ไขกลยุทธ์ความสำเร็จเซเว่นฯ ถูกที่...ถูกเวลา...ถูกใจ

ด้วยสาขาที่มีอยู่กว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้เซเว่น อีเลฟเว่น กลายเป็นร้านสะดวกซื้อ หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่มีสาขามากที่สุดในเมืองไทย และในขณะเดียวกันก็ถือเป็นช่องทางการขายสินค้าที่สำคัญของผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน

น่าสนใจว่าเบื้องหลังความสำเร็จของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด เป็นอย่างไร

คำตอบที่จะมาช่วยไขกลยุทธ์ความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งถ่ายทอดโดย “ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ เมื่อครั้งมาบรรยายพิเศษภายในงานสัมมนา “ไขความสำเร็จสุดยอดธุรกิจแฟรนไชส์” ที่จัดโดยสมาคมแฟรนไชส์ไทยและบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด

[ “ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ ]
“สำหรับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เราเป็นเจ้าของไลเซ่นส์ในประเทศไทย ซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของ 100% นี่คือเรื่องแรกที่อยากจะบอก เราใช้แบรนด์ของเขาเฉยๆ
อันที่สอง คือ เราปรับปรุงพัฒนาประมาณ 3 ปี จนธุรกิจมีกำไร เราจึงเริ่มขายแฟรนไชส์รายแรกไปเมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้รายแรกก็ยังอยู่กับเรา และแถมจะขยายสาขาเพิ่มด้วย ถึงวันนี้เราก็ประกอบธุรกิจมากว่า 20 ปีแล้ว”

“จริงๆแล้วหลักใหญ่ๆที่ผมอยากจะชี้แจง ก็คือ ถ้าผู้ประกอบการอยากจะทำธุรกิจขายแฟรนไชส์ ผมคิดว่าธุรกิจของคุณต้องมีกำไรก่อน ทำธุรกิจเราให้มีกำไรก่อน อย่าไปหวังว่าขายระบบแฟรนไชส์ได้เงินก้อนมา แล้วจะเอาเงินก้อนนั้นมาค่อยๆพัฒนาธุรกิจให้มีกำไรทีหลัง
ในเมื่อเราบริหารธุรกิจยังไม่มีกำไรเลย ก็อย่าหวังเลยว่าจะบริหารเงินก้อนจากการขายแฟรนไชส์ให้มีกำไรในภายหลังได้ อย่าไปคิด เพราะกระบวนการเหล่านั้นคือระเบิดเวลาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ปิยะวัฒน์ เริ่มต้นการสัมมนาในวันนั้นด้วยการบอกถึงจุดเริ่มต้นของการขายแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่นสาขาแรก พร้อมทั้งบอกเพิ่มเติมว่า

“การทำธุรกิจเราจะต้องมี Trademark มีระบบควบคุม ตรวจสอบ ที่สำคัญที่ทำให้เราสำเร็จ ก็คือ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นมีการพัฒนาปรับปรุงตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจขายแฟรนไชส์ ถามว่าคุณมีทีมงาน R&D ไหม มีทีมงานพัฒนาที่แข็งแกร่งไหม ถ้าคุณพัฒนาอยู่เรื่อยๆ แฟรนไชส์คุณก็สามารถขยายใหญ่ได้
และการที่เรามีเครือ CP ซึ่งแบ็คกราวดีเป็นครัวของโลก เก่งเรื่องอาหารมาคอยแบ็คเราอยู่ อันนี้ทำให้เรามีความยั่งยืน”

“ในอดีตที่เซเว่น อีเลฟเว่น หรือซีพีออลล์ ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งต้องชมท่านอดีตนายกฯชาติชาย ชุณหะวัน ที่ท่านเปลี่ยนธุรกิจที่มีปัญหาในขณะนั้น ซึ่งเปรียบเหมือนสนามรบให้เป็นสนามการค้าแทน ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานเศรษฐกิจก็เริ่มดี โดยในช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเบ่งบานในประเทศไทย และก็เป็นจุดสำคัญที่ซีพีออลล์ได้เกิดขึ้น
ดังนั้น ต้องชมประธานธนินทร์ เจียรวนนท์ เถ้าแก่ในเครือซีพีที่ตัดสินใจเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นใน Timing ที่ถูกต้อง คือเปิดในจังหวะที่เศรษฐกิจเริ่มเบ่งบาน ซึ่งถ้าเปิดเร็วกว่านี้ ก็อาจจะขาดทุนได้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าเปิดช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่มีวันนี้ วันที่เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศไทย”

“เรื่องที่สองที่ต้องชมเถ้าแก่ธนินทร์ คือ การไปซื้อไลเซ่นส์อันดับหนึ่งของโลกในขณะนั้นมา ซึ่งก็คือแบรนด์เซเว่น อีเลฟเว่น และขณะนี้ก็ยังถือเป็นแบรนด์คอนวีเนี่ยนสโตร์อันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันมีเกือบ 4 หมื่นสาขาทั่วโลกแล้ว
ส่วนความสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งผมถือว่าเป็นความสำเร็จที่ดี ก็คือ ทีมผู้บริหารของเซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้การบริหารงานของคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ CEO ของเรา ทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต ก็คือ 1.Timing ถูก 2.เลือกซื้อแบรนด์อันดับหนึ่งของโลก และ 3.ทีมงานทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค”
นอกจากนี้ปิยะวัฒน์ ยังเผยถึงปัจจัยความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นอีกว่า “อยู่ที่ทำเล ถามว่าเพราะอะไร เพราะบางสาขาเราขายได้เกือบสามแสน แต่บางสาขายอดขายอยู่ที่สองหมื่นกว่าบาท
ทำไมเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ทีมการจัดการทุกอย่างก็เหมือนกัน ก็มันอยู่ที่ทำเล

ส่วนอีกปัจจัยของความสำเร็จอยู่ที่การจัดการในบริษัท หรือการจัดการสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งทุกคนก็พูดได้ แต่การปฏิบัติคุณจะต้องมีกระบวนการที่จะรู้ว่าสินค้านี้ลูกค้าอยากจะได้ ต้องรู้ด้วยข้อมูล ไม่ใช้ความรู้สึก และสินค้าที่ลูกค้าไม่อยากจะได้คืออะไร เราต้องมีข้อมูลในสิ่งเหล่านี้

