3 แบงก์ผนึกกำลังปล่อยกู้

3 แบงก์ผนึกกำลังปล่อยกู้กลุ่มไมเนอร์3,000 ล้านลุยธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร

เมื่อวันที่ (25 ก.พ.) นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ได้ร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารกสิกรไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มบริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลในวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพราะเห็นว่าธุรกิจอาหาร ธุรกิจบันเทิงและธุรกิจโรงแรมยังขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่การอุปโภค-บริโภคมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ส่วนจะมีการปล่อยกู้รายใหญ่อีกหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากขณะนี้บริษัทรายใหญ่หลายรายเริ่มที่จะขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น โดยในส่วนของธนาคารพร้อมที่จะสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าด้วยการใช้เครือข่ายในต่างประเทศ

สำหรับกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางนั้น อาจจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจเอเชียมีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจโลก ขณะที่สภาพคล่องในระบบไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ส่วนกรณีที่มีการออกแคมเปญเงินฝากกันมากในช่วงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติในการเสนอบริการให้ผู้ฝากเงินไม่เกี่ยวกับการลดวงเงินคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่มีผลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ซึ่งยอมรับว่าเมื่อมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้เงินไหลออกบ้าง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบธนาคารพาณิชย์

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้จะเห็นธนาคารพาณิชย์ร่วมมือกันปล่อยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นทำให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมามีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ชะลอการลงทุนจากปัญหาทางการเมือง ซึ่งการปล่อยกู้ครั้งนี้เป็นส่วนของธนาคารกสิกรไทย 1,200 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ 1,200 ล้านบาท และธนาคารกรุงศรีอยุธยา 600 ล้านบาท.

ที่มา เดลินิวส์

“ไตรรงค์”ยันรัฐพร้อมหนุนท่องเที่ยว

“ไตรรงค์”ยันรัฐบาลพร้อมหนุนท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวทั่วไทย และไปทั่วโลก

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ก.พ. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดงานเที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 24-27 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า รัฐบาลพร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้ง 2 ด้าน คือ “เที่ยวทั่วไทย” จะสนับสนุนคนไทยเที่ยวในประเทศ เพื่อให้รู้จักประเทศของตัวเองมากขึ้น รู้วิถีชีวิต แนวความคิดที่แตกต่างของคนต่างพื้นที่ จะได้เกิดความรักสามัคคีกันมากขึ้น และจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศด้วย ขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมให้ “ไปทั่วโลก” โดยมองว่า การที่คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ จะทำให้คนไทยฉลาดขึ้น หากใครมีกำลังทรัพย์ ก็ควรจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้าง เพราะมองว่า การท่องเที่ยวหมื่นลี้ ยังดีกว่าการอ่านหนังสือ 1 ห้องสมุด

สำหรับสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว คือ การดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่เที่ยวไทย, การปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวที่ทรุดโทรม ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงถนน ไฟฟ้า และห้องน้ำ การแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ต่างจากเดิมที่เคยมีอยู่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รู้สึกตื่นเต้น อยากมาสัมผัส การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น โดยผ่านช่องทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และการใช้นโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (ครีเอทีฟ อีโคโนมี) ช่วยให้การท่องเที่ยวก้าวหน้าขึ้น

"ปีที่ผ่านมารู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยมีถึง 15.62 ล้านคน มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งที่ไทยมีเหตุการณ์วุ่นวาย แสดงให้เห็นว่าไทยต้องมีอะไรดี นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงยังเดินทางมา ซึ่งไทยต้องรักษาความดีเอาไว้ พร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งต้องส่งเสริมทั้ง 2 ด้าน คือ เที่ยวทั่วไทย และไปทั่วโลก" นายไตรรงค์ กล่าว

ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า ภาพรวมคนไทยเที่ยวต่างประเทศปีนี้ยังโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และเศรษฐกิจในประเทศเติบโต สำหรับการจัดงานเที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก ครั้งที่ 8 วันที่ 24-27 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มั่นใจว่า จะมียอดขายแพ็กเกจเที่ยวไทยและต่างประเทศในงานรวม 1,200 ล้านบาท โดยจุดเด่นของงานปีนี้คือ ได้จำลองโรงภาพยนตร์ไว้ในงาน ภายใต้ชื่อ ทราเวล เธียเตอร์ เพื่อให้องค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ มานำเสนอการท่องเที่ยวประเทศตัวเอง รวมทั้งมีการแสดงชื่อดังจากทั่วโลก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกปีนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เน้นเรื่องการลด แลก แจก แถม แพ็กเกจทัวร์ เช่น ซื้อ 1 แถม 1 แต่มีการลดราคาตั้งแต่ 500-3,000 บาท โดยประเทศที่ได้รับความสนใจสูงสุดวันแรก คือ ญี่ปุ่น.
ที่มา เดลินิวส์

e-book ขายแซงหนังสือจากโรงพิมพ์

อีบุ๊ก (E-Book) หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันขายได้มากกว่าหนังสือเป็นเล่มที่พิมพ์จากกระดาษที่เราหาซื้ออ่านตามแผงหนังสือแล้ว

อาร์มาเก็ดคอนได้ประกาศว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทคินเดิ้ล (Kindle E-Books) สามารถทำยอดขายชนะหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษทั่วไป โดยเฉพาะหนังสือประเภทที่ขายดีที่สุดของร้านขายหนังสือของอะเมซอน

เมื่อกลางปีหรือกรกฎาคมที่ผ่านมาปีที่แล้ว ทางอะเมซอนได้ประกาศว่า หนังสือที่บรรจุในคินเดิ้ลขายได้ดีกว่าหนังสือปกแข็งอย่างดี โดยหนังสือในคินเดิ้ลและหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษเป็นเนื้อหาเหมือนกัน

คินเดิ้ลเป็นคอมพิวเตอร์แบบกระดานชนวนที่ขนาดด้านหน้าประมาณปกหนังสือปกแข็งภาษาอังกฤษที่มีจำหน่ายทั่วไปตามแผงหนังสือแต่บางกว่า พกพาสะดวกกว่าและเบากว่าหนังสือเล่มหนา ๆ หนัก ๆ ทั่วไป แต่ปัจจุบันหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุในแบบของคินเดิ้ลมีมากมายหลายประเภท เช่น ไอโฟน ไอแพด แบล็คเบอร์รี่ และแอนดรอยด์

สำหรับหนังสือภาษาอังกฤษปกแข็ง (Hard Cover Book) ที่พิมพ์มาจากโรงพิมพ์อย่างดีจะมีราคาสูงกว่าหนังสือภาษาอังกฤษที่พิมพ์ด้วยปกอ่อนและมีกระดาษภายในสีเหลืองอ่อน โดยปกติหนังสือปกแข็ง กระดาษภายในสีขาวคุณภาพดี จะมีราคาสูงกว่าสัก 4- 5 เท่า คนเลยมักจะนิยมอ่านหนังสือปกอ่อน หรือ Paperback มากกว่า โดยเฉพาะหนังสืออ่านเล่น แต่ถ้าเป็นตำราวิชาการที่สหรัฐอเมริกาหรือยุโรปก็จะพิมพ์ปกแข็ง แต่ในประเทศเอเชียเขาพิมพ์ปกอ่อนกระดาษอย่างดี แต่ราคาถูกกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง

อะเมซอนได้รายงานว่า ในจำนวนหนังสือปกอ่อน (Paperback Books) ที่ขายได้ 100 เล่ม จะสามารถขายในคินเดิ้ลได้ถึง 115 เล่ม ตั้งแต่ต้นปีที่เพิ่งผ่านมา

ในควอเตอร์สุดท้ายของปีที่ผ่านมาซึ่งเป็น 3 เดือนสุดท้าย จนถึง 31 ธันวาคม อะเมซอนขายได้ประมาณ 390,000 ล้านบาท ซึ่งยอดขายมากกว่าปีที่แล้วถึง 31%

นอกจากนี้ยอดขายในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา กระโดดสูงขึ้นถึง 50% มากกว่าของปีที่แล้ว ถ้าหากเป็นยอดขายทั่วทั้งโลกสูงขึ้น 26%

นอกจากคินเดิ้ลของอะเมซอนที่ขายหนังสืออิเล็กทรอ นิกส์แล้ว ก็ยังมี บาร์นส์แอนด์โนเบิ้ล นุ๊ค โซนี่ และบอร์เดอร์ส โคโบ

อีบุ๊กหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้น เป็นอีกหนึ่ง นวัตกรรมที่นิยมใช้ในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ แต่ปัจจุบันหลายโรงเรียนในประเทศเหล่านี้ เขาใช้ไอแพดเพื่อบรรจุหนังสืออ่าน ทำรายงาน ส่งการบ้าน และเรียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต กับอาจารย์สอนหนังสือหรือที่เรียกว่าระบบ อีเลิร์นนิ่ง (E-Learning)

ประเทศไทยหากกระแส 3G แรง ก็อาจจะได้เห็นนักศึกษาและนักเรียนถือคอมพิวเตอร์ประเภทไอแพดหรือคินเดิ้ลไปเรียนหนังสือโดยไม่ต้องแบกกระเป๋าหนังสือขนาดหนักไปเรียน อนาคตแบบนี้คงรอไม่นาน.

รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
อธิการบดี มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
boonmark@stamford.edu
ที่มา เดลินิวส์

แนะผู้หญิงออมเงินเพื่ออนาคต เพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุน

แนะผู้หญิงออมเงินเพื่ออนาคต เพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุน สิ่งเย้ายวนใจที่ทำให้ต้องสูญเสียเงินมีอยู่รอบด้าน หากจัดการบริหารเงินในกระเป๋าไม่ดีจะประสบปัญหาหนี้สินตามมาโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสิ่งเร้าให้เสียเงินอยู่บ่อยครั้ง การสร้างวินัยในการใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เด็กเพื่อให้เรียนรู้การใช้เงินที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนา “เงินในกระเป๋า กับรักของเรา” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่โรงแรมรอยัลซิตี้ เพื่อให้เยาวชนรู้จักวางแผนการใช้เงินในอนาคต โดย ส.ส.รัชดา กล่าวว่า ธรรมชาติของผู้หญิงใช้เงินด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ผู้หญิงจึงมีจุดด้อยเรื่องการบริหารจัดการเงินในกระเป๋า ตำราบางเล่มเขียนไว้ว่าผู้หญิงเผชิญภาวะ 3 ดีด้วยกันคือ ดาย (die) ตามตัวเลขอัตราประชากรเห็นว่าผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย จึงมีโอกาสสูงมากที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ถ้าไม่รู้จักวางแผนการใช้เงินในอนาคตให้ดีจะอยู่อย่างไร อย่าคิดเอาชีวิตไปพึ่งกับใคร เพราะการเริ่มต้นชีวิตด้วยการพึ่งคนอื่นนั้นไม่ดีแน่นอน

ดิวอร์ซ (divorce) ผู้หญิงคิดว่าวันนี้คนรักและแต่งงานกับเขา แต่วันหนึ่งเขาอาจทิ้งไปและจะทำอย่างไร และ ดิสแอสเตอร์ (disaster) เพราะความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดในชีวิต ดังนั้นต้องระมัดระวังการใช้เงิน รู้จักเก็บออมเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้ดูแลตัวเองได้ อยากให้ผู้หญิงรู้จักดูแลเงินในกระเป๋าให้เป็น โดยเริ่มจากกลับไปสำรวจสิ่งของที่มีอยู่ที่บ้านว่ามีอยู่แค่ไหน จำเป็นหรือไม่ และเตือนตัวเองทุกครั้งหากจะซื้อของ ส่วนการให้รางวัลตัวเองสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ทำบุญเพิ่มความสุข อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าต้องเป็นวัตถุ เพราะสุดท้ายจะรกบ้านและน่ารำคาญ แม้ชีวิตต้องใช้เงินแต่เงินไม่ใช่ตัวสุดท้ายที่จะบอกว่าชีวิตมีความสุขหรือไม่ ถ้าดูแลเงินไม่เป็นชีวิตไม่มีความสุขแน่นอน

ขณะที่ ดร.ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสนับสนุนว่า งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้หญิงยุคนี้เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในเกณฑ์ยากจนมากที่สุดในโลก เพราะแก่ง่ายตายยาก ไม่ทำงานให้สามีเลี้ยงเมื่อสามีตายจึงทำงานไม่ได้ และเมื่อเข้าสู่ชีวิตคู่ผู้หญิงที่หาเงินได้ 100 บาท ใช้จ่ายกับครอบครัวสูงถึง 80 บาท ขณะที่ผู้ชายใช้จ่ายกับครอบครัวเฉลี่ย 50 บาทเท่านั้น ความรักจึงเป็นเหตุชักนำให้ผู้หญิงเข้าสู่วงจรหนี้สินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นต้องรักตัวเองเก็บออมเงินที่ได้ และเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุน เมื่อซื้อของให้ถามตัวเองว่าอยากได้หรือเป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ อย่าใช้เพราะไม่จำเป็น เพราะความไม่แน่นอนในชีวิตมีมาก และเศรษฐกิจโลกไม่เป็นมิตรกับผู้หญิง ไม่เคยคิดคุณค่าของผู้หญิงในฐานะต่าง ๆ ผู้หญิงจึงเหมือนมนุษย์ที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ทั้งที่เป็นผู้หาเงินให้แก่ครอบครัวและคนอื่น จึงเป็นที่มาของคำว่าผู้หญิงมีจิตสาธารณะ

ส่วนเจ้าของร้านอาหารอัธยาศัยดี อุไรวรรณ นพคุณ ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยถ่ายทอดประสบการณ์ว่า วัยเรียนใช้เงินทางบ้านหมดไปกับการเที่ยว กระทั่งคุณพ่อแนะนำให้เปิดร้านอาหารของตัวเอง จึงตัดสินใจกู้เงินมาลงทุน ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจึงรู้ว่าเงินขาดมือเป็นอย่างไร ซึ่งเงินที่เก็บไว้ไม่เพียงพอ จึงต้องวางแผนเพื่ออนาคตเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปัจจุบันเห็นเด็กขอเงินคุณพ่อคุณแม่โดยอ้างว่าไปทำรายงาน แต่ความจริงนำเงินไปเที่ยว ถ้าไม่ให้ก็ไปหยิบยืมเพื่อนจนเกิดหนี้สิน หรือเป็นเหตุให้คุณแม่ต้องสร้างหนี้สินเพื่อนำเงินมาให้ลูก ส่วนกรณีเด็กที่อยากได้ของที่ไม่จำเป็นแนะนำว่าลองนำของที่มีอยู่ไปแลกกับเพื่อน จะได้ไม่ต้องไปซื้อให้สิ้นเปลือง.
ที่มา เดลินิวส์

แจ้งเกิดเครื่องดื่มสมุนไพรไทย บทพิสูจน์ฝีมือ "ตัน"

กลับ คืนสู่วงการอีกครั้งสำหรับ "ตัน ภาสกรนที" ผู้ปลุกปั้นชาเขียว "โออิชิ" จนโด่งดังและยอดขายถล่มทลาย แต่ครั้งนี้เขามาในนามของบริษัท ไม่ตัน จำกัด กับการเปิดตัวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสไตล์ไทย ๆ ในชื่อ "ดับเบิ้ลดริ้งค์" หลังจากขายกิจการให้กับ "ไทยเบฟเวอเรจ" และวางมือจากธุรกิจเครื่องดื่มลงชั่วขณะ

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์ "ตัน ภาสกรนที" ซีอีโอ บริษัท ไม่ตัน จำกัด ถึงการกลับเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มครั้งใหม่

มองการแข่งขันตลาดเครื่องดื่มในช่วงหน้าร้อนนี้ที่เป็นหน้าขายที่สำคัญอย่างไร

ยักษ์ ใหญ่ทั้งนั้น รายเล็กคงอยู่ไม่ได้แล้ว ตอนนี้แต่ละบริษัทก็ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น พอร์ตโฟลิโอแต่ละคนก็โตขึ้นด้วย เหมือนกับผมเข้ามาตอนนี้จะเข้ามาเหมือนโออิชิไม่ได้แล้ว ตอนนั้นลองทำก่อนแล้วค่อยเพิ่ม นี่ผมลงทุนทีเดียวเลย คือลงทุนล่วงหน้าไป 5 ปีแล้ว

วันนี้ถ้าจะแข่งขัน เล็ก ๆ มันแข่งไม่ได้แล้ว ตลาดมันใหญ่มากแล้ว แต่ละคนก็เงินเยอะ ถ้าเราเล็ก ๆ มันยอดขายนิดหน่อย มันทำอะไรไม่ได้

