐานการคิดที่ต่ำที่สุด ซึ่งต่ำกว่าที่ภาคเอกชนสร้างอยู่ที่ 50,000–100,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ กทม.คิดราคาที่ประมาณ 43,000 บาทต่อตารางเมตร และการคำนวณก็ใช้ตามระเบียบพัสดุ ซึ่งในเรื่องราคาโครงการที่แพงนี้มีข้อมูลที่เป็นเท็จออกมามากทำให้ กทม.เสียหาย ตนได้สั่งให้สำนักงานกฎหมายและคดี กทม. ไปตรวจสอบว่าข้อมูลที่เป็นเท็จที่ออกไปสู่สาธารณชนเหล่านั้นหากทำให้ กทม.ได้รับผลกระทบจะต้องฟ้องดำเนินคดี เพื่อปกป้องหน่วยงาน สำหรับประเด็นที่ 3 สตง.ได้เร่งรัดการเตรียมระบบบริหารจัดการ และมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ค้าขึ้นไปยึดทางเดินลอยฟ้าเป็นที่ขายของ ซึ่งในเรื่องนี้ กทม.ก็ดำเนินการอยู่

นายธีระชน กล่าวต่อว่า ทุกโครงการไม่มีโครงการใดที่จะมีคนเห็นด้วยทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สกายวอล์กที่ กทม.ดำเนินการนี้เป็นโครงการที่เกิดประโยชน์ ซึ่งข้อทักท้วงของ สตง.ทุกข้อก็พร้อมจะดำเนินการเพื่อให้โครงการมีความรอบคอบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการวิพากษ์วิจารณ์และข่าวต่าง ๆ ที่ออกมามีผลกระทบมาก ตนขอยืนยันว่าทุกโครงการที่ทำตัดสินใจบนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลมาแล้วและเป็นที่ยอมรับของเมืองใหญ่ทั่วโลก ขอให้มีการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนไม่ใช่ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว และแน่นอนว่าสกายวอล์กสายสุขุมวิทที่ กทม.ตั้งใจจะเปิดใช้ให้ทันวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ต้องเลื่อนออกไป.
สกายวอล์ก
ที่มา เดลินิวส์

ธุรกิจรับสร้างบ้านเหนื่อย น้ำมันแพงค่าแรงสูง

ธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ไม่เติบโตเหมือนกับปี 2553 ที่เราเทียบกับปี 2552 ไม่เติบโตเลย” วิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านฟันธง ก่อนจะวิเคราะห์ว่าปัจจัยที่ส่งผลมีหลายประการได้แก่เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลสืบเนื่องให้ขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจก่อสร้าง ต้องยอมรับว่าแรงงานส่วนหนึ่งยังอยู่ในการซ่อมแซมบ้านที่ถูกน้ำท่วมในแต่ละภูมิภาค เมื่อแรงงานขาดแคลนทำให้บริษัทต้องลดการรับงานจากลูกค้าเพราะเกรงว่าจะสร้างเสร็จไม่ทันกำหนด
ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านขาดแคลนแรงงานถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ประการถัดมาสินค้าราคาแพงขึ้น วัสดุก่อสร้างปรับราคา ผู้ประกอบการต้องทำงานอย่างระมัดระวัง เพราะสร้างบ้าน 1 หลังต้องใช้เวลา 1 ปี กว่าบ้านจะแล้วเสร็จและเมื่อถึงช่วงนั้นจึงส่งมอบงานได้ ประกอบกับการประกาศขึ้นค่าแรงของภาครัฐ 7-13 บาท ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคการก่อสร้างแม้ว่าอัตราค่าจ้างของแรงงานภาคก่อสร้างสูงกว่าภาคอื่นอยู่แล้วก็ตาม

นอกจากนี้เรื่องของการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งคาดการณ์ว่า หลังเดือนเมษายนรัฐบาลจะปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว ซึ่งขณะนี้รัฐรับภาระไว้ 5 บาทเท่ากับรับภาระไว้ 16-17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการเตรียมวางแผนรับมือไว้แล้วโดยคาดว่าจะปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น 5%

ปัจจัยกระทบของธุรกิจรับสร้างบ้านยังหนักหนาสาหัสอีกใน ปีนี้ ในสถานการณ์การเมืองที่เริ่มจะร้อนระอุท่ามกลางสภาพอากาศหนาว ๆ ฝน ๆ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านวิเคราะห์ปัจจัย ลบต่อมาว่า ช่วงตึงเครียดทางการเมืองที่จะเริ่มต้นในเดือน พ.ค. ที่จะเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคพอสมควร รวมทั้งภาวะ “ดอกเบี้ยขาขึ้น 0.75” ก็ทำให้การตัดสินใจช้าชะลอออกไป

“เท่ากับว่ากู้เงิน 1 ล้าน ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 8,000 บาทต่อปี” นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านระบุ

วิบูล กล่าวต่อว่า เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ แน่นอนผู้ประกอบการต้องผลักภาระไปให้ผู้ซื้อ โดยอาจบวกลูกค้าในรายต่อไปเพราะเมื่อวางมัดจำตกลงกันแล้ว สินค้าปรับราคาขึ้นจะเรียกเก็บเงินเพิ่มกับรายแรกไม่ได้ บางรายคาดการณ์ไว้ต่ำ อาทิช่วงเดือนแรกของปีคาดการณ์ไว้ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผิดคาด ราคาของขึ้นน้ำมันเพิ่ม ราคาค่าก่อสร้างเพิ่ม 6-8 เปอร์เซ็นต์ ภาระที่เพิ่มขึ้นจะส่งต่อให้ผู้ซื้อรายต่อไป