ต่อมาเป็นเรื่องไอที จะต้องมีระบบคอมพิวเตอร์ ส่งกระบวนการจัดการความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว สมมติส่งสินค้าต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ Real time ที่ดีถ้าทำได้ แต่ต้นทุนแพง เพื่อให้ทางร้านนำข้อมูลไปบริหารจัดการให้ทันความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ เรื่องซัพพลายเชน ซัพพลายเออร์ ศูนย์กระจายสินค้า (DC) ข้อมูลสินค้าของออฟฟิศต้องให้เกิดประสิทธิภาพตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้
หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องคน พัฒนาทรัพยากรคนให้มันสมดุล ไม่ว่าจะเป็นทำเล ตัวสินค้า ไอที DC คนเหล่านี้ต้องมา integrate ในสิ่งที่ลูกค้าอยากจะได้ ด้วยการจัดการอบรม การให้ความรู้ ข้อมูล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

“จะสังเกตไหมว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดทุกครั้งจะโยงกับลูกค้า นั่นคือผมกำลังบอกจะว่าหัวใจของความสำคัญ ก็คือ ลูกค้า ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพระเจ้า เป็นเสมือนคนที่เรารัก คุณจะบอกว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่คุณต้องตอบสนองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ได้
การตอบสนองความต้องการของลูกค้านั้น ใช้ปากพูดอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณจะต้องมีกระบวนการตอบสนองที่มีตัววัดว่าลูกค้าอยากจะได้อะไร
คุณมีสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้ไหม ไม่อยากจะได้คืออะไรบ้าง คุณต้องรู้ ตรงนี้สำคัญ เสร็จแล้วคุณต้องรู้ว่าที่ร้านสั่งสินค้ามาแล้ว ต้องส่งมอบให้ทันเวลาด้วย
แบรนด์เซเว่น อีเลฟเว่นไม่ได้นำสินค้าธรรมดามาขายแล้วสำเร็จนะ ไม่ใช่ แต่เรานำสินค้าที่ลูกค้าอยากจะได้มาขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เราจึงประสบความสำเร็จ
สินค้าอันไหนที่ลูกค้าไม่อยากได้ เข้ามาในเซเว่น อีเลฟเว่นก็ขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญอยู่ที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการมีข้อมูลการวัดอย่างแท้จริง”
ถึงตรงนี้ ปิยะวัฒน์ชี้ให้เห็นถึงการที่ผู้ประกอบการจะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าว่า “เพราะในอดีตเมื่อ 30 - 40 ปีที่ผ่านมา ผู้ค้าน้อยราย ผลิตอะไรมาก็ขายได้หมด ซัพพลายน้อยดีมานด์มาก คุณจะทำอะไรก็ขายได้หมด ผิดกับตอนนี้ที่มีซัพพลายมีหลายราย แต่มีผู้ซื้อน้อยราย

ดังนั้น คุณจะต้องเข้าใจลูกค้าว่าต้องการอะไร รู้ถึงความต้องการสินค้าของลูกค้าในเชิงลึก เพราะปัจจุบันมีคู่แข่งมากราย”

ส่วนอีกเหตุผลที่เราต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า ก็คือ ลูกค้าเปลี่ยนแปลง อย่างเศรษฐกิจดีลูกค้าจะใช้มาก ฟุ้มเฟือยมาก คุณก็ต้องขายสินค้าฟุ้มเฟือย จากชิ้นเล็กๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นชิ้นขนาดกลาง แต่พอเศรษฐกิจไม่ดี ของฟุ่มเฟือยจะขายได้น้อยลง ก็ต้องขายสินค้าที่จำเป็น แล้วก็ชิ้นเล็กลง
หรือสมัยก่อนคนไทยมีการศึกษาไม่มาก แต่ตอนนี้ภาครัฐส่งเสริมให้คนไทยเรียนสูงถึง ม.6 ปริญญาตรีแล้ว และเมื่อมีการศึกษา ในเรื่องของสินค้าอาหาร ลูกค้าก็ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ ทานแล้วแข็งแรง ดูดี ซึ่งถ้าแบรนด์ไหนสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในเรื่องของสุขภาพ ความสวยงาม และราคาถูกด้วยแล้ว แบรนด์นั้นก็จะชนะ
ฉะนั้นในเมื่อลูกค้าเปลี่ยนแปลงแล้ว คุณจะอยู่กับที่ได้อย่างไร นี่คือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้ที่ปรับตัวได้เร็ว คือ ผู้ชนะ
ครอบครับผมมีอยู่ 6 คน พอลูกๆเติบโตขึ้นก็แต่งงาน ก็ย้ายไปอยู่คอนโดมิเนี่ยม อพาร์ทเม้นท์ ครอบครัวก็เล็กลง หรือบางครอบครัวจาก 10 กว่าคนก็ลดเหลือ 2 - 3 คน คนแก่จะอยู่กันตามลำพังมากขึ้น คุณก็ควรจับสินค้าคนแก่นะ
ครอบครัวเล็กคุณต้องจับสินค้าครอบครัวเล็ก ยกตัวอย่าง การซื้ออาหารไปปรุงที่บ้านไม่คุ้มแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงจากครอบครัวใหญ่เป็นครอบครัวเล็ก ซึ่งที่ไล่มาทั้งหมด คือ ลูกค้าเปลี่ยนแปลง
วันนี้การเดินทางเป็นรถไฟฟ้า คอนโดมิเนี่ยมก็อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ครอบครัวหนึ่งก็มีแค่ 2 คน ไม่ปรุงอาหารแน่นอน เซเว่น อีเลฟเว่นก็มาเปิดใกล้รถไฟฟ้า เราก็เติบโตขึ้นมา หรือบางพื้นที่ เราก็ต้องชิงไปเปิดก่อน”

“ไม่เพียงแค่นี้ ฤดูกาล อากาศร้อน เซเว่น อีเลฟเว่นขายน้ำเครื่องดื่มได้ดีมาก ส่วนหน้าฝนเป็นช่วงที่ขายไม่ดี ทุกปีจะเป็นเช่นนี้ คือ ไตรมาสที่หนึ่งจะดี ไตรมาสที่สองยิ่งดีใหญ่ แต่พอไตรมาสที่สามก็จะไม่ดี ส่วนไตรมาสที่สี่จะกลับมาดีอีกครั้ง อันนี้เป็นวัฏจักรของเรา เพราะฉะนั้นฤดูกาลก็ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนแปลง
เมื่อสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ธุรกิจเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
เรื่องทำเลก็ต้องเปลี่ยนแปลงนะ ทำเลของเรา 6 ปีก็ต้องย้ายแล้ว เพราะวันนี้เป็นทำเล A แต่อีก 6 ปีข้างหน้าอาจเป็นทำเล B ก็ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นไม่ปรับตัวไม่ได้
หัวใจสำคัญ คือ คู่แข่งของเราเปลี่ยนแปลง มีมากรายขึ้น แล้วเราจะอยู่กับที่ได้อย่างไร
ดังนั้น บอกได้เลยว่าเซเว่น อีเลฟเว่นต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง”