ตอน นั้นลงทุนหลักร้อยกว่าล้าน (บาท) แต่ตอนนี้ลงทุน 20 เท่าของวันที่เริ่มต้นโออิชิ นี่ลงทุน 2,400 ล้านบาทสำหรับเฟสแรก เป็นการทำล่วงหน้าไว้ 5-10 ปีเลย

หลาย ๆ คนมองว่าการทำเครื่องดื่มแบบไทย ๆ น่าจะยาก

ก็ ยาก ถ้าทำแบบเดิม ๆ วิธีเดิม ๆ ที่ผ่านมาเคยมีพวกโอท็อปหรือเอสเอ็มอีทำอยู่บ้าง เช่น ทำน้ำตะไคร้ใส่ขวดขายตามหน้าบ้าน จะว่าไปแล้วตะไคร้อย่างเดียวมันไม่แข็งแรงพอสำหรับคนไทย เพราะคนไทยรู้จักตะไคร้มานานแล้ว จึงรู้สึกไม่ตื่นเต้น ถ้าย้อนกลับไปสมัยโออิชิ ตอนนั้นเราก็ดื่มชาในร้านสุกี้ หรือกินไข่ลวกก็มีชาให้ดื่ม เพียงแต่โออิชินำชาเขียวมาใส่ขวดเข้าไปใหม่ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม นี่เป็นเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง

เหมือนกัน สมุนไพรวันนี้ผมไม่ได้เอาเรื่องของสมุนไพรมาอย่างเดียว ผมทำมาร์เก็ตติ้งด้วย และเป็นที่มาของชื่อและคอนเซ็ปต์ของ "ดับเบิ้ลดริ้งค์" คือจะต้องเพิ่มมูลค่าเพิ่ม คือเอาสมุนไพรเพิ่มซูเปอร์ฟรุตเข้าไปเป็น 2 เท่า

ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่

ใช่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเครื่องดื่มลักษณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น หากมีคนอื่นทำไปแล้วและเราไปทำตาม ก็จะเหนื่อยหน่อย

อย่าง ไรก็ตาม ปีนี้เราคงยังไม่แข่งกับใครมาก เพราะกำลังผลิตผมยังไม่มาก โรงงานเฟสแรกจะไปเสร็จก็เป็นหน้าร้อนปีหน้า แต่เราก็จะเริ่มนำร่องตั้งแต่ปีนี้ ปีหน้าก็ต้องเจอกัน

เป็นการเรียกน้ำย่อยไปก่อน

ปีนี้ผมก็ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน เน้นการสร้างแบรนด์ ไม่เน้นโปรโมชั่น ปีหน้าถึงจะพร้อมที่จะเข้าสู่การแข่งขันอย่างแท้จริง

วางแนวทางยุทธศาสตร์ไว้อย่างไร

คง ไม่พ้นทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ ทุกค่ายก็ทำเหมือนกัน และจะใส่ออนไลน์มาร์เก็ตติ้งเข้ามา เพราะเดี๋ยวนี้ทีวีแพงมาก การใช้ออนไลน์ก็เป็นส่วนเสริม แต่สิ่งที่ผมว่าแข็งแรงและได้เปรียบคืออีเวนต์

การจัดจำหน่ายหรือกิจกรรมทางการตลาด

ได้ ดีทแฮล์ม (ดีเคเอสเอช) เข้ามาช่วยซึ่งคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่ผมก็ไปทางอีเวนต์มาก จะรวมถึงการไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ซึ่งผมก็จะถือโอกาสทำ อีเวนต์ไปด้วย เพราะไม่ต้องไปไดรฟ์คนมาจากที่ไหนหรอก คนจัดงานเขาไดรฟ์กันมาเรียบร้อยแล้ว

นี่ถือเป็นจุดแข็งของผมที่จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด และเป็นต้นทุนที่ต่ำ

ตั้งเป้าให้ดับเบิ้ลดริ้งค์ติดตลาดหรือแจ้งเกิดในกี่ปี

ช้า ไม่ได้ โรงงานเสร็จก็ต้องอัดเต็มที่ อย่างที่บอกว่าตอนนี้ก็ใช้งบฯเป็น 100 ล้าน ก็ต้องการให้ติดเลย ไม่ติดไม่ได้ ก่อนที่โรงงานเสร็จต้องมียอดขายอยู่ในกระเป๋าอย่างน้อย 400-500 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ออมสินขายสลากใหม่อายุ5ปี เพิ่มรางวัล-แจกทอง จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ย2.1%

ออมสินขายสลากใหม่อายุ5ปี เพิ่มรางวัล-แจกทอง จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ย2.1% นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดตัวสลากพิเศษ 5 ปี โดยรับฝากตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์-30 มิถุนายน หน่วยละ 100 บาท ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดวงเงิน เพื่อตอบแทนลูกค้า ด้วยการมีเงินรางวัลแจกให้ทั้งสิ้นกว่า 300 ล้านบาทต่อเดือน เริ่มลุ้นรางวัลตั้งแต่งวด 1 มีนาคมนี้ คาดว่าจะมีผู้มาซื้อสลากกว่า 1.5 แสนล้านบาท จากเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท เพราะจะมีเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ที่ไหลมาฝากออมสิน จากการที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดวงเงินความคุ้มครองเหลือ 50% สำหรับลูกค้าที่มีเงินฝากเกิน 50 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคมนี้


นายเลอศักดิ์กล่าวว่า สลากพิเศษ 5 ปีนี้จะให้ผลตอบแทน 4 ต่อ โดยให้ผลตอบแทนสูงสุด 10.50 บาทต่อหน่วยเมื่อฝากครบ 5 ปี หรือดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.1% โดยออมสินจะจ่ายดอกเบี้ยแบบขั้นบันได คือปีแรกได้หน่วยละ 1.40 บาทต่อหน่วย ปีที่ 2 ได้ 2.85 บาทต่อหน่วย ปีที่ 3 ได้ 4.75 บาทต่อหน่วย และปีที่ 4-5 ได้ 8 บาทต่อหน่วย นอกจากนี้ ยังได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษเป็นทองคำแท่ง 11 รางวัล รางวัลละ 2.4 ล้านบาท รวมมูลค่า 26.4 ล้านบาท ซึ่งจะจับรางวัล 5 ครั้ง 5 เดือนติดต่อกันเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-1 กรกฎาคม นอกเหนือจากการลุ้นรางวัลเลขสลากทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 60 ครั้ง และเพิ่มจำนวนรางวัลด้วย รางวัลที่ 1 มูลค่า 5 ล้านบาท รางวัลที่ 2 มูลค่า 500,000 บาท เพิ่มจาก 4 รางวัล เป็น 5 รางวัล รางวัลที่ 3 มูลค่า 50,000 บาท เพิ่มจาก 10 ครั้ง เป็น 15 ครั้ง เพิ่มรางวัลเลขท้าย 5 ตัวอีก 1 รางวัล รางวัลเลขท้าย 4 ตัวอีก 2 รางวัล และแถมฟรีประกันอุบัติเหตุแก่ผู้ฝากทุกรายที่มีสลากมูลค่าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ในวงเงินประกันสูงสุดรายละ 1 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ดันประกันภัยคนจน จ่ายค่าเบี้ยถูกหลักร้อย ชาวบ้าน-เกษตรกรยิ้ม

จ่ายค่าเบี้ยถูกหลักร้อย ชาวบ้าน-เกษตรกรยิ้ม

นายจรัญ สอนสวัสดิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในปี 54 คปภ. มีแผนส่งเสริมให้ชาวบ้าน ผู้ใช้แรงงาน ผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยให้มีโอกาสทำประกันภัยและประกันชีวิตเพิ่มขึ้น โดยจะเน้นการออกแบบกรมธรรม์เพื่อรายย่อยที่มีเบี้ยประกันถูกหลักร้อยบาท เพื่อให้ประชาชนมีกำลังหาซื้อได้ เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันอุบัติเหตุ รวมถึงประกันใหม่ ๆ สำหรับนักกีฬา กองเชียร์

ทั้งนี้ คปภ. ได้ขอความร่วมมือกับบริษัทประกันภัย ให้ออกกรมธรรม์อัคคีภัยสำหรับบ้านที่อยู่ในชุมชน เช่น บ้านไม้ บ้านกึ่งไม้กึ่งปูน หรือบ้านปูน 2 ชั้น ในราคาประหยัดหลังละ 500-600 บาท และได้รับเงินคุ้มครอง 50,000-150,000 บาท เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยเข้ามาซื้อประกัน และมีโอกาสได้รับความคุ้มครองกรณีเกิดอัคคีภัย หลังจากที่ผ่านมาบริษัทประกันส่วนใหญ่ไม่นิยมให้ประกันบ้านในชุมชนเหล่านี้ ส่งผลให้เมื่อเกิดอัคคีภัยชาวบ้านจะไม่ได้รับความคุ้มครอง

นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้อาชีพขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั่วประเทศ เข้ามาทำประกันอุบัติเหตุราคาประหยัดรายละ 300-500 บาทต่อปี เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีอุบัติเหตุ เพราะอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีความเสี่ยงบนท้องถนนสูงจึงควรเข้ามาทำประกัน และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตตามนโยบายของรัฐที่ต้องการขึ้นทะเบียนอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

นายจรัญกล่าวต่อว่า ในเร็ว ๆ นี้จะหารือกับสมาคมกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อหารือถึงการออกกรมธรรม์คุ้มครองต่อนักกีฬา และกองเชียร์โดยตรง เพื่อเพิ่มความคุ้มครองนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา รวมทั้งกองเชียร์ที่อาจได้รับบาดเจ็บจากการเล่น และการเข้าชมกีฬาในสนาม หลังที่ผ่านมากระแสการชมฟุตบอลไทยแลนด์ พรีเมียร์ ลีก กำลังได้รับความนิยมทั่วประเทศ

ส่วนการเพิ่มช่องทางจำหน่ายกรม ธรรม์ คปภ.จะเน้นร่วมมือกับองค์การบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. อบต. รวมถึงกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มสมาชิกแม่บ้าน ให้เข้ามาเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตและประกันภัย โดยจะเปิดอบรมหลักสูตรจำหน่ายประกันที่ถูกต้อง เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายประชาชนสู่กลุ่มคนต่างจังหวัด และกลุ่มคนรากหญ้า ให้เข้าถึงระบบประกันมากขึ้น

นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ คปภ.กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตธุรกิจประกันภัยปี 54 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และประเมินว่าจะขยายตัว 16.23% หรือมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 489,389 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยแบ่งประเภทเป็นเบี้ยประกันชีวิตขยายตัว 18.74% มีเบี้ยประกัน 351,590 ล้านบาท และธุรกิจประกันวินาศภัยมีขยายตัว 10.30% มีเบี้ยประกัน 137,799 ล้านบาท

“การที่ธุรกิจประกันภัย ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง มาจากปัจจัยในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้ง คปภ. ได้มีมาตรการในเชิงรุกที่การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบประกันภัยไทย โดยได้จัดทำโครงการประกันภัยสู่ประชาชน กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการประกันภัยให้ประชาชน เพิ่มช่องทางการจำหน่าย การให้บริการที่ครบวงจร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความต้องการตามกำลังซื้อของประชาชน รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก”

สำหรับผลการดำเนินงานธุรกิจประกันภัยปี 53 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 421,042 ล้านบาท เติบโต 14.24% มีสัดส่วนเบี้ยประกันอยู่ที่ 4.21% ของจีดีพี โดยมีผู้ถือครองกรมธรรม์ทั้งสิ้น 27%.
ที่มา เดลินิวส์

"กรณ์" สั่ง 5 แบงก์รัฐปล่อยกู้ 3 อาชีพ

"กรณ์" เปิดตัวสินเชื่อเข้มแข็ง 5,000 ล้านบาท ให้5แบงก์รัฐปล่อยกู้ อาชีพ วินมอเตอร์ไซด์ หากเร่แผงลอยและแท็กซี่

เมื่อวันที่ (14 ก.พ.) นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการสินเชื่อเข้มแข็ง ซึ่งเป็น 1 ใน 9 มาตรการแก้ปัญหาให้ประชาชนภายใต้โครงการร่วมเดินหน้า ปฏิรูปประเทศไทย ในส่วนของกระบวนการประชาวิวัฒน์ โดยสินเชื่อเข้มแข็งนั้นเป็นความร่วมมือของสถาบันการเงินของรัฐ 5 แห่ง ร่วมกันปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ให้กลุ่มแท็คซี่ไทยเข้มแข็ง 1,600 ล้านบาท สินเชื่อวินเข้มแข็ง และสินเชื่อแม่ค้าเข้มแข็ง 3,400 ล้านบาท ขณะนี้หลายธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อได้แล้วบางส่วน หลังจากนี้น่าจะมีผู้เข้ามาขอสินเชื่อมากขึ้น ก่อนจะขยายไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะต่อไป

หากความต้องการขอสินเชื่อเข้ามามีมากกว่าวงเงินที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท ธนาคารทั้ง 5 แห่ง คือธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) ยืนยันจะขยายวงเงินให้ โดยมองว่าจะช่วยให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ ในดอกเบี้ยที่เป็นธรรม โดยเฉพาะผู้ขับแท็กซี่จะมีโอกาสมีรถเป็นของตัวเองและได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การวางเงินดาวน์ 20% หากรวมตัวกันเป็นกลุ่มมาขอกู้ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อลดภาระการไปกู้เงินนอกระบบมาจ่ายในส่วนนี้

เนื่องจากรัฐบาลต้องการสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มอาชีพ หากรวมตัวกันได้ จะสามารถกู้ยืมได้ใดอกเบี้ยต่ำกว่าการกู้ยืมทั่วไป ซึ่งเชื่อว่า การรวมกลุ่มจะช่วยดูแลกันเองได้ และต้องการช่วยให้ผ่อนรถแท็กซี่เป็นของตัวเอง โดยเงินผ่อนต่ำกว่าการเช่า ต่ำสุดแค่วันละ 550 บาท ขณะที่ค่าเช่าสหกรณ์อยู่ที่วันละ 600-700 บาท ส่วนการดูแลปัญหาหนี้เสีย เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงิน ที่ต้องกำหนดเงื่อนไข และพิจารณาหลักประกันอย่างรอบคอบ

โดยนอกจากจะเป็นการเปิดตัวโครงการและเริ่มอนุมัติสินเชื่อในวันที่ 14 ก.พ.นี้เป็นวันแรกแล้ว ในส่วนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ไปพบปะและมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 500 นาย เพื่อให้เดินหน้ามาตรการลดอาชญากรรมลง 20% ภายใน 6 เดือน ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็จะจัดให้ขึ้นทะเบียนวินมอเตอร์ไซด์ทั่วกรุงเทพฯในวันที่ 15 ก.พ.นี้และพิจารณาเพิ่มจุดผ่อนผันให้หาบเร่แผงลอยขายของได้อีก 201 จุด

ด้านนายลักษณ์ วจานวัช ผู้จัดการธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส.มีวงเงินในโครงการนี้ 400 ล้านบาท จะให้กลุ่มหาบเร่ฯ วินมอเตอร์ไซด์ 200 ล้านบาท ขณะนี้อนุมัติให้กลุ่มหาบเร่แผงลอยแล้ว 50 รายวงเงินรายละ 50,000 บาท คิดดอกเบี้ย 12% ผ่อนชำระได้ 2 ปี ส่วนอีก 200 ล้านบาท จะให้กู้กับสหกรณ์แท็กซี่ ซึ่งขณะนี้เปิดวงเงินให้สหกรณ์แท็กซี่สยามแล้ว 100 ล้านบาท ดอกเบี้ย 6.5% เพื่อให้ไปปล่อยต่อให้สมาชิกรายละ 800,000 บาท คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี อนาคตหากมีกลุ่มที่ไม่ได้เป็นสมาชิกต้องการกู้เงิน และรวมตัวเข้ามาขอสินเชื่อ จะพิจารณาให้ แต่เบื้องต้นขอประเมินโครงการก่อนนำร่องก่อน

นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ธพว.มีวงเงิน 1,100 ล้านบาท ให้กลุ่มผู้ขับแท็กซี่ที่ขับรถมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี วงเงิน 500 ล้านบาท โดยวันแรกนี้ ได้อนุมัติสินเชื่อให้ผู้ขับแท็กซี่ 15 ราย รายละ 800,000 บาท คิดดอกเบี้ย 6.5% ต่อปี ผ่อนนาน 6 ปี ผู้สนใจยื่นกู้ได้ที่สำนักงานใหญ่เท่านั้นใช้เวลาพิจารณา 3 วัน ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 600 ราย และสนใจกู้ 400 ราย ส่วนวินมอเตอร์ไซด์และหาบเร่ ตั้งวงเงินไว้ 700 ล้านบาท ให้กู้รายละ 100,000บาท คิดดอกเบี้ย 12% ผ่อนได้ 5 ปี ทั้งนี้จะให้บริการแบบใครมาก่อนได้รับสิทธิ์ก่อน