เมื่อวิเคราะห์สภาพการณ์ของตลาดแล้วในปีนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมซึ่งมีอยู่ 45 ราย จะเน้นการทำตลาดด้วยการเน้นการให้บริการ และรวมตัวกันระหว่างผู้ประกอบการเพื่อซื้อวัตถุดิบในการสร้างบ้าน แทนที่ต่างคนต่างซื้อ ซึ่งตอนนี้ที่สามารถซื้อในราคาพิเศษได้มี 3 รายการ คือ กระเบื้องคอนกรีตซีแพคโมเนีย คอนกรีตผสมเสร็จ พื้นลามิเนต และรั้วสำเร็จรูปเซ็นเซอร์

นอกจากนี้ในปี 2554 ทางสมาคมจะผลักดันให้สมาชิกบริหารจัดการก่อสร้างด้วยระบบไอเอสโอเพื่อลดความผิดพลาดช่วยประหยัดต้นทุน รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนลิขสิทธิ์แบบบ้าน

“ปัจจุบันการจดทะเบียนบ้านใหม่น้อยลงแต่ไปเปิดบ้านเลขที่ใหม่ในคอนโดมากขึ้น แต่ก็มีปรากฏการณ์ของการปลูกบ้านแทนที่บ้านหลังเดิมเพราะบ้านหมดอายุการใช้งาน ซึ่งบ้านราคา 2.5-5 ล้านเป็นบ้านที่ตลาดต้องการเพราะตอบสนองความต้องการใช้งานได้ดีกว่าบ้านจัดสรรทั่วไป” นายกสมาคมธุรกิจ มองถึงช่องทางทางธุรกิจสร้างบ้านเพื่อความอยู่รอด

ด้าน ศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทซีคอนโฮม ในฐานะบริษัทรับสร้างบ้านในแบรนด์ซีคอนและคอมแพค กล่าวว่า บริษัทได้ปรับราคาบ้านขึ้นมา 5 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เพราะราคาของสินค้าปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปูน สุขภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งเหล็ก สินค้าเหล่านี้ล้วนปรับราคาตามราคาน้ำมัน กระทบไปถึงภาคแรงงานด้วยที่ขาดแคลนอย่างหนัก โดยยอดสร้างบ้านต่อปีของบริษัทอยู่ที่ 300 หลัง ซึ่งตัวเลขจะอยู่ในระดับนี้ตลอด ขณะเดียวกันกำลังผลิตของบริษัทอยู่ในออร์เดอร์ที่รับไหว ซึ่งในปีนี้จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาบริหารจัดการเรื่องงานก่อสร้างทั้งหมด ตั้งแต่ระบบบัญชีการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างแบบรวมศูนย์ รวมทั้งความคืบหน้าก่อสร้างของบ้านแต่ละหลังจะต้องมีรายงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อจะตอบคำถามของลูกค้าได้

“เพราะการก่อสร้างบ้านแต่ละหลังไม่ได้อยู่ที่เดียวกันดังนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการที่แม่นยำ เพื่อไม่ให้ลูกค้ามีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง”

ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทซีคอนโฮม กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโตมาก แต่มาแผ่วในช่วงปลายปีเพราะปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง บวกกับดอกเบี้ยของธนาคารปรับขึ้นมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งในยอดตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมารวมแล้ว 220 ล้านแบ่งเป็นบ้านของกลุ่มซีคอน 160 ล้าน ที่เหลือเป็นบ้านของคอมแพค ส่วนหนึ่งเพราะเราอยู่ในตลาดมานานผู้บริโภคเชื่อใจ และมีแบบบ้านให้ลูกค้าได้เลือกหลายแบบ โดยเฉพาะบ้านระดับ 2-3 ล้าน ถ้าลูกค้าต้องการออพชั่นที่เพิ่มขึ้น ต้องแก้แบบใหม่ราคาจะสูงขึ้นต้องมาคุยราคาใหม่เฉพาะจุดซึ่งส่วนใหญ่จะให้คำแนะนำว่าสร้างตามแบบที่ออกแบบไว้จะคุมราคาได้

ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นอีกทางเลือกของผู้ต้องการมีบ้าน ปัจจุบันในตลาดมีบริษัทให้เลือกใช้บริการจำนวนมาก ดังนั้นควรพิจารณาการใช้บริการอย่างถ้วนถี่ นายกสมาคมธุรกิจ ฝากคำแนะนำว่า ควรเลือกใช้บริการบริษัทที่มีวิศวกรประจำบริษัทเพราะค่าจ้างอาชีพนี้สูง มีบางบริษัทที่จะไม่จ้างวิศวกรประจำเมื่อมีปัญหาจะหาตัววิศวกรรับผิดชอบยาก และควรเป็นบริษัทที่เปิดดำเนินการมาหลายปี ก่อนตัดสินใจเซ็นสัญญาต้องให้บริษัทพาไปดูบ้านในราคาระดับเดียวกันที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว เพื่อไว้เป็นข้อเปรียบเทียบหากมีปัญหาหลังก่อสร้าง และสุดท้ายควรเลือกบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคม

เกณฑ์พิจารณาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้ผู้บริโภคได้บ้านไม่บานตามมาภายหลัง.
ที่มา เดลินิวส์

คลังบทความของบล็อก