“ส่วนเรื่องที่สอง เราหาสินค้าที่ลูกค้าคาดไม่ถึงมาอยู่ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ยกตัวอย่าง เราทำร้านบุ๊คสไมล์ มีสินค้าเยอะแยะเลย มีพ็อคเกตบุ๊ค มีแม็กกาซีนมาขายในเซเว่น อีเลฟเว่น นั่นคือความจงใจที่จะปรับตัว
รวมทั้งการมีแคตตาล็อคขายสินค้าในเซเว่น อีเลฟเว่นของเราด้วย ในขณะที่เซเว่น อีเลฟเว่นทั่วโลกที่มีอยู่ประมาณ 18 ประเทศทั่วโลกกลับไม่มี ส่วนเคาน์เตอร์เซอร์วิสมีที่ญี่ปุ่น ซึ่งให้บริการชำระค่าไฟฟ้า ค่าประปา แต่ของเรามีหลากหลายกว่า”

“และเนื่องจากว่ากลุ่มลูกค้ามีความรู้เพิ่มขึ้น เราก็ทำเรื่องอาหารเสริมจับกลุ่มลูกค้า B, C เข้ามาขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นด้วย
นอกจากนี้ เนื่องจากโปรดักส์มี Life Cycle หรืออายุของสินค้า เราก็เอาสินค้าออกเยอะแยะเลย หาโปรดักส์ใหม่ๆ ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเข้ามาแทน ดังนั้นสินค้าเราเป็นสินค้าที่ Active อยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าพอใจเพิ่มขึ้น
ความพอใจที่เพิ่มขึ้นนี้วัดอย่างไร ก็วัดจากในอดีตเรามีไม่ถึง 1,000 สาขา แต่วันนี้เรามีสาขาอยู่ถึง 5,500 สาขาแล้ว
ขณะที่ลูกค้าก็มาใช้บริการเราถี่ขึ้น ลูกค้าใหม่มีเพิ่มมากขึ้น เราจึงเติบโต
จากเมื่อก่อนเคยซื้อเราเฉลี่ย 2 ชิ้น ตอนนี้ซื้อ 2.8 ชิ้น ก็แปลว่าสินค้าที่เรานำเสนอเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากจะได้ แต่ที่ญี่ปุ่นเก่งกว่าเราลูกค้าซื้อถึง 3 ชิ้นกว่า เราก็ต้องไปเรียนรู้เขาว่าทำอย่างไร
นี่คือการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า”
ปิยะวัฒน์ ยังบอกอีกว่า ซีพีออลล์จะรักษาการเจริญเติบโต ด้วยการมีโปรเจ็กต์ใหม่ๆเพิ่มเข้ามาตลอด
“เพราะวันหนึ่งเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เราก็หาโปรเจ็กต์ใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อไรอิ่มตัวปั๊ป เราก็มีตัวใหม่ออกมา
ดังนั้น คุณจะต้องปรับตัวสินค้าใหม่ บริการใหม่ตลอดเวลา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จะเป็นนวัตกรรม เป็นโปรเจ็กต์ใหม่ก็ได้ คุณต้องเตรียมเอาไว้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
ดังจะเห็นได้ว่าซีพีออลล์เข้าใจว่าลูกค้าเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นสินค้าที่มีอยู่เดิมก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีโปรเจ็กต์ใหม่มาคอยซัพพอร์ตตัวหลักอยู่ตลอดเวลา”

“ยกตัวอย่าง เราทำโปรเจ็กต์เบเกอรี่มา 4 - 5 ปีแล้ว มีการอบเบเกอรี่ที่ร้าน แต่คอนเซ็ปต์ของเซเว่น อีเลฟเว่นห้ามมีกระบวนการผลิตในร้าน ยกเว้นโปรเจ็กต์นี้ เพราะเราต้องการรองรับการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจก็แนะนำให้เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าคุณเป็นผู้ที่อยากจะซื้อแฟรนไชส์ ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณมาซื้อแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่นนะ แต่หลักในการเลือกคุณต้องรู้ว่าผู้บริหารมีการเปลี่ยนแปลงไหม แบ็คกราวเขาเป็นอย่างไร วันนี้ทำธุรกิจมีกำไรหรือเปล่า มีระบบรองรับไหม มีการอบรมหรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นตัววัดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่จุดที่ยั่งยืน ไม่ใช่ซื้อวันนี้แล้วอีก 3 - 4 ปีต้องปิดร้าน คุณต้องมองระยะยาวว่าอีก 30 ปีก็ต้องอยู่ได้
อย่างซีพีออลล์ เราตั้งเป้าไว้ว่าอีก 3 ปี จะมี 7,000 สาขา ตอนนี้เราเตรียม R&D เตรียมคน เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพื่อที่จะโต
แต่ถึงตอนนี้ CEO ของเราบอกใหม่ว่าภายใน 3 ปี จะเอา 10,000 สาขาแล้ว เราก็ไปเตรียมการเพิ่ม ไปคิดค้นตั้งนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อไปให้ถึง 10,000 สาขาภายใน 3 ปีให้ได้ อันนี้คือหลักๆที่เราทำ”

ทั้งหมดนี้ คือ กลยุทธ์ความสำเร็จของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งไม่บ่อยนักที่ผู้บริหารระดับสูงของซีพีออลล์จะออกมาเปิดเผยให้ฟังกัน

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ไขกลยุทธ์ความสำเร็จเซเว่นฯ ถูกที่...ถูกเวลา...ถูกใจ
ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs PLUS
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แบงก์ชาติชี้ไตรมาส4เงินเฟ้อมีสิทธิหลุดกรอบ

แบงก์ชาติชี้ไตรมาส 4 เงินเฟ้ออาจหลุดกรอบ ด้าน กนง.พร้อมรับมือ ส่งนโยบายดอกเบี้ยควบคุมแบบค่อยเป็นค่อยไป