ในส่วนของนายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ออมสินมีวงเงินปล่อยสินเชื่อให้เฉพาะกลุ่มหาบเร่แผงลอย และวินมอเตอร์ไซด์รวม 2,000 ล้านบาท ด้วยการให้รวมกลุ่มอาชีพกันมา โดยจะให้สินเชื่อแต่ละกลุ่มไม่เกิน 2.5 ล้านบาท เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้สมาชิกของตนเอง ธนาคารคิดดอกเบี้ยจากกลุ่ม 6% ต่อปี แบบลดต้นลดดอก ผ่อนไม่เกิน 5 ปี และวันแรกนั้น ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยไปแล้ว 435 ราย วงเงิน 18.2 ล้านบาท โดยให้กู้รายละไม่เกิน 50,000-100,000 บาท คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อเดือน และพร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มให้จนจบโครงการวันที่ 31 ก.ค.ที่จะถึงนี้ หากวงเงินนั้นหมดก่อนกำหนด

สำหรับนายรัชสุวรรณ ปิดพยันต์ รองกรรมการผู้จัดการธอท. กล่าวว่า ธอท.มีวงเงินสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท ให้แท็กซี่ 400 ล้านบาท ที่เหลือเป็นหาบเร่ฯ ซึ่งจะให้กู้เป็นรายบุคคล โดยคิดดอกเบี้ยเดือนละ 0.4% วงเงินรายละ 800,000 บาท ผ่อนนาน 6 ปี และหากไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ จะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่านั้นอีก.

ที่มา เดลินิวส์

เสี้ยวหนึ่ง..จากความรู้สึก 'บัณฑูร ล่ำซำ' กับวันที่เป็น 'พลเมืองน่าน'

“ถามว่าผมอยากให้น่านไปทางไหน ผมก็อยากให้เป็นอย่างนี้ เป็นเมืองสงบ เป็นสโลว์ซิตี้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ” เป็นสิ่งที่เจ้าสัวใหญ่ผู้กุมบังเหียนธนาคารกสิกรไทย “บัณฑูร ล่ำซำ” เอ่ยปากกลางวงสื่อหลายสิบชีวิตไว้ เมื่อครั้งไปเยี่ยมเยือนกิจการโรงแรมที่เมืองน่าน โรงแรมพูคาน่านฟ้า ที่ควักกระเป๋าซื้อและลงทุนตกแต่งเกือบ 50 ล้านบาท วันนี้เจ้าสัวบัณฑูรได้ผันชีวิตมาเป็น “พลเมืองน่าน” ไปแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้ว

หลังย้ายสำมะโนครัวมาขึ้นทะเบียนทำบัตรประชาชน ทำใบขับขี่ใหม่ ไปเมื่อกลางเดือน ม.ค. ปีนี้ ในวันหลังจากพิธีเปิดโรงแรม เจ้าสัวบัณฑูรก็พาคณะสื่อหลายสิบชีวิตเดินชมโรงแรม พร้อมกับเปิดโอกาสให้ซักถาม แม้จะมีเวลาไม่มาก แต่ก็ถือว่าเจ้าสัวอิ่มเอิบกับโรงแรมนี้อย่างมาก และกับการซื้อกิจการโรงแรมไม้สักแห่งนี้นั้น เจ้าสัวยืนยันหนักแน่นว่า... เป็นการซื้อในฐานะประธานกรรมการบริษัทเครือพูคา ที่เจ้าตัวออกปากว่าไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับธุรกิจธนาคารกสิกรไทยที่ทำอยู่ เมื่อประเมินจากความเห็นและเสียงซุบซิบรอบ ๆ .....

ทุกคนตอบตรงกันว่า งานนี้เจ้าสัวลงทุนเต็มใจเต็มแรง...

“โรงแรมนี้มีรูปแบบเหมือนสวิสชาเล่ต์ เรารู้สึกว่าโรงแรมนี้มีค่ามาก ๆ น่าเสียดายหากจะต้องถูกรื้อทิ้ง เราก็เลยเข้ามาช่วยดูแลต่อ แรก ๆ ที่มีข่าวออกไปคนเข้าใจผิดว่าแบงก์เป็นคนซื้อ สอง...เขากลัวว่าเราจะมาทุบทิ้ง เพราะเป็นที่กลางเมือง ซึ่งประเด็นแรกโรงแรมนี้ไม่เกี่ยวกับแบงก์เลย เป็นเงินส่วนตัวของผม ของบริษัทพูคา ส่วนเรื่องทุบทิ้ง ผมยืนยันหนักแน่นแต่แรกว่า เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดเลย ผมตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะอนุรักษ์ไว้อย่างเดิม และก็ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด” เสียงเจ้าสัวบัณฑูรย้ำหนักแน่น

กับโรงแรมพูคาน่านฟ้า หรือโรงแรมน่านฟ้าเดิม ถือเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองน่านมานาน จนแทบกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองน่าน เจ้าสัวเล่าว่า ในอดีตโรงแรมน่านฟ้าชื่อ โรงแรม “นั่ม เส่ง เฮ็ง” โดยเป็นธุรกิจของชาวจีนโพ้นทะเลเชื้อสายไหหลำคณะหนึ่ง ต่อมาก็ได้ขายทอดกิจการให้กับนักธุรกิจตระกูลบุญซื่อ ซึ่งภายหลังตกทอดมาถึง ทวี บุญซื่อ (อดีตนายกเทศมนตรีเมืองน่าน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดน่าน) จากนั้นขายต่อให้กับ เป็งหย่วน แซ่ห่าน ผู้เป็นบิดาของ วิโรจน์ หาริกุล ผู้ประกอบธุรกิจโรงเลื่อยจักรและค้าไม้แปรรูปอยู่แต่เดิม ซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงสภาพใหม่ในปี 2498 ให้เป็นอาคารสามชั้น ใช้ไม้หมดทั้งหลัง มีห้องพัก 14 ห้อง

จากนั้นเมื่อสร้างเสร็จเป็งหย่วนได้ให้น้องชาย คือ เก่งหย่วน มาดูแลและดำเนินกิจการ และตั้งชื่อใหม่ว่า “น่านฟ้า” ซึ่งกิจการของโรงแรมก็ดำเนินต่อมาอีก 40 ปี จนปี 2552 ทายาทของเก่งหย่วน ได้ตัดสินใจขายกิจการและกรรมสิทธิ์โรงแรมน่านฟ้าให้กับบริษัทเครือพูคา ก่อนที่จะมีการปรับปรุงและต่อยอดจากชื่อเดิม เป็น โรงแรมพูคาน่านฟ้า ในวันนี้...

ประเมินจากเสียงของหลาย ๆ คน ตัวเลขลงทุนขนาดนี้ กับราคาสำหรับกิจการโรงแรมขนาด 14 ห้อง ห้องพัก จำนวนทั้งหมด 14 ห้อง ราคาค่าเข้าพักต่อคืนเริ่มต้นต่ำสุดที่ 2,000 บาท จนไปถึงสูงสุดที่ 4,000 บาท ทำเท่าไหร่ ? โอกาสคืนทุน คุ้มทุนเร็ว ก็คงยาก จึงไม่แปลกที่เจ้าสัวบัณฑูรเอ่ยปากกลางวงเมื่อมีคนถามว่า...นอกจากโรงแรมนี้แล้ว มองไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ในอนาคตด้วยหรือไม่?

“อย่าเพิ่งถามว่าคิดจะทำธุรกิจอะไรต่อ เอาโรงแรมนี่ให้รอดก่อนดีกว่า ความคาดหวังที่สุดของผมคือ แค่ไม่ขาดทุนก็ดีจะแย่แล้ว” เจ้าสัวกล่าวติดตลกเมื่อมีคนถามว่าอนาคตข้างหน้าจะมีธุรกิจอื่นแตกยอดออกมาหรือไม่?

