ธุรกิจดอกไม้เงินสะพัดรับวาเลนไทน์ มิสลิลลี่ผนึก5พันธมิตรปั๊มออร์เดอร์

ธุรกิจบริการจัดดอกไม้-ปากคลองตลาดคึกคักเงินสะพัดรับเทศกาลวาเลนไทน์ ระบุปีนี้14 กพ.ตรงกับวันจันทร์ คนแห่ซื้อมอบให้แทนรักโชว์คนรอบข้าง แม้ว่าราคาจะปรับขึ้น 5-10 เท่าตัว “มิสลิลลี่” ควงกลยุทธ์จองสินค้าก่อน ลดราคา 10-25% ผนึก 5 พันธมิตร อัดโปรโมชัน มั่นใจยอดโต 40-45% กวาดลูกค้า 1,000-1,500 ราย

นายธนกฤต จันทร์ชิดฟ้า ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มิสลิลลี่ ฟลาวเวอร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจบริการจัดส่งดอกไม้มิสลิลลี่ เปิดเผยว่า แนวโน้มเทศกาลวาเทนไทน์ปีนี้ คาดว่าจะมีความคึกคักมากกว่าทุกปี เนื่องจากปีนี้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันทำงานหรือนักศึกษาและนักเรียนต้องไปเรียนหนังสือ สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อของให้ในวันแห่งความรัก ที่ปกติผู้ซื้อและผู้รับต้องการโชว์แก่คนรอบข้าง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเทศกาลวาเลนไทนส์ตรงกับวันตรุษจีน ทำให้กำลังการซื้อเฉลี่ยไปใน 2 เทศกาล

ประกอบกับราคาดอกไม้ปีนี้ในตลาดปากคลองและดอกไม้นำเข้าก็ไม่ได้สูงขึ้นกว่าทุกปี คือ โดยเฉลี่ยในช่วงเทศกาล ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้น 5-10 เท่าตัว เช่น กุหลาบ 80-100 ดอก ในปากคลองตลาด จากราคา 25 บาท เพิ่มเป็น 150-200 บาท ส่วนกุหลาบนำเข้าจาก 100 บาท เป็น 250 บาท รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้ที่ดีขึ้น คนมีกำลังการซื้อดีขึ้น ดังนั้นแนวโน้มปีนี้ ปากคลองตลาดและธุรกิจบริการจัดดอกไม้ จะมีความคึกคักและเงินสะพัดเพิ่มมาก จากกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน

สำหรับธุรกิจบริการจัดดอกไม้มิสลิลลี่ ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้ บริษัทไม่ได้ปรับราคาสินค้าขึ้น โดยจำหน่ายดอกกุหลาบก้านยาว 1 ดอก ราคา 2,000 บาท และกุหลาบกลีบหนาเป็นช่อ 6 ดอก ราคา 2,400 บาท และ 8 ดอก ราคา 3,200 บาท พร้อมกันนี้ยังจับมือร่วมกับพันธมิตร 5 ราย เพื่อทำโปรโมชันในช่วงวาเลนไทนส์ อาทิ กางเกงยีนส์แรงเยอร์ ฯลฯ รวมถึงมอบบัตรกำนัลสำหรับสมาชิกเก่าและใหม่มูลค่า 500-800 บาท

“ปีนี้เราไม่ได้ปรับราคาดอกไม้ขึ้น แม้ว่าต้นทุนวัสดุต่างๆ อาทิ กระดาษ และริบบิ้ รวมทั้งค่าขนส่งจะปรับเพิ่ม10-15% ก็ตาม ทำให้คาดว่าอัตราการซื้อดอกไม้เฉลี่ย 2,000-2,500 บาทต่อคนเท่ากับทุกๆ ปี”

สภาพการแข่งขันธุรกิจบริการจัดดอกไม้ในช่วงวาเลนไทน์ ไม่ได้แข่งขันที่ราคามากนัก แต่จะเน้นที่การออกแบบจัดช่อดอกไม้ และการบริการจัดส่งดอกไม้มากกว่า ขณะที่จะมีผู้ประกอบรายย่อยเข้ามาชิงยอดขายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตามปีนี้มีแนวโน้มว่า ผู้หญิงมีการสั่งซื้อดอกไม้เพิ่มขึ้น 10% หรือจาก 40% เป็น 50% เมื่อเทียบกับผู้ชาย ที่ผ่านมาจะนิยมซื้อดอกไม้มากกว่า คือ 60% ลดเหลือ 50%

นายธนกฤต กล่าวต่อว่า การทำตลาดปีนี้บริษัทจะเปิดรับออร์เดอร์โดยลูกค้าที่สั่งซื้อในช่วงเดือนมกราคมจะลดราคาให้ 20-25% และในวันที่ 1-8 กุมภาพันธ์ ลดราคา 10-15% หลังจากนั้นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ จะจำหน่ายดอกไม้ราคาปกติ อาทิ ดอกกุหลาบก้านยาว 1 ดอก ราคา 2,000 บาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าปีนี้มีลูกค้าสั่งดอกไม้เติบโต 40-45% หรือราว 1,000-1,500 ราย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 900-1,000 ราย โดยดอกกุหลาบก้านยาว มียอดขายมากที่สุด ตามด้วยดอกกุหลาบกลีบหนา ฯลฯ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คาดตรุษจีนเงินสะพัดแบงก์อัดสำรอง 3 หมื่น ล.ราคาของเซ่นไหว้พุ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาด เม็ดเงินสะพัดช่วงตรุษจีนกว่า 2 หมื่นล้านบาท ธปท.ประเมินแบงก์พาณิชย์มียอดเบิกจ่ายธนบัตรของลูกค้ากว่า 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.4% ยันมีการสำรองไว้แล้วกว่า 4 แสนล้านบาท มั่นใจเพียงพอต่อความต้องการ ด้านราคาสินค้าเซ่นไหว้ปรับพุ่งขึ้น ทั้งหัวหมู เป็ด ไก่ และผลไม้