วันนี้ (22 มี.ค.) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทาง ธปท.คาดว่าช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ มีโอกาสที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะหลุดกรอบเป้าหมายที่ ธปท. วางไว้ที่ 0.5-3% เนื่องจากมีแรงกดดันจากหลายทิศทาง ทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยด้านอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องของตลาดการเงินโลกและไทยที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ รวมทั้งการคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้หลุดกรอบเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3-5% แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงทั้งเงินเฟ้อ และสถานการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น และความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้จากการสำรวจผู้ประกอบการและผู้บริโภค พบว่าปัจจุบันประชาชนคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา ธปท.จึงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวต้องเข้าดูแลอย่างเร่งด่วน เพราะเห็นว่าหากผู้ประกอบการคาดว่าราคาสินค้าอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวขึ้น ผู้ประกอบการจะตั้งราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาที่แท้จริง ขณะที่ผู้บริโภคมองว่าสินค้าจะขาดตลาด จะเกิดการกักตุนสินค้าเช่นกัน เหมือนกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาที่สินค้าบางรายการขาดตลาดจากการกักตุนสินค้าของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ธปท. ยืนยันว่า การดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อดูแลเงินเฟ้อ โดยการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเร่งตัวสูงขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ดึงเงินทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น แต่เพราะเกิดจากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ความต้องการของผู้ลงทุนต่างประเทศ จากเดิมที่นิยมลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน นักลงทุนจึงหันมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน ประกอบกับหากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ยังพบว่าประเทศไทยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

"ที่ผ่านมาและปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น ซึ่ง กนง.เองก็ติดตามสถานการณ์ต่างๆที่จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อทุกปัจจัย แต่อย่างไรก็ตามจากการที่แบงก์ชาติได้ดูเงินเฟ้อปีนี้ล่วงหน้าถึงปลายปีพบว่าอาจเห็นเงินเฟ้อหลุดกรอบบนที่ 3% เราจึงพยายามดำเนินนโยบายทางการโดยใช้อัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ เพราะต้องเข้าใจว่าการส่งผ่านนโยบายถึงตลาดต้องใช้เวลา 6-8 ไตรมาส และหากจะไปเริ่มทำตอนที่เงินเฟ้อเริ่มสุกงอมก็จะไม่ทันต่อเวลา ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ ต้องดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหวังว่าระยะต่อไปการทำนโยบายดังกล่าวจะรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้" นายประสาร กล่าว

นายประสาร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกรวมทั้งของไทยด้วย เนื่องจากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดที่มองไว้ล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบันเริ่มมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันลดลงจากอดีต จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่ายังติดตามสถานการณ์ดังกล่าวต่อไป เพราะหากราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ สูงเกินกว่า 130 เหรียญต่อบาเรล และยืนอยู่ระดับดังกล่าวเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าของไทย จนเกิดปัญหาขาดดุลบัญชีชะระเงินได้ จากที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปัจจุบัน

"เหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันสุงขึ้น แต่ก็ยังถือว่าราคาน้ำมันตอนนี้ยังต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งโครงสร้างตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยน คือ มีแหล่งน้ำมันที่อื่นนอกเหนือจากตะวันออกกลางด้วย สำหรับตอนนี้ที่เราประเมินไว้คือ หากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับนี้ก็คาดว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน" นายประสาร กล่าวทิ้งท้าย.
แบงก์ชาติชี้ไตรมาส4เงินเฟ้อมีสิทธิหลุดกรอบ
ที่มา เดลินิวส์

หุ้นไทยแผ่วปิดร่วง 0.79 จุด

แรงซื้อนักลงทุนแผ่ว กดหุ้นไทยปิดร่วง 0.79 จุด

วันนี้ (22 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ว่า ดัชนีแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากไร้ปัจจัยบวกใหม่ ๆ สนับสนุนการลงทุน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวสวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นกันทั่วหน้า โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,025.48 จุด ก่อนอ่อนตัวมาปิดตลาดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 1,019.14 จุด ลดลง 0.79 จุด หรือ 0.08% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30,625.99 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 270.83 จุด ลดลง 2.14 จุด มูลค่าซื้อขาย 262.75 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก 1.ทรู ปิดที่ 6.70 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง 2.ธ.กรุงเทพ ปิดที่ 163.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท 3.ธ.กรุงไทย ปิดที่ 17.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท 4.ปูนซิเมนต์ไทย ปิดที่ 343.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท 5.จัสมิน ปิดที่ 2.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท

โดย นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนีปรับขึ้นได้ร้อนแรงในวานก่อน ทำให้แรงซื้อเริ่มแผ่วลง ประกอบกับตลาดหุ้นไทยรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ไปในช่วงก่อนหน้า ทั้งจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายกังวลสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง

ส่วนแนวโน้มในวันที่ 23 มี.ค.นี้ หากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะน่าจะได้รับประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีช่วยหนุนดัชนี โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,020-1,030 จุด หากผ่านไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,035 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำเทขายเมื่อดัชนีเพิ่มขึ้น และซื้อเมื่ออ่อนตัวในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และหุ้นรายตัวในกลุ่มอาหาร.

ที่มา เดลินิวส์

อะ อะ..อั้ม

ตามปกติเรา ๆ ท่าน ๆ มักเห็น “ตัน ภาสกรนที” ซีอีโอ บริษัท ไม่ตัน จำกัด อองานเดี่ยวบ้าง คู่บ้างค่ะคุณขา

ที่เห็นจนชินตาคงเป็นกับคู่ซี้ต่างวัย “อุดม แต้พานิช” รึไม่ก้อ...ลูกสาวหัวแก้ว
หัวแหวน “น้องกิ๊ฟ-วริษา” แต่ไม่ยักกะเห็นควงคู่ “อิง-สุนิสา” ภรรยาขาว สวย หมวย คล่องฝีมือเลิศด้านขนม เจ้าตำรับเมลท์มี ออกงานบ่อยครั้งสักเท่าใด

แต่ในงานขนมหวานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซิคะคุณขา...ไม่พามาด้วยมิได้แร้ววว เพราะเป็นงานที่รวบรวมขนมหวาน ๆ มาให้ได้ลองลิ้มชิมรส อีกทั้งมีช็อกโกแลตนำเข้าจากญี่ปุ่นของตะเอ๊งมาโชว์ในงานอีกด้วย ยิ่งต้องพาคนสำคัญมาทดสอบ การันตีความอร่อยล้ำให้ได้เห็นกันแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย!!!