เหตุที่เอ่ยเช่นนั้น ประเมินจากเสียงของหลาย ๆ คน หากพิจารณาในแง่คุ้มค่าทางมูลค่าที่เป็นตัวเงิน ก็ต้องบอกว่าสอบตก? แต่ถ้ามองในแง่ของความรักบวกมูลค่าความสุข เรื่องนี้หลายคนลงมติเอกฉันท์ให้เจ้าสัวบัณฑูรสอบได้เกรด A+ เพราะนอกจากการตกแต่งภายในที่ปรับเปลี่ยนให้ดูดีขึ้นแล้ว โครงสร้างหลัก ๆ ของโรง
แรม เจ้าสัวแทบไม่แตะต้องเลย

มองมุมนี้หลายคนอดสงสัยว่าเจ้าสัวมีอะไร ๆ กับเมืองน่านนี้หรือไม่? เรื่องนี้เจ้าสัวบอกว่า กับเมืองน่าน รู้สึกดีและชอบ มีความรู้สึกว่าเมืองน่านนี้เป็นเมืองที่สะอาด สงบ ทำให้อยากมีอะไรมาทำตรงนี้ จนไปพบว่าธุรกิจโรงแรมน่าจะทำได้ สืบไปสืบมาก็รู้ว่า...มีโรงแรมไม้เล็ก ๆ กลางเมือง ซึ่งเจ้าของเก่าทำไม่ไหวแล้ว ก็เลยตกลงว่าจะช่วยดูแลต่อ

“ก็ตั้งใจทำ และคิดว่าจะต้องทำให้ดีที่สุดด้วย” เสียงเจ้าสัวบัณฑูรย้ำหนักแน่น

ปัจจุบันเมืองน่านได้กลายเป็นหลักหมายสำคัญของนักท่องเที่ยว ทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยความเป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนมีอัธยาศัยดี สมกับที่มีการกล่าวขานกันว่า...“น่าน” เป็น “เสน่หามนตราแห่งลานนา” และด้วยความที่กลายเป็นดอกไม้หอมที่ยวนยั่วนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนเพิ่มขึ้น จึงทำให้หลายคนกังวลว่า...น่านจะเปลี่ยนไป ?

กับเรื่องนี้ มุมมองของเจ้าสัวบัณฑูร มองว่า “ความเจริญที่จะเข้ามาทำให้เสน่ห์ของน่านหายไปนั้น ไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่อยู่ที่คนน่าน ซึ่งผมเชื่อว่า น่านจะเป็นน่านแบบนี้ไปอีกนาน เพราะเท่าที่สัมผัสมา คนน่านค่อนข้างรักและหวงแหนถิ่นเกิดมาก ไม่ใช่ว่าใครจะอยากสร้างอะไรก็สร้างได้ ถ้าคนน่านเขายอมรับไม่ได้ เขาก็ไม่รับ ถ้าเขาไม่ยอมก็เกิดขึ้นไม่ได้ ใครจะมาฝืนก็ฝืนไม่ได้ สำหรับผมก็มองว่าดี เพราะปัจจุบันผมก็เป็นคนเมืองน่านไปแล้ว ผมเปลี่ยนสำมะโนครัวเป็นคนที่นี่ไปแล้ว บัตรประจำตัวประชาชนก็เป็นคนที่นี่ ก็คิดว่าในช่วงบั้นปลายก็อยากจะใช้ชีวิตที่นี่แหละ ถ้าถามว่าผมอยากให้น่านไปทางไหน ผมก็อยากให้เป็นอย่างนี้ เป็นเมืองสงบไปแบบนี้ นี่แหละดีที่สุดแล้ว”

และนี่ก็เป็นส่วนเสี้ยวความรู้สึกของเจ้าสัวใหญ่แห่งแบงก์รวงข้าว “บัณฑูร ล่ำซำ” ในวันที่ผันใจจากเมืองกรุง และมุ่งไปเป็น “พลเมืองน่าน” อย่างเต็มตัว และเต็มใจ.

'น่านต้องไม่หวั่นไหว'

“อดีตถึงปัจจุบัน ถามว่าน่านเปลี่ยนไปมากไหม ยืนยันว่าไม่มาก อดีตเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงแบบนั้น” เป็นเสียงของ เจ้าสม ปรารถนา ณ น่าน แห่งคุ้มเจ้าราชบุตร (หมอกฟ้า ณ น่าน) ที่ยืนยันกับเรา ก่อนบอกเล่าว่า นิสัยคนน่านจะเป็นคนเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ และมีหลายคนทักว่า ณ น่าน เป็นสุกลที่เงียบ ๆ ไม่เหมือนที่อื่น ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็อาจจะเรียกได้ว่าค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัว และมีนิสัยแบบพออยู่พอกิน

“สำรับอาหารของเรา มีแค่ข้าวเหนียว น้ำพริกถ้วย เราก็อยู่ได้” เจ้าสมปรารถนาสะท้อนเทียบลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตพลเมืองน่านให้ฟัง ก่อนจะเล่าต่อว่า น่านเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนภายนอกมากขึ้น ด้วยเพราะเสน่ห์ที่ยังคงรักษาวิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี เทียบกับเมื่อก่อนบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองน่านอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย เหตุเพราะการเดินทางลำบาก ทำให้น่านเป็นเหมือนเมืองปิดที่น้อยคนจะเดินทางมาถึง หากไม่ตั้งใจมา แต่ปัจจุบันสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มมองหาสถานที่พักผ่อนที่เงียบสงบ และเริ่มมองหาแหล่งวัฒนธรรมเก่า ๆ ทำให้น่านกลายเป็นหลักหมายสำคัญใหม่ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว

“ถามว่ากังวลไหม คิดว่าไม่น่ากลัว เพราะคนมีความรู้มากขึ้น อีกอย่างทุกคนตระหนักดีว่าเสน่ห์น่านอยู่ที่วิถีดั้งเดิม ก็เชื่อเราคงไม่ทำลายหรือไปทำอะไรให้เกิดผลกระทบแน่นอน เพราะคนน่านรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้คือจุดขายที่ดีที่สุดของเรา ดังนั้น น่านต้องไม่หวั่นไหว น่านจึงจะอยู่รอดปลอดภัย” เจ้าสมปรารถนา กล่าว.

ที่มา เดลินิวส์

5 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก (ตอนที่ 1 - ลามู ยาละมันชัยและมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก)

5 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก (ตอนที่ 1 - ลามู ยาละมันชัยและมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก)
ด้วยการเติบโตของโลก World Wide Web ที่เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์กขึ้นอย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ถ้าแยกจำเพาะโซเชียลมีเดียที่มีอิทธิพลสูงสุดในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กปัจจุบัน หลายคนคงต้องคิดถึง Facebook, Twitter, Hi5 หรือ Foursquare อย่างแน่นอน

ซึ่งในวันนี้ทีมงานผู้จัดการไซเบอร์จะขอพาท่านผู้อ่านไปพบกับ 5 ผู้มีอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงประวัติ ความเป็นมา รวมถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นเว็บหรือแอ็ปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กที่โด่งดังในปัจจุบันกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันได้เลย

ลามู ยาละมันชัย (Ramu Yalamanchi)
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร: Hi5.com (ไฮไฟว์ดอทคอม)
บันทึก: ไฮไฟว์ดอทคอมเป็นเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเฉกเช่นเดียงกับเฟสบุ๊คดอทคอม โดยหลักการทำงานของไฮไฟว์ที่แตกต่างจากเว็บโซเซียลมีเดียอื่นๆ จะอยู่ที่ความสามารถในการแปะโค้ด (Embed Code) ต่างๆ ลงในหน้าต่างกล่องแสดงความคิดเห็นหรือหน้าโปรไฟล์ได้อย่างอิสระ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถอัปเดตข่าวสารต่างๆ ในหน้าเพจของเพื่อนหรือสร้างกลุ่มเพื่อนได้เช่นกัน

ลามู ยาละมันชัย เป็นคนเชื้อสายอินเดีย เขาโตขึ้นในย่านชานเมืองฝั่งตะวันตกของชิคาโก โดยพ่อของลามูเป็นผู้ฝึกสอนวิศวกรโรงงาน นอกจากนั้นพ่อของลามูยังเป็นผู้ประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจงานพิมพ์ ทำให้ลามูได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจจากพ่อของเขา

เมื่อลามูโตขึ้น เขาได้เข้ารับการศึกษาระบบปริญญาตรีในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ โดยในช่วงก่อนจบการศึกษาลามูได้รวมกลุ่มกับเพื่อนในชั้นเรียนที่อิลลินอยส์เปิดบริษัท SponsorNet New Media ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจตัวแทนโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต

ซึ่งจากการเปิดบริษัทและคลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณาผ่านออนไลน์ ทำให้ลามูแลเห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่มักชอบสร้างกลุ่มคุยกับเพื่อนๆ ผ่านห้องสนทนาทางเว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งการส่งรูปผ่านอี-เมล์ แล้วเพื่อนๆ ที่ฟอร์เวริดเมล์ต่อมักเขียนความคิดเห็นแนบท้ายรูปมา ทำให้ลามูเกิดแรงบันดาลใจจะพัฒนาเว็บไซต์ที่จะตอบสนองและอำนวยความสะดวกต่อกลุ่มคนเหล่านั้นขึ้น

จนในที่สุด พ.ศ. 2546 ลามูจึงเปิดเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กของตนขึ้นในชื่อ "Hi5 (ไฮไฟว์)" ซึ่งความหมายของชื่อเว็บก็คือ Hi Five เป็นคำทักทายของคนอเมริกันที่ชอบนำฝ่ามือแบบนิ้วทั้ง 5 มาตีประสานกัน โดยลามูได้ประยุกต์คำว่า Give Me Five ของคนอเมริกันที่ใช้ทักทายกับคนสนิทเป็นความสามารถในตัวเว็บไฮไฟว์ที่สามารถให้ Give กับคนที่ถูกใจได้

ซึ่งเว็บไซต์ไฮไฟว์ของลามูได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ โดยความสามารถของไฮไฟว์นอกจากสามารถตอบสนองต่อกลุ่มคนที่ต้องการสร้างเครือข่ายสังคมแล้ว ตัวไฮไฟว์ยังรองรับภาษาที่หลากหลายทั้งอเมริกา ยุโรป ยุโรปตะวันออกหรือเอเซียแปซิฟิก โดยในประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2550-2551 ไฮไฟว์ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างชุมชนออนไลน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือใช้แชร์รูปภาพต่างๆ รวมถึงโค้ด Embed ที่น่าสนใจ จนทางไฮไฟว์ได้แต่งตั้งท็อปสเปซ บริษัทในเครือ สนุก ออนไลน์เป็นตัวแทนขายโฆษณาออนไลน์ในประเทศไทยขึ้น ในขณะที่เฟสบุ๊คดอทคอมเริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

ปัจจุบันเว็บไซต์ไฮไฟว์ดอทคอมมีสามชิกกว่า 80 ล้านยูสเซอร์ และมีมูลค่าในตัวเว็บประมาณ 38 ล้านเหรียญสหรัฐ

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร: Facebook.com (เฟสบุ๊คดอทคอม)
บันทึก: "เฟสบุ๊ค" เว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีผู้ใช้งานอันดับหนึ่งของโลกในตอนนี้ โดยจุดเด่นของเฟสบุ๊คอยู่ที่การเชื่อมต่อบุคคลหลายๆ บุคคลเข้าด้วยกันทำให้เกิดการเป็นเครือข่ายสังคมที่เราสามารถแชร์บันทึกประจำวัน ความคิดเห็น รูปภาพหรือลิงค์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนของเราได้รับชมและสามารถแสดงความคิดเห็นให้กันและกันได้ นอกจากนั้นในเฟสบุ๊คยังสามารถสร้างกลุ่มและสามารถเล่นเกมในรูปแบบเครือข่ายสังคมเพื่อใช้ในการแชร์ไอเท็มระหว่างเพื่อนได้ด้วย

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก หรือชื่อเต็มคือ มาร์ก อีเลียต ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) เป็นบุคคลที่สนใจในเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก ดังจะเห็นได้จากบันทึกสำคัญในหนังสือ The Face of Facebook ช่วงที่มาร์กศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษา (ประมาณปี 1990) พ่อของมาร์กได้สอนเขาเขียนโปรแกรมในชุด Atari BASIC Programming และภายหลังพ่อของเขาก็ได้จ้างนักพัฒนาซอฟท์แวร์นามว่า David Newman มาฝึกสอนมาร์กเป็นการส่วนตัว ซึ่งด้วยความสนใจเฉพาะของมาร์กและความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็วระหว่างที่เรียนกับ Newman ทำให้ Newman ตั้งฉายาให้กับมาร์กว่า "เจ้าหนูมหัศจรรย์"

นอกจากจุดเริ่มต้นดังกล่าว ในช่วงอายุถัดมา มาร์กก็ไม่ได้หยุดการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีและการเขียนโปรแกรมอยู่เพียงเท่านั้น เขาพยายามสร้างโปรแกรมช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้พ่อของเขาที่เป็นคุณหมอ อย่างโปรแกรม ZuckNet ที่ช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างออฟฟิซและบ้านของมาร์กผ่านระบบออนไลน์หรือในช่วง ประถม 6 ที่มาร์กสามารถผลิตโปรแกรมเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ฟัง MP3 ได้

มาถึงจุดหักเหที่สำคัญของชีวิตมาร์กเริ่มต้นตอนที่เขาเข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงอายุประมาณ 20-21 ปี ตามบันทึกในนิตยสาร Time ฉบับ "Person of the Year 2010: Mark Zuckerberg มาร์กคิดค้นโปรเจ็คในโครงการวิจัยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน นามว่า Arie Hasit ในชื่อโปรเจ็ค Coursematch ซึ่งเป็นบริการให้นักศึกษาในชั้นเรียนสามารถเลือกจับคู่เพื่อนร่วมชั้น เพื่อช่วยเหลือเรื่องงานซึ่งกันและกันจากนั้นไม่นานมาร์กและ Arie ก็ร่วมกันพัฒนาโปรเจ็คชิ้นต่อไปในชื่อ Facemash.com ที่มีหลักการทำงานง่ายๆ คือให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสามารถสร้างหน้าเพจส่วนตัว จากนั้นนักศึกษาสามารถนำรูปของตนมาอัปโหลดและประชันคะแนนโหวตความร้อนแรงหรือจะท้าแข่งความสวย ความหล่อกับเพื่อนได้ แต่ทั้งนี้ Facemash.com เปิดออนไลน์ไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ทางมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแลเห็นว่าเว็บไซต์ดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อระบบความปลอดภัยจึงจำเป็นต้องปิดเว็บไซต์ดังกล่าวลงในที่สุด

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มาร์กต้องออกมาขอโทษกับทางมหาวิทยาลัยและพยายามคิดค้นปรับเปลี่ยน Facemash มาเป็นโปรเจ็คต่อไปในชื่อ Facebook ที่ห้องพักของตัวเองในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ในขณะที่มาร์กอายุ 20 ปี โดยมาร์กตั้งใจให้ Facebook เป็นเว็บไซต์เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองรวมถึงรูปได้ตามต้องการ

หลังจากเฟสบุ๊คเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการไม่นานกระแสความนิยมก็เพิ่มมากขึ้นจากในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ขยายตัวไปยังมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย และสถานศึกษาอีก 30 แห่งทั่้วสหรัฐอเมริกา โดยมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่าง Dustin Moskovitz และ Eduardo Saverin เป็นตัวช่วยสำคัญ

จากนั้นมาร์ก, Moskovitz และ Saverin ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุน Peter Thiel จำนวน US$ 500,000 และ Sean Parker จาก Napster จนในที่สุดในเดือนมิถุนายน เฟสบุ๊คก็ย้ายฐานที่ตั้งไป Palo Alto, California มาร์กและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งได้รับทีมงานเพิ่มและพัฒนาความสามารถของเฟสบุ๊คมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเริ่มนำเฟสบุ๊คปรับตัวเข้าสู่โลกธุรกิจเต็มตัวตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา โดยในส่วนของยอดสมาชิกก็ปรับเพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านยูสเซอร์ไปสู่ 600 ล้านยูสเซอร์ทั่วโลก ซึ่งในส่วนของมูลค่าเว็บ Facebook.com ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเป็น 50 พันล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน

ทิ้งท้าย: จาก "ไฮไฟว์ดอทคอม" สู่ "เฟสบุ๊คดอทคอม"

ผมจำได้สมัยครั้งที่เว็บไฮไฟว์ดอทคอมเริ่มเข้ามาเริ่มตีตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมในประเทศไทย ยุคนั้นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 18-24 ปี มักนิยมชมชอบเว็บไซต์ดังกล่าวมากเป็นพิเศษ เพราะตัวไฮไฟว์สามารถสร้างกลุ่มคนหรือสามารถแชร์รูปภาพรวมถึงสามารถแสดงความเห็นตอบกันไปมาได้ ทำให้ยุคนั้นไฮไฟว์ถือเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กเว็บแรกๆ ที่เกิดในเมืองไทยอย่างแท้จริง