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในเทศกาลตรุษจีนปี 2554 มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น คาดการณ์ว่า กิจกรรมต่างๆ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2554 ก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับประเพณี 12,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยแยกเป็นค่าใช้จ่ายเครื่องเซ่นไหว้ และค่าใช้จ่ายในการแจกอั่งเปา

ส่วนที่สองคือ เม็ดเงินสะพัดจากค่าใช้จ่ายในด้านสันทนาการ 8,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ซึ่งเม็ดเงินสะพัดในส่วนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากเงินอั่งเปาที่ก่อให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่องในกิจกรรมต่าง ๆ และส่วนที่เหลือมาจากการใช้จ่ายเงินของคนกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดของสมาชิกในครอบครัว หรือการลาหยุดเพื่อพักผ่อนในช่วงนี้

สำหรับเม็ดเงินสะพัดช่วงตรุษจีนปีนี้ เป็นทั้งกิจกรรมนอกบ้านในกรุงเทพฯ การเดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ เดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืน และการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับหลากหลายธุรกิจ บรรดาธุรกิจต่างๆ ปรับตัวเตรียมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

สาเหตุที่ทำให้ตรุษจีนปีนี้กระเตื้องขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงาน และปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นประเพณีความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีนที่จะต้องไหว้เจ้า และไหว้บรรพบุรุษเพื่อรับกับปีใหม่ โดยเฉพาะเพื่อให้การค้าในปีใหม่เจริญรุ่งเรือง และรับโชคลาภในปีใหม่ ดังนั้น คนไทยเชื้อสายจีนที่ยังยึดถือประเพณีการไหว้เจ้าก็ยังคงมีการไหว้เจ้าในช่วงตรุษจีนต่อไป

ด้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ธนาคารพาณิชย์จะมีการเบิกจ่ายธนบัตรเพื่อรองรับความต้องการใช้ของประชาชนเป็นมูลค่า 31,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.4% และเมื่อรวมกับการเบิกจ่ายธนบัตรที่สูงขึ้นในช่วงสิ้นเดือนตามปกติ ทำให้คาดว่าจะมียอดเบิกจ่ายรวม 141,500 ล้านบาท

ดังนั้น ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2554 จนถึงเทศกาลตรุษจีนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 นี้ ธปท.จะเตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการเบิกจ่ายให้เพียงพอ โดยวันที่ 26 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ธปท.ได้สำรองธนบัตรรวมมูลค่า 407,600 ล้านบาท

รายงานข่าวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ธนาคารสำรองธนบัตรรวม 24,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% โดยยืนยันว่ามีธนบัตรสำรองเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนอย่างแน่นอน

ขณะที่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ธนาคารเตรียมสำรองธนบัตรผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขารวมทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เตรียมสำรองธนบัตรใหม่ให้ลูกค้าและประชาชนทั่วไปสามารถแลกเพื่อนำไปเป็นเงินอั่งเปามอบแก่ลูกหลานและญาติมิตร ประกอบด้วยธนบัตรชนิด 1,000 บาท 500 บาท 100 บาท และ 20 บาท รวม 22 ล้านฉบับ นอกจากนี้ธนาคารเตรียมซองอั่งเปาเพื่อมอบแก่ลูกค้าธนาคาร 3.6 แสนซอง

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ราคาสินค้าเซ่นไหว้ตรุษจีนในหลายจังหวัดได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า พ่อค้าแม่ค้า จ.น่าน เริ่มนำผลไม้ออกวางจำหน่ายก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับว่า ช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีน ผลไม้หลายชนิดปรับราคาสูงขึ้น เช่น ส้มสายน้ำผึ้ง ที่ปรับราคาเป็นกิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนราคาเนื้อหมูและเนื้อไก่ ปรับตัวขึ้นอีกประมาณกิโลกรัมละ 5 บาท และยังคาดว่าราคาสินค้าจะปรับตัวขึ้นไปอีก

เช่นเดียวกับ จ.นครสวรรค์ สินค้าหลายรายการเริ่มปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ผลไม้ ประเภทส้ม ซึ่งจากเดิมราคากิโลกรัมละ 55 บาท เป็น 60 บาท ชมพู่จากกิโลกรัมละ 60 บาท เป็น 65 บาท และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีก ส่วนเนื้อหมูและเนื้อไก่ แม้ขณะนี้จะยังไม่มีการปรับราคา แต่พ่อค้าแม่ค้าเชื่อว่า ช่วงวันจ่าย วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นี้ สินค้าจะปรับราคาขึ้นอีกแน่นอน

ขณะที่ ตลาดสดแม่กิมเฮง เขตเทศบาลนครราชสีมา ราคาสินค้าบางประเภทเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะหัวหมู ไก่ เป็ด และผลไม้ ที่ปรับราคาขึ้นอีกประมาณ 10 บาท โดยประชาชนเชื่อว่า ช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนนั้น ราคาสินค้าทุกประเภทจะปรับตัวสูงขึ้นอีกร้อยละ 10

ส่วนบรรยากาศการจับจ่ายซื้อเครื่องเซ่นไหว้ในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม ยังไม่คึกคัก โดยเฉพาะพืชผักที่มีราคาแพงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 3 เท่าตัว ขณะที่ราคาผลไม้ปรับสูงขึ้นอีกชนิดละประมาณ 5 บาท

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สอนลูกบริหารเงิน ก่อน"เงินเกษียณ"ของพ่อแม่สูญ

เมื่อกล่าวถึง "เงินเก็บก้อนสุดท้าย" ในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้ร่ำรวย หรือมีกิจการใหญ่โตล้นฟ้าแล้ว อาจเป็นเงินที่ได้จากการเกษียณ หรือเงินออมที่มากับกรมธรรม์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ฯลฯ ซึ่งเงินก้อนนี้ แม้พ่อแม่จะมีความจำเป็นต้องเก็บเอาไว้ใช้ในยามชรา เช่น เอาไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าซ่อมแซมบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง และค่าจิปาถะอื่น ๆ อีกมากมาย แม้วันที่ได้รับมาจะเห็นเป็นก้อนใหญ่ แต่เมื่อนานวันไป มันก็มีแต่ร่อยหรอลง