ว่าแต่ว่า...งานนั้นชวนกันมาทดสอบ “ความอร่อย” รึ “ความหวาน” กันแน่ล่ะเจ้าคร้า...ไวท์ ช็อกโกแลตเอย ผลไม้สด ๆ ชิ้นโต ๆ เอย จากเกาะฮอกไกโด เมืองซามูไรโน้นนนนนเชียว ดูชิดซ้ายตกขอบเวทีไปเร้ยยยยย

ก้อแหม ๆ ๆ ทั้งช็อกฯ ทั้งผลไม้ จะไปสู้คนกินมิได้ชิมิล่ะค้าคุณตันขา ทั้งสดทั้งสวย อย่าบอกใครเชียว!!...

แต่ดูไปดูมา!! อีที่ตอนที่กะลังป้อน คุณซีอีโอตันออกอาการ “เกรง ๆ” อุ๊ย!! “เกร็ง ๆ” ยังไงมิรู้อ่ะน่ะ จนกองเชียร์ลุ้นสุดตัว “จะเอาคำใหญ่ หรือคำเล็กดีล่ะตะเอ๊ง” แบบไหนก็ได้จ้าแต่ “อย่าป้อน” ผิดคนล่ะก๊าน...ฮึมมมม.
ที่มา เดลินิวส์

อาชีพ “ธนาคาร” เนื้อหอม-“แบงก์พาณิชย์” ฟาดหลักล้านรุมแย่งซื้อตัวคนเก่ง

“แบงก์พาณิชย์” เปิดศึกช่วงชิงคนเก่ง โดยตำแหน่ง “วาณิชธนกิจ” เป็นที่ต้องการมากที่สุด มีบางแห่งทุ่มเงินถึงหลักล้าน เพื่อล่าตัวมาอยู่ด้วย ด้าน “กสิกรฯ” ดึงคนรุ่นใหญ่ภาษาดี เพื่อรองรับตลาดทุนเสรีที่มีลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ขณะที่ “ไทยพาณิชย์” รับเพิ่ม 2,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่าของจีดีพี ส่วน “ธ.ทหารไทย” รับอีก 1,000 คน ปูพรมบริการลูกค้าทุกกลุ่ม

วันนี้ (7 มี.ค.) หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ปี 2554 ว่า จะมีผู้ว่างงานเฉลี่ย 4.03 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 1% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ยังขาดแคลนแรงงาน ทั้งกลุ่มยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและสิ่งทอ ขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารได้สะท้อนความต้องการรับพนักงานใหม่ เพื่อขยายธุรกิจและทดแทนคนลาออกด้วย

ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจธนาคารพาณิชย์ไทย ถึงแนวโน้มทรัพยากรบุคคลในวงการธนาคาร พบว่า เมื่อปีที่ผ่านมาแต่ละธนาคารรอดูทิศทางเศรษฐกิจ จึงชะลอการรับพนักงานใหม่ และเมื่อต้นปี 2554 เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้หลายธนาคารมีนโยบายรับพนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และเพื่อทดแทนคนเก่าที่ลาออกไป โดยรวมธุรกิจธนาคารในระบบประกาศรับคนใหม่ประมาณ 10,000-12,000 คน เฉพาะ 5 ธนาคารใหญ่รับพนักงานประมาณ 7,000 คน ได้แก่ บมจ.กรุงเทพ 1,100-1,200 คน บมจ.กรุงไทย 1,250 คน บมจ.กสิกรไทย 3,300 คน ไทยพาณิชย์ 2,000 คน ขณะที่ บมจ.ทหารไทย เปิดรับ 1,000 คน

ส่วนตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการอย่างมากจนเกิดการแย่งซื้อตัวนั้น จะมีทั้งตำแหน่งวาณิชธนกิจ (Investment Banking: IB) ที่ปัจจุบันค่อนข้างขาดตลาด ประกอบกับธนาคารส่วนใหญ่ต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์ระดับผู้บริหาร หรือหัวหน้าทีมโดยมีการเสนอค่าตัวสูงเป็นหลักล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งที่ปรึกษาให้คำแนะนำลูกค้าธุรกิจ หรือพนักงานด้านสินเชื่อขนาดใหญ่ ด้านบริหารการเงิน พนักงานสัมพันธ์ และด้านบริการทั้งลูกค้ารายย่อย ลูกค้าเอสเอ็มอี รวมถึงระดับปฏิบัติการ เป็นต้น

ด้าน นางสาวเดือนเพ็ญ ภวัครานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (บมจ.) กล่าวถึงแนวโน้มทรัพยากรบุคคลวงการเงินการธนาคาร ว่า ทิศทางธุรกิจธนาคารแนวโน้มดี เห็นได้จากการขยายตัวของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น การขยายการให้บริการลูกค้า การตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ มากขึ้น การขยายตัวของธนาคารต่างๆ ในเมืองไทยและธนาคารต่างประเทศที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย รวมถึงการที่ธนาคารเตรียมตัวรองรับลูกค้าที่หลากหลายเชื้อชาติ จากตลาดการเงินที่เปิดเสรี ที่ต้องการบุคคลที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น มาร่วมงาน เหล่านี้เป็นโอกาสของบุคคลที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานภาคการเงินเพิ่มขึ้น

“โดยเฉพาะปีนี้ความต้องการแรงงานใหม่ในระบบธนาคารมีประมาณ 10,000-12,000 คน เป็นปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 40% โดยอัตราที่ประกาศรับสมัครดังกล่าว ทุกธนาคารยังคงระมัดระวังให้การเพิ่มคนสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ โดยที่ผ่านมาภาคธนาคารรับสมัครประมาณ 6,000-7,000 คน ลักษณะการรับพนักงาน จะเป็นการทยอยรับโดยดูสภาวะเศรษฐกิจไปด้วย เมื่อเห็นธุรกิจมีสัญญาณดีจึงมีการรับคนเพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ การรับสมัครคนเพิ่มนั้น วัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เช่น ธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกันเพื่อทดแทนคนลาออก ทั้งคนเกษียณอายุ เปลี่ยนงาน มีความจำเป็นทางครอบครัว ฯลฯ ที่สำคัญ คือ คนวัย Gen-Y (อายุประมาณ 24-29 ปี ) ที่ต้องการแสวงหางานที่ชอบ องค์กรที่โดนใจ บางส่วนก็ลาออกจากธนาคารเอกชนไปทำงานกับธนาคารของรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นมาก

สำหรับธนาคารกสิกรไทยปีนี้รับพนักงานเพิ่มอีก 3,300 คน วุฒิการศึกษาปริญญาตรีและโท 50:50 จากปัจจุบันธนาคารมีพนักงานทั่วประเทศ 15,500 คน ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับคนลาออก และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ จากปีก่อนรับสมัคร 2,400 คน