แต่ทั้งนี้เมื่อเราลองมองในแบบมหภาค ทั่วโลกจะเห็นว่าความจริงแล้วในช่วงยุคที่ไฮไฟว์กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกในบ้านเรา เว็บโซเซียลเน็ตเวิร์กอีกหนึ่งเว็บที่มีชื่อเสียงมากในแถบยุโรปและอเมริกาอย่าง Facebook ก็กำลังพัฒนาตนเองพร้อมทั้งขยายตลาดไปทั่วโลกเช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามองจากประวัติของผู้บริหารของทั้ง 2 เว็บไซต์นี้ จะเห็นว่าทั้งมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์กและลามู ยาละมันชัย มีแนวความคิดที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยลามู สร้างไฮไฟว์ขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์ในโลกของธุรกิจที่ตนเคยทำงานอยู่มาสร้างเป็นเว็บเครือข่ายสังคม ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเป็นนักธุรกิจทำให้ลามูมักมองการตลาดในลักษณะของผลประโยชน์มากกว่า ซึ่งจะเห็นได้จากการเกิดไฮไฟว์จะมาพร้อมเรื่องของแบรนด์เนอร์โฆษณาต่างๆ มากมาย ในขณะที่มาร์กสร้างเฟสบุ๊คจากความสนุกในแบบชีวิตวัยรุ่น อาศัยความสามารถด้านคอมพิวเตอร์และความเป็นวัยรุ่นจับกลุ่มในช่วงอายุของตนเองและพัฒนาเป็นเว็บเฟสบุ๊คที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเข้าถึงข้อมูลของบุคคลได้ดีกว่าออกมา อีกทั้งด้วยการที่เฟสบุ๊คได้ชูจุดเด่นในเรื่องของเว็บแอปพลิเคชัน อย่างเช่น เกมหรือแอปพลิเคชันเสริมต่างๆ เป็นหลักทำให้ในช่วงหลัง เว็บเฟสบุ๊คจึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยความหลากหลายในการใช้งานที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันเท่านั้น

ทำให้ช่วงหลังเฟสบุ๊คจึงได้รับความนิยมอย่างสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองไทยที่มีผลทำให้เว็บรุ่นพี่อย่างไฮไฟว์ถึงกับได้รับผลกระทบต่อยอดสมาชิกอย่างมาก และยิ่งด้วยวัฒนธรรมชอบตามแฟชั่นของคนไทย ทำให้หลายคนเลิกเล่นไฮไฟว์และมาเล่นเฟสบุ๊คเพียงเพราะกลัวตกเทรนด์ หรือบางรายบอกว่าตัวเว็บมีเกมให้เล่น มีแอปพลิเคชันสนุกๆ มากมาย รวมถึงการที่เฟสบุ๊คเปิดกว้างให้ผู้สนใจพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถทำได้เอง อีกทั้งระบบที่สามารถค้นหาเพื่อนเก่าๆ ผ่านการลิงค์ข้อมูลแบบใยแมงมุมที่จะสามารถเชื่อมต่อความสัมพันธ์เข้าหากันได้ง่าย ทำให้ในปัจจุบันเฟสบุ๊กกลับกลายเป็นสิ่งยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องมี โดยทิ้งให้ไฮไฟว์ ที่อาจคาดการณ์ตลาดผิดไปในช่วงแรกต้องตกอยู่ในภาวะหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงแม้ช่วงหลังจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตา ชูระบบแอปพลิเคชันตามเฟสบุ๊คแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถเรียกความนิยมกลับคืนมาได้เหมือนก่อน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ยังมีบางประยังเทศยังนิยมไฮไฟว์ให้ลามูได้ดีใจอยู่บ้าง

สำหรับในครั้งหน้าเชิญติดตามชมตอนที่ 2 กับอีก 3 บุคคลผู้มีอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกันต่อนะครับ ส่วนจะเป็นใครอย่างไรติดตามได้ในอาทิตย์หน้าครับ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อีบุ๊กแซงหนังสือจากโรงพิมพ์

อีบุ๊ก (E-Book) หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันขายได้มากกว่าหนังสือเป็นเล่มที่พิมพ์จากกระดาษที่เราหาซื้ออ่านตามแผงหนังสือแล้ว

อาร์มาเก็ดคอนได้ประกาศว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทคินเดิ้ล (Kindle E-Books) สามารถทำยอดขายชนะหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษทั่วไป โดยเฉพาะหนังสือประเภทที่ขายดีที่สุดของร้านขายหนังสือของอะเมซอน

เมื่อกลางปีหรือกรกฎาคมที่ผ่านมาปีที่แล้ว ทางอะเมซอนได้ประกาศว่า หนังสือที่บรรจุในคินเดิ้ลขายได้ดีกว่าหนังสือปกแข็งอย่างดี โดยหนังสือในคินเดิ้ลและหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษเป็นเนื้อหาเหมือนกัน

คินเดิ้ลเป็นคอมพิวเตอร์แบบกระดานชนวนที่ขนาดด้านหน้าประมาณปกหนังสือปกแข็งภาษาอังกฤษที่มีจำหน่ายทั่วไปตามแผงหนังสือแต่บางกว่า พกพาสะดวกกว่าและเบากว่าหนังสือเล่มหนา ๆ หนัก ๆ ทั่วไป แต่ปัจจุบันหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุในแบบของคินเดิ้ลมีมากมายหลายประเภท เช่น ไอโฟน ไอแพด แบล็คเบอร์รี่ และแอนดรอยด์

สำหรับหนังสือภาษาอังกฤษปกแข็ง (Hard Cover Book) ที่พิมพ์มาจากโรงพิมพ์อย่างดีจะมีราคาสูงกว่าหนังสือภาษาอังกฤษที่พิมพ์ด้วยปกอ่อนและมีกระดาษภายในสีเหลืองอ่อน โดยปกติหนังสือปกแข็ง กระดาษภายในสีขาวคุณภาพดี จะมีราคาสูงกว่าสัก 4- 5 เท่า คนเลยมักจะนิยมอ่านหนังสือปกอ่อน หรือ Paperback มากกว่า โดยเฉพาะหนังสืออ่านเล่น แต่ถ้าเป็นตำราวิชาการที่สหรัฐอเมริกาหรือยุโรปก็จะพิมพ์ปกแข็ง แต่ในประเทศเอเชียเขาพิมพ์ปกอ่อนกระดาษอย่างดี แต่ราคาถูกกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง

อะเมซอนได้รายงานว่า ในจำนวนหนังสือปกอ่อน (Paperback Books) ที่ขายได้ 100 เล่ม จะสามารถขายในคินเดิ้ลได้ถึง 115 เล่ม ตั้งแต่ต้นปีที่เพิ่งผ่านมา

ในควอเตอร์สุดท้ายของปีที่ผ่านมาซึ่งเป็น 3 เดือนสุดท้าย จนถึง 31 ธันวาคม อะเมซอนขายได้ประมาณ 390,000 ล้านบาท ซึ่งยอดขายมากกว่าปีที่แล้วถึง 31%

นอกจากนี้ยอดขายในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา กระโดดสูงขึ้นถึง 50% มากกว่าของปีที่แล้ว ถ้าหากเป็นยอดขายทั่วทั้งโลกสูงขึ้น 26%

นอกจากคินเดิ้ลของอะเมซอนที่ขายหนังสืออิเล็กทรอ นิกส์แล้ว ก็ยังมี บาร์นส์แอนด์โนเบิ้ล นุ๊ค โซนี่ และบอร์เดอร์ส โคโบ

อีบุ๊กหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้น เป็นอีกหนึ่ง นวัตกรรมที่นิยมใช้ในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ แต่ปัจจุบันหลายโรงเรียนในประเทศเหล่านี้ เขาใช้ไอแพดเพื่อบรรจุหนังสืออ่าน ทำรายงาน ส่งการบ้าน และเรียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต กับอาจารย์สอนหนังสือหรือที่เรียกว่าระบบ อีเลิร์นนิ่ง (E-Learning)

ประเทศไทยหากกระแส 3G แรง ก็อาจจะได้เห็นนักศึกษาและนักเรียนถือคอมพิวเตอร์ประเภทไอแพดหรือคินเดิ้ลไปเรียนหนังสือโดยไม่ต้องแบกกระเป๋าหนังสือขนาดหนักไปเรียน อนาคตแบบนี้คงรอไม่นาน.

รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
อธิการบดี มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
boonmark@stamford.edu
ที่มา เดลินิวส์

คลังบทความของบล็อก