ที่สำคัญ แม้มันจะเป็นเงินที่จำเป็นต่อชีวิตในวัยชราของพ่อแม่สักเท่าใด แต่หากลูกเอ่ยปากขอยืม เชื่อว่ามีพ่อแม่จำนวนมากพร้อมที่จะหยิบยื่นให้อย่างไม่ลังเล

ดังนั้นจึงมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย กับลูกที่แบมือขอเงินที่พ่อแม่เก็บออมมาชั่วชีวิตไปถลุงจนหมด จนทำให้ชีวิตพ่อแม่ต้องตกระกำลำบาก โดยที่ตัวลูกเองก็ไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ หรือเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามชราได้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าเช่นนี้ ทีมงานมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงเอาไว้เตรียมตัวลูก ๆ ให้สามารถเอาตัวรอดทางการเงินได้ โดยไม่ต้องมาหวังพึ่ง "เงินก้อนสุดท้าย" ในชีวิตของพ่อแม่กันค่ะ

1. ตั้งเป้าหมายในการให้การสนับสนุนลูก ๆ ด้านการศึกษา

พ่อแม่ทุกคนล้วนมีแผนการออมเงินสำหรับการศึกษาของลูกในอนาคตอยู่แล้ว แต่ควรตั้งเป้าชัดเจนว่าจะสนับสนุนลูก ๆ ไปจนถึงระดับใด ซึ่งปกติคือระดับมหาวิทยาลัย ที่ไม่ควรลืมก็คือ ต้องบอกให้ลูกทราบด้วยว่าคุณจะสนับสนุนเขาไปจนถึงจุดนี้เท่านั้น เมื่อลูกสำเร็จการศึกษาในระดับที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้ว หากลูกมีแผนจะศึกษาต่อ ก็ควรเปลี่ยนเป็นการให้คำแนะนำปรึกษาแทน ไม่ควรหยิบยื่นเงินสำรองของตนเองออกไปใช้

2. ให้ความช่วยเหลือลูก ๆ ที่โตแล้วแต่ยังไม่มีงานทำในเรื่องที่ไม่มีค่าใช้จ่าย

เด็กจบใหม่จำนวนมาก ยังหางานทำไม่ได้ และยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ในจุดนี้ ดังนั้นพ่อแม่สามารถช่วยเหลือลูก ๆ ได้ในเรื่องที่ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือมีก็ไม่มากนัก เช่น ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านบางอย่างหากคิดว่าพ่อแม่รับภาระไหว จะไม่ขอความช่วยเหลือจากลูก ๆ ก็ได้ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่ทางที่ดีควรกระตุ้นให้ลูกเกิดกำลังใจ และออกไปสร้างงานให้เร็วที่สุด

3. กระตุ้นให้ลูก"วางแผนชีวิต"

หากลูกสำเร็จการศึกษาแล้ว และต้องการมีครอบครัว การวางแผนในสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความสำคัญมากพอ ๆ กับจะเก็บเงินอย่างไร จะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ใด นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ควรลืมว่า เมื่อถึงจุดที่ลูกเติบโต มีงานทำ มีรายได้ แต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านพ่อแม่ พ่อแม่ก็ควรบอกให้ลูก ๆ ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วย เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ ค่าต่อทะเบียนรถ ค่าประกันภัย ฯลฯ

4. สอนลูก ๆ เกี่ยวกับการ"จัดการ"เงินตั้งแต่ยังเล็ก

พ่อแม่ควรปลูกฝังลูก ๆ ในการบริหารจัดการเงินให้ดี ทั้งการออมเงิน การใช้เงินในชีวิตประจำวัน หรือหากเป็นไปได้ ก็ลองให้ลูก ๆ เก็บออมเงินสำหรับการศึกษาของพวกเขาในอนาคตด้วยก็ดี (เช่น ในระดับมหาวิทยาลัย หรือการเรียนพิเศษด้านต่าง ๆ) เพราะหากลูก ๆ ต้องการเรียนสูงมากเท่าใด เงินที่ต้องใช้ก็มากเท่านั้น และอาจมารบกวนกับเงินเก็บก้อนสุดท้ายของพ่อกับแม่ได้ในที่สุด

เรียบเรียงบางส่วนจาก U.S.News
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"AIS "ทุ่มหมื่นล้าน ขยายเน็ตเวิร์กสู้ศึก

ในงานแถลงข่าวเอไอเอส วิชัน 2011 มีการโชว์ส่วนประกอบของ DNA ที่เป็นรากฐานความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เน็ตเวิร์ก และแอปพลิเคชัน


เอไอเอสตอกย้ำกลยุทธ์ Quality DNAs เข้มข้นทุกรูปแบบ ประกาศทุ่ม 1 หมื่นล้านบาท ลงทุนขยายเครือข่าย 3G HSPA ในกทม. และหัวเมืองใหญ่ 1,884 สถานีฐาน พร้อมติดตั้งไวร์เลสบรอดแบนด์ และไว-ไฟปูพรมบริการด้านสื่อสารข้อมูลไตรมาส 2 ปีนี้

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) กล่าวว่า กลยุทธ์การรุกตลาดโทรคมนาคมของเอไอเอสปีนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ หมายถึงคุณภาพในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่คุณภาพเครือข่ายไปจนถึงคุณภาพการให้บริการ สืบเนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้เปลี่ยนไปจะเห็นได้จากการเติบโตการใช้งานโมบายดาต้าของเอไอเอสในปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 100%

"จริงๆ แล้ว เอไอเอสได้เน้นเรื่องคุณภาพมาหลายปีแล้ว แต่ในปีนี้จะหมายถึงความเข้มข้นของคุณภาพในทุกมิติ ทั้งนี้เป็นผลพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคในเครือข่ายมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยเฉพาะการเติบโตของโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กในเมืองไทยในปีที่แล้วเติบโตเป็นอันดับสองของโลก"