“กลุ่มคนวัย Gen-Y หรือคนรุ่นใหม่จะลาออกเยอะ ยิ่งมีประสบการณ์ 3-5 ปี ยิ่งเนื้อหอม มีการดึงตัวระหว่างแบงก์ต่างๆ เพื่อไปสร้างทีม ไปสร้างธุรกิจได้ทันที โดยเฉพาะตำแหน่งงานที่หารายได้ เช่น งานขาย งานพัฒนาธุรกิจ งานสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (RM) งานให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้า เป็นต้น ส่วนการกำหนดผลตอบแทน แต่ละแบงก์ต่างพยายามเสนอผลตอบแทนที่จูงใจ เพื่อดึงดูดคนใหม่มาร่วมงาน และรักษาคนเก่าไว้ สำหรับกสิกรไทยเน้นรับคนใหม่ที่มีความซื่อสัตย์ ทำงานแบบมืออาชีพ และมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร”

ขณะที่ ช่องทางการรับสมัครพนักงานนั้น พบว่า มีปริมาณการสมัครผ่านเว็บไซต์ 80% เพราะสะดวก รวดเร็ว ประหยัด โดยธนาคารต้องคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น ปีนี้ประกาศรับจำนวน 3,300 คน เป็นการคัดเลือกจากฐานข้อมูลที่ยื่นใบสมัครประมาณ 30,000-40,000 อัตราเลยทีเดียว

นายมนูญ สรรค์คุณากร รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มทรัพยากรบุคคล บมจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ธุรกิจธนาคารอยู่ในห้วงของการเจริญเติบโต ขณะเดียวกันทรัพยากรบุคคลของธนาคารยังมีการลาออกซ้ำๆ (turn over) เป็นลักษณะที่หมุนเข้ามาเป็นระยะ คาดว่าจะอยู่ในลักษณะนี้ไปอีก 1-2 ปี ขณะที่ธนาคารพยายามจะคัดสรรคนใหม่ให้เข้ามาอยู่ในวิชาชีพนานๆ จึงจำเป็นต้องรับคนใหม่เพิ่มขึ้นคาดว่าน่าจะมากกว่า 2เท่าของจีดีพี

“สำหรับไทยพาณิชย์ รับคนใหม่ 2,000 คน จากที่มีอยู่ 19,000 คน เพื่อรองรับการขยายงานและการลาออกประมาณ 8-9% ต่อปี สำหรับตำแหน่งที่ต้องการมีทั้งที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการควบรวมกิจการ หรือเทกโอเวอร์ เพื่อรองรับงานลูกค้ารายใหญ่ที่ขยายตัว”

ปิดท้ายที่ ดร.เอกพล ณ สงขลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายกลยุทธ์องค์กรและทรัพยากรบุคคล บมจ.ทหารไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารตั้งใจจะดูแลและให้บริการลูกค้าในสาขา รวมถึงดูแลความสัมพันธ์และแนะนำทั้งลูกค้ารายใหญ่ รายย่อยและเอสเอ็มอี จึงรับคนใหม่อีก 1,000 อัตราเพื่อรองรับการขยายงานจากที่มีพนักงานอยู่แล้วกว่า 8,000 คน
อาชีพ “ธนาคาร” เนื้อหอม-“แบงก์พาณิชย์” ฟาดหลักล้านรุมแย่งซื้อตัวคนเก่ง
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ผู้เชี่ยวชาญพลังงาน” ห่วงน้ำมันขึ้น หลังโรงกลั่นญี่ปุ่นเสียหายสึนามิ

ภาพความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันได้รับความเสียหายไฟลุกท่วม
“ผู้เชี่ยวชาญพลังงาน” ห่วงสถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่ง หลังทราบข่าวโรงกลั่นหลายแห่งในญี่ปุ่นได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นตอนนี้ต้องหันไปพึ่งน้ำมันจากสิงคโปร์แทน

วันนี้ (11 มี.ค.) นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ว่า อาจจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ ทำให้ปรับตัวขึ้น หลังโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งเกิดไฟไหม้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะรุนแรงแค่ไหน ซึ่งในส่วนโรงกลั่นต้องหยุดซ่อมกี่วัน หรือทำให้ปริมาณน้ำมันหายไปเท่าใด โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นต้องสั่งซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์มากขึ้น และมีผลต่อราคาน้ำมันในประเทศไทยให้อาจปรับสูงขึ้นได้ เพราะไทยอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์เป็นหลัก
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นักลงทุนตื่นสึนามิกดหุ้นไทยร่วง

“สึนามิ”พ่นพิษนักลงทุนตื่นส่งผลหุ้นไทยปิดตลาด1,007.06 จุด ลดลง 12.16 จุด มูลค่าการซื้อขาย 28,549.06 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 11 มี.ค. ยังคงอ่อนไหวและเผชิญกับปัจจัยลบในต่างประเทศ ส่งผลให้ระหว่างวันดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 1,004.44 จุด ทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,014.78 จุด จนมาปิดตลาดที่ 1,007.06 จุด ลดลง 12.16 จุด หรือ 1.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28,549.06 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 267.90 จุด ลดลง 0.62 จุด มูลค่าซื้อขาย 379.52 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก
1.ไอวีแอล ปิดที่ 49.00 บาท ลดลง 1.75 บาท
2.พีทีแอล ปิดที่ 23.60 บาท ลดลง 0.10 บาท
3.ไทยออยล์ ปิดที่ 77.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
4.ธ.ไทยพาณิชย์ ปิดที่ 102.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
5.ซีพีเอฟ ปิดที่ 24.30 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคที ซีมิโก้ มองว่า ดัชนีหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และราคาน้ำมันดิบ รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าอยู่เหนือความคาดหมาย ทำให้ดัชนีปรับลดลงหนักช่วงบ่าย แต่ก็มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเหตุสึนามิช่วยประคองไม่ให้หุ้นไทยปรับลดลงมากนัก
ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์หน้า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน ซึ่งต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะเหตุการสึนามิว่าจะกระทบไปยังประเทศอื่นหรือไม่ รวมถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และตัวเลขเงินเฟ้อของจีน ซึ่งประเมินแนวรับแรกที่ 1,000 จุด หากยืนไม่ไหวจะมีแนวรับถัดไปที่ 985 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,020-1,030 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรโดยเทขายเมื่อเพิ่มขึ้น และซื้อเมื่ออ่อนตัว.
นักลงทุนตื่นสึนามิกดหุ้นไทยร่วง
ที่มา เดลินิวส์

3เศรษฐีเมืองไทย รวยติดอันดับโลก

"มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "เฟซบุ๊ก" แห่งโลกสังคมออนไลน์ รวยแบบก้าวกระโดดขึ้นทำเนียบอภิมหาเศรษฐีโลกจากการจัดอันดับประจำปีของนิตยสาร “ฟอร์บส์” เผยมีทรัพย์ สินถึง 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมเพื่อนก็ได้ดีด้วย ขณะที่อันดับ 1 ของโลกยังคงเป็นของ “คาร์ลอส สลิม” เจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมจากเม็กซิโก รวยถึง 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองแชมป์สองปีซ้อนโดยโค่น “บิล เกตส์” เจ้าของไมโครซอฟต์ร่วงลงไปอยู่อันดับ 2 ส่วนอภิมหาเศรษฐีจากประเทศไทยยังคงมี 3 คนเหมือนเคย เป็นเจ้าสัวซีพี, กระทิงแดง และ ช้าง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ว่า นิตยสาร “ฟอร์บส์” อันทรงอิทธิพลด้านการเงินในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีประจำปี ค.ศ. 2011 โดยระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมา จำนวนอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นติดอันดับรวมแล้ว 1,210 คนด้วย รวมทรัพย์สินก็เพิ่มขึ้นเช่นกันจาก 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของอภิมหาเศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีอภิมหาเศรษฐีหน้าใหม่ป้ายแดงมาจากประเทศบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และ จีน โดยเฉพาะจีนมีระดับอภิมหาเศรษฐีพันล้านอยู่ถึง 115 คนด้วยกัน ซึ่งคนที่รวยที่สุดของจีนชื่อนายโรบิน หลี่ มีทรัพย์สิน 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านอันดับ 1 ของโลก ซึ่งครองตำแหน่งเป็นปีที่สองติดต่อกันแล้ว คือ นายคาร์ลอส สลิม เฮลู เจ้าของธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคมและอื่นๆในประเทศเม็กซิโก มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุเพราะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของเม็กซิโกให้ผลตอบแทนดี ประกอบกับค่าเงินเปโซแข็งตัว รวมทั้งผลกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งทางนิตยสารฟอร์บส์ระบุว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขามาจากการถือหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคม อเมริกา โมวิล ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในแถบลาตินอเมริกา

อันดับ 2 ยังคงเป็นของนายบิล เกตส์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป ปัจจุบันเป็นคนใจบุญสุนทานไปแล้ว เขามีทรัพย์สิน 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นิตยสารฟอร์บส์ระบุว่า เกตส์ซึ่งเคยเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ได้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเกตส์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การฟื้นตัวของการลงทุนในตลาดหุ้นช่วยให้นักลงทุนอย่างนายวอร์เรน บัฟเฟต์ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการที่ผู้คนกลับมาชื่นชอบสินค้าหรูหราส่งผลให้นายเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท แอลวีเอ็มเอช ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 7 เป็นอันดับ 4 ของอภิมหาเศรษฐีโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ 10 อันดับแรกนั้นแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นแต่นางคริสตี้ วอลตัน ซึ่งมีพ่อสามีชื่อ แซม วอลตัน กับน้องชาย ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งห้างสรรพสินค้าวอล-มาร์ท เข้ามาอยู่ในอันดับ 10 แทนนายคาร์ล อัลเบรชท์ จากเยอรมนี โดยนางวอลตันอยู่ในหนึ่งของบัญชีรายชื่ออภิมหาเศรษฐีโลกสำหรับผู้หญิง 102 คนในปีนี้ด้วย เธอมีทรัพย์สิน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนาย
อัลเบรชท์เจ้าของธุรกิจห้างสรรพสินค้าขายปลีกร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 12 ทรัพย์สิน 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกนั้น ก็มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากเดิมปีที่แล้วอยู่ในอันดับที่ 212 แต่มาปีนี้ก้าวกระโดดขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 52 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เพื่อนร่วมงานอีกสองคนก็ติดอันดับด้วย โดยนายดัสติน มอสโควิทซ์ ก้าวขึ้นมาอยู่ในทำเนียบอภิมหาเศรษฐีโลกกับเขาด้วยเป็นครั้งแรก ทั้งที่อายุแค่ 26 ปี และ มีทรัพย์สิน 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในอันดับที่ 420

ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีติดอันดับ 3 คนเช่นเคย คือ นายธนินท์ เจียรวนนท์เจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ อันดับที่ 152 ทรัพย์สิน 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยนายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อ “กระทิงแดง” อยู่ในอันดับที่ 208 มีทรัพย์สิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของผลิตภัณฑ์ช้างอยู่อันดับที่ 247 มีทรัพย์สิน 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.
3เศรษฐีเมืองไทย รวยติดอันดับโลก
ที่มา เดลินิวส์

เผยอันดับเศรษฐีโลกปี 2011 คาร์ลอส สลิม รวยสุด

คาร์ลอส สลิม รวยสุดในโลก รวยอันดับที่ 1 ของโลก
ธนินท์ เจียรวนนท์ รวยอันดับที่ 152 ของโลก
เฉลียว อยู่วิทยา รวยอันดับที่ 208 ของโลก
เจริญ สิริวัฒนภักดี รวยอันดับที่ 247 ของโลก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสารฟอร์บส

นิตยสารฟอร์บส จัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก คาร์ลอส สลิม เฮลู เศรษฐีชาวเม็กซิโกคว้าตำแหน่งที่ 1 ไปครองถึง 2 ปีซ้อน ด้าน บิล เกตส์ เจ้าของไมโครซอฟต์ ตกไปอยู่ที่ 2 ส่วนของไทยเจ้าสัวซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ คว้าอันดับ 1 ของไทย และอันดับที่ 152 ของโลกไปครอง

นิตยสารฟอร์บส นิตยสารชื่อดังระดับโลก ได้ทำการจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2011 โดยในปีนี้ คาร์ลอส สลิม เฮลู เศรษฐีชาวเม็กซิโก เจ้าของธุรกิจโรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของทวีปอเมริกา แชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว ก็ยังคงครองตำแหน่งที่ 1 เหมือนเดิม ด้วยทรัพย์สินที่มีทั้งหมดกว่า 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) ตามมาด้วย บิล เกตส์ หรือ วิลเลี่ยม แฮร์รี่ "บิล" เกตส์ ที่ 3 เจ้าของบริษัทไมโครซอฟต์ บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ชื่อดังของโลกที่มีทรัพย์สินทั้งหมด 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท) และอันดับ 3 ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟต์ ซีอีโอและผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัททางด้านการลงทุนอันดับต้น ๆ ของอเมริกา ที่มีทรัพย์สินทั้งหมด 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)