แนวโน้มดังกล่าวดูได้จากการเติบโตในส่วนของเอไอเอส ช่วง 3 ไตรมาส (ปี2553) ยังเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาด 53.4% ด้วยการเติบโตในภาพรวมถึง 7.5% โดยมีลูกค้าและการใช้งานทางด้านวอยซ์เพิ่มขึ้น 9-10% และ SMS ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งาน โมบายล์ ดาต้าเติบโตกว่า 100% โดยที่มีผู้ใช้มากกว่า 7.5 ล้านราย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2552

สำหรับปี 2554 คาดว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตอีกประมาณ 3-5% ซึ่งเชื่อว่าการใช้งานโทรศัพท์มือถือจะยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แม้แต่การใช้งานพื้นฐานด้านเสียง และจะมีความต้องการเพิ่มเติมขึ้นเป็นอย่างมากสำหรับการใช้งานโมบายล์ อินเทอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์ก สมาร์ทดีไวซ์ รวมถึงแอปพลิเคชันในทุกๆ ระบบปฏิบัติการ โดยคาดว่าการแข่งขันของโอเปอเรเตอร์จะเป็นไปอย่างรุนแรงในแกนของโทเทิล โซลูชัน ซึ่งถือว่าจะเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าได้เพิ่มเติมขึ้นจากที่ผ่านมา

"เราได้ดำเนินการเพื่อตอบรับเทรนด์การแข่งขันดังกล่าวโดยตลอด จึงทำให้ปี 2554 เรามีความพร้อมในการให้บริการด้วยรูปแบบของโทเทิลโซลูชันอย่างเต็มที่ ภายใต้แนวทางการทำงาน Quality DNAs ซึ่งจะทำให้เอไอเอสยังคงความเป็นผู้นำ"

นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เอไอเอส กล่าวว่า คุณภาพซึ่งถ่ายทอดมาจากองค์ประกอบรากฐานของความเป็นเอไอเอส นับเป็นหัวใจหลักในการส่งมอบบริการจากทุกมิติ ผ่านดีไวซ์ เน็ตเวิร์ก แอปพลิเคชัน รวมถึงคัสตอมเมอร์ เซอร์วิสสู่ผู้ใช้บริการ

โดยเฉพาะในส่วนของเน็ตเวิร์ก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระแสการใช้งานโมบายล์ อินเทอร์เน็ตเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นจึงทำการปรับเปลี่ยนเครือข่ายบนเทคโนโลยี 2G ให้พร้อมรับการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ตที่กำลังเติบโตรวมทั้งนำเทคโนโลยี EDGE Plus เข้ามาพัฒนาเพิ่มเติม

ในปีนี้ เอไอเอสจะใช้งบลงทุนด้านเครือข่าย 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งการขยายพื้นที่การให้บริการ, เพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งานของเครือข่าย 2G เดิมที่ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และขยายพื้นที่ให้บริการของ 3G ด้วยเทคโนโลยี HSPA บนคลื่นความถี่ 900 MHz ที่ให้บริการตั้งแต่ปี 2551จำนวน 133 สถานีฐานให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

"คาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายเครือข่าย 3G HSPA สำหรับจำนวนสถานีฐาน 1,884 แห่ง ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการเพิ่มเติมภายในไตรมาสที่สอง บริเวณกรุงเทพฯ ชั้นใน และจังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา หัวหิน ภูเก็ต หาดใหญ่ และเชียงราย หลังจากนั้นในไตรมาสที่ 3 ก็จะทยอยขยายพื้นที่ให้บริการในกรุงเทพฯ ชั้นนอก นครปฐม และขอนแก่น"

นอกจากนี้ เอไอเอสจะเพิ่มเติมเทคโนโลยีเครือข่ายเพื่ออำนวยความสะดวกและตอบไลฟ์สไตล์การใช้งานในลักษณะของ Fix Wireless เพิ่มเติม ด้วยเทคโนโลยีไวร์เลส บรอดแบนด์ถึงบ้าน ที่จะมีให้ความเร็วสูงสุดถึง 8 เมกะไบต์ต่อวินาที โดยจะพร้อมให้บริการภายในไตรมาส 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ 1 ซิม ทุกเครือข่าย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอสกล่าวว่าเทคโนโลยีไวร์เลส บรอดแบนด์ จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากนัก ซึ่งจะเริ่มทดลองให้บริการในบางพื้นที่ก่อน หลังจากนั้นถึงจะเปิดให้บริการในเชิงแมส ซึ่งจะเห็นกิจกรรมการตลาดอย่างจริงจังภายในไตรมาส 2 ของปีนี้

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ตัน ภาสกรนที กับชีวิตใหม่ที่ “ไม่ตัน”

นับจากวันที่ “ตัน ภาสกรนที” ผลักดัน “โออิชิ” ที่เขาสร้างมากับมือจนเติบใหญ่และสามารถเข้าไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ ชื่อ “ตัน” ก็ปรากฏอยู่ในตาราง Role Model อันดับต้นๆ เรื่อยมา แต่ไม่เคยมีปีไหนที่เขาจะไต่ขึ้นมาถึงอันดับ 1 ได้ จนกระทั่งปีนี้

จากตาราง 50 Role Model ปี 2553 พบว่า ผู้อ่านนิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ชื่นชมตันในฐานะผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และมีความเป็นผู้นำสูง และประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์ “โออิชิ” ที่มักมาคู่กับแบรนด์ “ตัน” จนแทบไม่มีใครไม่รู้จักชายร่างท้วมนามว่า “ตัน โออิชิ” ...แต่ถึงกระนั้น อันดับที่ดีที่สุดของตันก็ทำได้เพียงที่ 3

จากผล CEO’s Vote ผลงานบวกกับสไตล์บริหาร ธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “แบบตัน” และความเป็นตัวตนของ “ตัน” ได้รับความชื่นชมจากกลุ่มผู้บริหารระดับสูง หลายราย จนทำให้ตันสามารถเบียดขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ใน Role Model ประจำปี 2553 ได้ในที่สุด