ทั้งนี้ ในกลุ่มเศรษฐีที่น่าสนใจและจับตามอง ก็คงจะหนีไม่พ้น มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง ที่มีการนำอัตคชีวประวัติของเขาไปทำภาพยนตร์มาแล้ว โดย ซักเคอร์เบิร์ก มีทรัพย์สินกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4 แสนล้านบาท) โดยปีที่แล้วเขาอยู่ในอันดับที่ 212 แต่มาปีนี้ เขาก้าวกระโดดมาไกลถึงอันดับที่ 52 และยังมีนักธุรกิจหญิงที่เกาะกลุ่ม 1 ใน 10 อันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอยู่ด้วยคือ คริสตี้ วอลตัน เจ้าของ วอลมาร์ท มินิมาร์ทชื่อดังของอเมริกา ที่มีทรัพย์สินกว่า 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8 แสนล้านบาท) และในปีนี้มีเศรษฐีจากฝั่งเอเซียติดอันดับเข้ามามากมาย โดยมี ลักษมี มิทตาล มหาเศรษฐีชาวอินเดีย เจ้าของธุรกิจเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย ที่มีทรัพย์สินกว่า 3.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท) ติดเข้าไปที่อันดับ 6 ของตาราง

สำหรับประเทศไทยเอง มีเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศติดอันดับกับเขาด้วย เช่น ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) คว้าอันดับ 1 ของไทย และอันดับที่ 152 ของโลกไปครองด้วยทรัพย์สินที่มีกว่า 1.96 แสนล้านบาท ตามมาด้วย เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง อยู่ที่อันดับที่ 208 ของโลก มีทรัพย์สินทั้งหมด 1.51 แสนล้านบาท และ เจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง ติดอันดับที่ 247 ของโลก มีทรัพย์สินทั้งหมด 1.3 แสนล้านบาท

สำหรับ อันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก อันดับที่ 1 ถึง 20 มีดังนี้

1. คาร์ลอส สลิม เฮลู และครอบครัว
เจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของบราซิล มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท)

2. บิล เกตส์ หรือ วิลเลี่ยม แฮร์รี่ "บิล" เกตส์ ที่ 3
เจ้าของบริษัทไมโครซอฟต์ บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ชื่อดังของโลก มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท)

3. วอร์เรน บัฟเฟต์
ซีอีโอและผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัททางด้านการลงทุนอันดับต้น ๆ ของอเมริกา มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)

4. เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์
ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริษัท LVMH ชาวฝรั่งเศส ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง, ดิออร์, เฟนดิ, จีวองชี่, เคนโซ่, มาร์ค จาค็อบ, บุลการี่ และยังมีธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหลายแบรนด์ ที่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา เช่น เฮนเนสซี่ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)

5. แลร์รี่ เอลลิสัน หรือ ลอว์เรนซ์ โจเซฟ เอลลิสัน
ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออร์ราเคิล คอร์เปอเรชั่น ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับโลกอีกรายหนึ่ง มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.198 ล้านล้านบาท)

6. ลักษมี มิทตาล
มหาเศรษฐีชาวอินเดีย เจ้าของธุรกิจเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.43 แสนล้านบาท)

7. อามันซิโอ ออร์เตก้า
เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง "ซาร่า" ชาวสเปน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.10 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท)

8. ไอค์ บาติสต้า
นักธุรกิจชาวบราซิล เจ้าของธุรกิจเหมืองแร่และน้ำมัน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.09 แสนล้านบาท)

9. มูเกช อัมบานี
เจ้าของธุรกิจปิโตรเคมีและน้่ำมันชาวอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.18 แสนล้านบาท)

10. คริสตี้ วอลตัน และครอบครัว
หนึ่งในผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของวอลมาร์ท มินิมาร์ทชื่อดังของอเมริกา เป็นลูกสะใภ้คนเก่งของ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้ง วอลมาร์ท มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.03 แสนล้านบาท)

11. ลี กา ชิง
นักธุรกิจชาวฮ่องกง เจ้าของธุรกิจหลายแขนง เช่น ท่าเรือ, โรงแรม, อสังหาริมทรัพย์, ประกันชีวิต และโทรศัพท์มือถือฮัชชิสัน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.88 แสนล้านบาท)

12. คาร์ล อัลเบรชต์
นักธุรกิจชาวเยอรมัน เจ้าของธุรกิจคาปลีก "อัลดิ" มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.73 แสนล้านบาท)

13. สเตฟาน เพอร์สสัน
เจ้าของบริษัทผลิตเสื้อผ้าชื่อดังของสวีเดน "Hennes & Mauritz" มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.43 แสนล้านบาท)

14. วลาดิเมียร์ ลิซิน
เจ้าของธุรกิจผลิตเหล็กอันดับ 1 ในรัสเซีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.27 แสนล้านบาท)

15. ลิเลียน บิททองกูต์
นักธุรกิจหญิงชาวฝรั่งเศส ผู้ถือหุ้นหลักของแบรนด์เครื่องสำอางค์ระดับโลกอย่าง ลอรีอัล มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.12 แสนล้านบาท)

16. เชลดอน อเดลสัน
เจ้าของกาสิโนยักษ์ใหญ่ในอเมริกา มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 7.06 แสนล้านบาท)

17. เดวิด ทอมสัน
เจ้าของบริษัทผลิตสื่อของแคนาดา มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6.97 แสนล้านบาท)

18. ชาร์ลส คอช
นักธุรกิจคนพี่ เจ้าของธุรกิจการผลิต-การค้า-การลงทุนของประเทศอเมริกา คอช อินดัสทรี่ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6.67 แสนล้านบาท)

19. เดวิด คอช
นักธุรกิจคนน้อง เจ้าของธุรกิจการผลิต-การค้า-การลงทุนของประเทศอเมริกา คอช อินดัสทรี่ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6.67 แสนล้านบาท)

20. จิม วอลตัน
ลูกชายคนเล็กของ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้ง วอลมาร์ท มีศักดิ์เป็นน้องสามีของ คริสตี้ วอลตัน บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 10 นั่นเอง ปัจจุบัน จิม ดำรงตำแหน่งประธานบริหารของธนาคารอาร์เวสต์ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6.46 แสนล้านบาท)

เผยอันดับเศรษฐีโลกปี 2011 คาร์ลอส สลิม รวยสุด
ที่มา กระปุก

คลังบทความของบล็อก