ทั้งๆ ที่กลางปีที่ผ่านมา ตันเพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโออิชิ นั่นหมายถึงการเดินออกมาจากอาณาจักรของเจริญ สิริวัฒนภักดี เพื่อเริ่มต้น ธุรกิจใหม่ของตัวเองในวัย 51 ปี ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 500 ล้านบาท โดยเขาเลือกฤกษ์ดีเปิดตัวบริษัท “ไม่ตัน” เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ที่ผ่านมา

“สำหรับนิยามของชื่อบริษัท “ไม่ตัน” คือเราจะไม่ตัน มีทางออก สู้ และไม่ยอมแพ้ โดยบริษัทไม่ตันจะเป็นบริษัทที่เปิดกว้างในการทำธุรกิจทุกรูปแบบ เพื่อให้ธุรกิจเติบโต”

พร้อมกับชื่อบริษัทใหม่ ตันพยายามโปรโมตสมญานาม ใหม่ที่เขาอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันเรียกให้ชินปากในเร็ววัน นั่นก็คือ “ตัน ไม่ตัน”

ตันกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้บริหารติดดินและนักสู้ชีวิต ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและอุปสรรค สมดังสโลแกนประจำตัวเขาที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน” ซึ่งกลายเป็นชื่อพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกของเขา

ธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ผู้บริหารระดับสูงจากธนาคาร เกียรตินาคิน เป็น 1 ในซีอีโอที่โหวตให้ตัน บอกถึงเหตุผลในการเลือกตันในทำนองเดียวกันว่า เป็นเพราะตันสามารถต่อสู้ชีวิต และฝ่าฟันวิกฤติมาจนประสบความสำเร็จทั้งในด้านส่วนตัวและองค์กร


ยิ่งเมื่อเทียบกับผู้บริหารอีก 49 คนในตาราง 50 Role Model ตันเริ่มต้นด้วย “ต้นทุนทางสังคม” ที่น้อยกว่าอีกหลายคน แม้แต่วุฒิการศึกษา ตันก็จบเพียงมัธยม 3 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินก็เริ่มต้นจากจุดที่ไม่สูงเหมือนคนอื่น และเคยตกต่ำถึงขนาด เป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบกว่า 100 ล้านบาทเมื่อครั้งวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ก่อนจะมาปั้นธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่ม จน “โออิช”” กลายเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าธุรกิจหลาย พันล้านบาทในเวลาเพียงไม่นาน

ด้วยความสำเร็จจากการบริหาร ธุรกิจโออิชิจนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ทำให้ ตันได้รับปริญญาจากบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาการบริหาร ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง มาประดับโปรไฟล์ด้านการศึกษาได้ในที่สุด

ผู้บริหารที่ลงคะแนนให้ตันบางท่านเชื่อว่า “การทำการตลาดแบบนอกกรอบ” และการนำไอเดียเหล่านั้นมาปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนคนอื่น เป็นปัจจัยที่ทำให้ “ตัน โออิชิ” ประสบความสำเร็จ

สอดคล้องกับวิธีคิดของตัน ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ถ้าจะต้องเป็นเป็ดที่กำลังจะถูกเชือด เขาก็อยากเป็นเป็ดที่เป็นผู้นำ เพราะอย่างน้อยก็ตายแบบหัวหน้าเป็ดและก็น่าจะได้รับการพูดถึงบ้าง

การทำการตลาดนอกกรอบ บวกกับการทำโปรโมชั่น “แรงๆ” อย่าง “รวยฟ้าผ่า” หรือ “ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊งค์” ก็ช่วยทำ “โออิชิ” กลายเป็น “talk of the town” ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ยิ่งบวกกับการที่ตัน “เล่น” กับสื่อเป็น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ แจกเงินรางวัลแก่ผู้โชคดีถึงบ้านทันทีทันควันใน 24 ชั่วโมงผ่านสื่อต่างๆ หรือเป็นหัวหน้า ทริปนำผู้โชคดีไปทัวร์ต่างประเทศด้วยตัวเอง รวมถึงการสรรหาประเด็นใหม่มาให้นักข่าวติดตามอยู่เสมอ ไม่เพียงเรื่องของเขาด้วยบทบาทของพ่อที่ดี ทั้งครอบครัวของตัน จึงมักได้ลงสื่ออยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะตันกับลูกสาวคนโตที่กำลังทำธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ด้วยตัวเอง เรื่องราวของตันจึงมักปรากฏในสื่ออย่างสม่ำเสมอ

บวกกับการที่ตันมักไปเป็นวิทยากรพูดเรื่องราวของแบรนด์โออิชิและประเด็นธุรกิจอื่นๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสมัยที่ยังเป็น “ตัน โออิชิ” เจ้าของธุรกิจเอง เขารับเชิญขึ้นเวทีเฉลี่ย 5-6 แห่งต่อเดือน ตันจึงกลายเป็น ที่รู้จักในสังคมอย่างกว้างขวาง และมีแฟนคลับจำนวนไมน้อย

ซิคเว่ เบรกเก้ ซีอีโอแห่งเทเลนอร์ เอเชีย ให้ความเห็นว่า CEO ที่ดีนอกจากจะต้อง ทำหน้าที่เป็น Chief Executive Officer ควรต้องเป็น Chief Emotional Officer ด้วย คือยังต้องเป็นผู้สื่อสารที่ดีที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและถ่ายทอดเรื่องราวของบริษัทไปสู่สาธารณชนได้ ซึ่งเขามองว่า ตันมีคุณสมบัติข้อนี้ค่อนข้างเด่นชัดกว่าผู้บริหารอีกหลายคน

หลังจากเทขายหุ้นให้เจริญด้วยมูลค่าสูงถึง 3.3 พันล้านบาท และนั่งเก้าอี้ ผู้บริหารของโออิชิในฐานะลูกจ้างต่ออีก 4-5 ปี กลางปีที่ผ่านมา ตันก็ลุกขึ้นลาออก จากตำแหน่ง “ลูกจ้างหมายเลข 1” ของเสี่ยเจริญ เพื่อมาเปิดบริษัทของตัวเอง

การดำเนินธุรกิจของบริษัทไม่ตัน ประกอบด้วย 1) ธุรกิจอาหาร โดยร่วมทุน กับบริษัทญี่ปุ่นเปิดศูนย์รวม “ราเมน แชมเปี้ยน” ทั้งหมด 6 แบรนด์ 6 ร้านไว้ด้วยกัน โดยมีสาขาที่อารีน่า 10 ทองหล่อ ก่อนจะตามมาด้วยสาขาสุขุมวิท 22 และสาขาเชียงใหม่ ในปีนี้ 2) ธุรกิจเครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ เปิดตัวกลางปีนี้ 2 ปี 2554 และ 3) ธุรกิจบันเทิงและร้านคาราโอเกะ โดยร่วมทุนกับ R&B Karaoke ในสัดส่วน 50:50

ด้วยมูลค่าธุรกิจ ดูเหมือนว่าแบรนด์ “ตัน ไม่ตัน” จะมีน้ำหนักน้อยกว่า “ตันโออิชิ” อย่างมาก แรงดึงดูดสื่อจึงดูน้อยลง จากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น ตันก็ยังหมั่นหาวาระมาเป็นประเด็นตามสื่อต่างๆ ได้อยู่ดี

เริ่มต้นจากวันแรกที่ประกาศเปิดตัว บริษัท ตันยอมรับว่า บริษัทไม่ตันยังไม่มีพนักงานสักคน แต่เขากำลังสรรหาบุคคล 9 คน เข้าทำงานในหน้าที่ต่างๆ ภายใต้ “โครงการ The 9 Challengers” โดยกระบวนการคัดเลือกค่อนข้างคล้ายกับรายการ “reality show” คือผู้สมัครส่งคลิปสั้นแสดงตัวตนของตัวเองและเหตุผลว่า ทำไมตันต้องเลือกตนเข้ามา

ตั้งแต่การรับสมัคร กระบวนการคัดเลือก จนถึงการประกาศผลผู้ได้รับเข้าทำงาน ล้วนถูกอัพเดตผ่านเฟซบุ๊กของตัน (www.facebook.com/tanmaitan) เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็เรียกเสียงฮือฮาจนทำให้ยอดแฟนเพจของตันพุ่งขึ้นจากหลักพันเป็นหลักแสนในเวลาไม่นาน

เฟซบุ๊กกลายเป็นสื่อที่แฟนคลับตันสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตันและบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถติดตามดูผลงานที่ตันไปออกตามสื่อต่างๆ และตาม อ่านวิธีคิดตาม “วิถีตัน” ประสบการณ์ชีวิต ไลฟ์สไตล์ และชีวิตครอบครัวของตัน ตลอดจนมุมมองธุรกิจรูปแบบใหม่จากตันได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีทีมงานคอยอัพเดตให้อยู่เสมอ

ตันอัพเดตเฟซบุ๊กเองไม่ได้ เพราะลำพังแค่จะใช้คอมพิวเตอร์ เขายังทำไม่ค่อยจะเป็นด้วยซ้ำ แต่เพราะเห็นความสำคัญในการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊ก ในฐานะที่เป็นสื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในโลกออนไลน์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ ขณะที่กลุ่มคนที่ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากตันไปใช้ในการทำงาน ก็เป็นคนรุ่นใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน

แต่ถึงจะมีเฟซบุ๊กเป็นสื่อส่วนตัว ตันก็ยังไม่ทิ้งสื่อหลักอย่างโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เพราะกระแสข่าวการรับสมัครพนักงานด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใครของตันยังไม่ทันซา เขาก็ออกรายการโทรทัศน์ให้ข่าวเรื่องการเดี่ยวไมโครโฟนของตัวเอง โดยมี “โน้ส อุดม” เจ้าพ่อ เดี่ยวไมโครโฟนเป็นเทรนเนอร์ โดยให้เหตุผลการเปิดเวทีเดี่ยวว่าเพื่อนำเงินรายได้จากการขายบัตร (ไม่หักค่าใช้จ่าย) ไปสร้างโรงเรียนผ่านมูลนิธิตันปันที่เพิ่งเปิดตัววันเดียวกับ บริษัทใหม่

แม้ตันอาจจะไม่เคยรู้ตัวว่ามีผู้บริหารธุรกิจหลายรายชื่นชมในตัวเขา แต่สิ่งที่เขาตระหนักดี นั่นก็คือ เขากลายเป็นแรงบันดาลใจของคนในสังคมหลายคน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ในวาระที่เริ่มต้นการสร้างบริษัทใหม่ครั้งนี้ ตันได้ประกาศอุทิศตนเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคม โดยเฉพาะเรื่อง “การให้”

“เพราะตลอดเวลา 30 กว่าปี ผมทำงาน 5 ปี จากนั้นผมทำธุรกิจอีก 25 ปี หลังจากวันที่ 9 กันยายน ผมจะไม่ถือว่าผมทำธุรกิจแล้ว แต่ผมจะทำภารกิจ ผมตั้งใจว่า 9 ปี นับจากนี้ ผมจะมุ่งมั่นสร้างบริษัท ไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจเพื่อภารกิจของมูลนิธิตันปัน” ตันพูดในวันเปิดตัวบริษัทและมูลนิธิ

นับจากปีแรกที่ดำเนินการ ตันตั้งใจแบ่งเงินปันผล 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน จนกระทั่งเมื่อตันมีอายุครบ 60 ปี เขาจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันไปตลอด เพื่อช่วยสนับสนุนเรื่องการศึกษาและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

การตอบแทนสังคมด้วยการให้และการพยายามทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คน ในสังคม โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ กลายเป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของตันที่ทำให้ทั้งธวัชไชยและซิคเว่ประทับใจในตัวตันอย่างมาก

อย่างไรก็ดี ตันยอมรับว่านับตั้งแต่ปีแรกในการตั้งบริษัทใหม่ ความท้าทายที่รอเผชิญหน้า นั่นก็คือ ความคาดหวังของผู้บริโภค พันธมิตรทางธุรกิจและสื่อมวลชน ที่ต่าง ก็หวังจะเห็นสินค้าและบริการที่ดี รวมถึงความแปลกใหม่จากแบรนด์ “ตัน ไม่ตัน”

ปีแรก ตันตั้งเป้ารายได้ของบริษัท เอาไว้ที่ขั้นต่ำ 500 ล้านบาท และภายใน 3 ปี ยอดขายทะลุ 2 พันล้านบาทให้ได้ ซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ตันเคยชินกับการสร้างบริษัทโออิชิก็นับเป็นอีกความกดดันที่ตันเลือกจะหยิบมาท้าทายตัวเอง และเป้าหมายเหล่านี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์เลือดความเป็นเถ้าแก่และจิตวิญญาณนักต่อสู้ชีวิตของตันอีกครั้ง!

ที่มา manager

แนะจับตากองทุนใหญ่เทขายทอง-หันเก็งกำไรหุ้นน้ำมัน ลุ้นแตะ100ดอลลาร์/บาเรล

ส.ค้าทองคำ คาดแนวโน้มราคาทองผันผวนต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า นักลงทุนต่างชาติเก็งแบงก์ชาติจีนปรับขึ้น ดบ.อีก 1.25% สวนทางเงินเฟ้อที่ปรับลดลง หวั่นบิดเบือนตัวเลข ศก. ทั้งยังตั้งสำรองเพิ่มอีก 0.5% แนะจับตากองทุนยักษ์เทขายทองคำหันไปซื้อหุ้นน้ำมัน โดยเก็งกว่าราคาน้ำมันโลกจะแตะ 100 ดอลลาร์

นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนักลงทุนต่างชาติประเมินว่า ธนาคารกลางของจีนอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 1.25

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างชาติตั้งข้อสังเกตุว่า การประบขึ้นดอกเบี้ยของจีน สวนทางกลับการประกาศตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อทั่วไป ประจำเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ที่ลดลงจากร้อยละ 5.1 เหลือร้อยละ 4.6 จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจีนอาจบิดเบือนตัวเลขทางเศรษฐกิจ ประกอบกับจีนเพิ่มประกาศเพิ่มเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอีกร้อยละ 0.5 ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง

ดังนั้น แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์หน้า น่าจะยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนต่างชาติวิเคราะห์ว่า กองทุนเก็งกำไรขนาดใหญ่อาจทยอยเทขายทองคำ เพื่อกลับไปถือครองหุ้นน้ำมัน หลังประเมินว่าราคาน้ำมันไนเม็กซ์อาจปรับราคาสูงขึ้นถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ภายในสัปดาห์หน้า

แนะจับตากองทุนใหญ่เทขายทอง-หันเก็งกำไรหุ้นน้ำมัน ลุ้นแตะ100ดอลลาร์/บาเรล
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

3 เดือนแอปเปิลฟันกำไร 6 พันล.ดอลล์

ทิม คุ้ก (Tim Cook) ประธานฝ่ายปฏิบัติการของแอปเปิลซึ่งรับหน้าที่แทนซีอีโอสตีฟ จ็อบส์


หลังจากพบวิกฤติมูลค่าหุ้นตกเพราะข่าวซีอีโอลาพักรักษาตัวครั้งที่ 3 ในรอบ 7 ปี ล่าสุดมูลค่าหุ้นแอปเปิลดีดตัวขึ้นอีกครั้งรับการประกาศผลประกอบการแสนงดงามช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2010 ที่ผ่านมา โดยแอปเปิลระบุว่าสามารถทำกำไรได้ถึง 6,000 ล้านเหรียญฯ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 78%

กำไร 6,000 ล้านเหรียญของแอปเปิลในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2010 นั้นคิดเป็น 6.43 เหรียญฯ ต่อหุ้น เกิดขึ้นบนยอดขายรวม 26,740 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่ม 71%

ตัวเลขสวยงามเหล่านี้ทำลายสถิติและคำพยากรณ์ของเซียนการเงินหลายเจ้า ทำให้มูลค่าหุ้นของแอปเปิลลดลงน้อยเกินคาดเพียง 2.2% เท่านั้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 340.65 เหรียญฯ ต่อหุ้นในช่วงหุ้นขาลง เป็น 344.70 เหรียญฯ หลังการประกาศ

ทิม คุ้ก (Tim Cook) ประธานฝ่ายปฏิบัติการของแอปเปิลซึ่งรับหน้าที่แทนซีอีโอสตีฟ จ็อบส์ ประกาศว่ามีความมั่นใจเต็มที่ในอนาคตของบริษัท เพราะผลิตภัณฑ์หลักของแอปเปิลทุกชิ้นสามารถจำหน่ายได้มากเกินความคาดหมาย

ตลอด 3 เดือน แอปเปิลระบุว่าสามารถขายได้ 16.2 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 86% จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว โดยสามารถไอแพดได้ 7.33 ล้านเครื่อง และคอมพิวเตอร์แมคอินทอชอีก 4.1 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 23% ขณะที่ไอพอดสามารถขายได้ 19.2 ล้านเครื่อง

สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งแอปเปิลกำหนดให้เป็นไตรมาส 2 ปีการเงิน 2011 แอปเปิลเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ 4.90 เหรียญฯ ต่อหุ้น บนรายได้มากกว่า 22,000 ล้านเหรียญฯ ทั้งหมดนี้สูงกว่าการคาดการณ์ของวอลสตรีทเจอร์นอล ซึ่งคาดว่าแอปเปิลจะทำกำไรได้ 4.47 เหรียญฯ ต่อหุ้น บนรายรับรวม 20,800 ล้านเหรียญฯ

คุ้กระบุว่า แอปเปิลมองเห็นโอกาสเติบโตที่ยิ่งใหญ่ในตลาดแท็บเล็ต โดยมั่นใจว่าแอปเปิลจะสามารถยืนหยัดได้ในตลาดอุปกรณ์แกดเจ็ตต่อไปแม้การแข่งขันจะรุนแรงสุดขีด ทั้งในตลาดแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ คุ้กยังเชื่อว่า ไอโฟน 4 เวอร์ชัน CDMA ซึ่งบริษัทเวอไรซอนไวร์เลสจะเริ่มจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะสร้างความต้องการในตลาดสหรัฐฯอย่างมหาศาล

นาทีนี้ทิม คุ้ก คือหนึ่งในผู้บริหารแอปเปิลที่ถูกจับตามากในฐานะทายาทของสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอแอปเปิลซึ่งมีปัญหาสุขภาพรุมเร้าในขณะนี้ โดยคุ้กนั้นเคยเป็นคนไอบีเอ็ม, คอมแพค (Compaq) ก่อนจะมาอยู่ในชายคาของแอปเปิลช่วงปี 1998 ผลงานของคุ้กนั้นโดดเด่นพอที่จะทำให้โลกเห็นว่าความสำเร็จของแอปเปิลนั้นไม่ได้มาจากซีอีโอคนเดียว จุดนี้นักวิเคราะห์รายหนึ่งถึงกับบอกว่า หากสำรวจความเห็นนักลงทุน 1,000 คน 999 คนจะบอกว่าคุ้กนั้นเป็นนักบริหารที่ทำงานได้ยอดเยี่ยมแท้จริง

อย่างไรก็ตาม คุ้กไม่ตอบคำถามว่าเมื่อใดปัญหาไอแพดขาดตลาดจะบรรเทาลง โดยระบุเพียงว่าการจัดการสายการผลิตไอแพดนั้นถูกพัฒนาขึ้นแล้วเพื่อให้ทันความต้องการในตลาดโลก ซึ่งล่าสุดมีการเปิดเผยผลการสำรวจว่า บริษัทใหญ่ระดับโลกมากกว่า 80% กำลังเริ่มทดสอบการใช้แท็บเล็ตอย่างไอแพดในองค์กร ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 65% ของไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับตลาดเอเชีย คุ้กระบุว่าเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ดีมากของแอปเปิล โดยในธุรกิจร้านค้าปลีกแอปเปิลสโตร์ (Apple Store) ในประเทศจีนซึ่งมีอยู่ 4 สาขานั้นมีอัตราการหมุนเวียนของลูกค้ามากที่สุดในโลก

นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาของแอปเปิลสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่น่าทึ่ง เพราะสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าดั้งเดิมอย่างคอมพิวเตอร์แมคอินทอชของแอปเปิลนั้นอยู่ที่ 20% (ของรายได้ทั้งหมดของแอปเปิล) เท่านั้นในขณะนี้ โดยอุปกรณ์เลือดใหม่ที่เพิ่งวางตลาดไม่กี่ปีซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ทั้งไอโฟน ไอแพด ไอพ็อดทัช กลายเป็นแหล่งรายได้หลักเกินสัดส่วนสองในสามของรายได้ทั้งหมด

การคำนวณเบื้องต้นพบว่า รายได้จากการขายไอโฟนคิดเป็น 39% ของรายได้ทั้งหมดของแอปเปิล ขณะที่รายได้จากไอแพดคิดเป็นสัดส่วน 17% และไอพอด 13% จุดนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของไอพ็อดก็มาจากไอพอดทัชซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ iOS เช่นกัน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ธอส.ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-ตั๋วสัญญาใช้เงิน

วันนี้ (19ม.ค.) นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก และตั๋วสัญญาใช้เงินทุกประเภท สูงสุด 0.35% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.นี้เป็นต้นไป มีผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 3 เดือน ปรับขึ้นเป็น 1.35% ,6 เดือน เป็น 1.60% ,1 ปี เป็น 1.90% ,2 ปีเป็น 2.50% ,3 ปี เป็น 3.00% และ 5 ปี เป็น 3.25% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำสินเคหะจากเดิม1.75% ต่อปี ปรับขึ้นเป็น 1.90% ต่อปี

นอกจากนี้ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 7 วัน และ14 วัน อีก 0.25% จากเดิม 0.75% ปรับขึ้นเป็น 1.00% ต่อปี ส่วนดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินประเภท 1 เดือน และ 2 เดือน จากเดิม 1.00% ปรับขึ้นเป็น 1.25%ต่อปี

ทั้งนี้จากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ต่อปี ส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศส่วนใหญ่ ได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยตามสภาวะตลาด ดังนั้นธอส.จึงได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และตั๋วสัญญาใช้เงินทุกประเภทด้วย

ที่มา เดลินิวส์

เงินคงคลังไทยแข็ง313,429 ล้านบาท

วันนี้ (19ม.ค.) นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 54 นี้ รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 392,328 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 11.1% โดยเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีของ 3 กรมจัดเก็บเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีทั้งสิ้น 598,371 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 206,043 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับ การเกินดุลเงินนอกงบประมาณ 37,129 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 168,914 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 53,021 ล้านบาท ทำให้ ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 115,893 ล้านบาท ส่งผลให้มีเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนธ.ค. 53 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 313,429 ล้านบาท

“ผลการจัดเก็บรายได้ในไตรมาสแรก ที่สูงกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐบาลอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง ในขณะที่การขาดดุลเงินงบประมาณและดุลเงินสดที่เกิดขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการคลังของรัฐบาลในการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง”

ที่มา เดลินิวส์

จอมแฉชาวสวิสเตรียมเผยบัญชีธนาคาร “เศรษฐี-นักการเมือง” ทั่วโลกผ่าน “วิกิลีกส์”

เอเอฟพี - รูดอล์ฟ เอลเมอร์ อดีตนายธนาคารจอมแฉชาวสวิส มีแผนจะส่งซีดีจำนวน 2 แผ่น ซึ่งบันทึกข้อมูลบัญชีธนาคารของเศรษฐีและนักการเมืองทั่วโลกราว 2,000 คน ที่หลีกเลี่ยงภาษีให้แก่วิกิลีกส์ บทสัมภาษณ์ เอลเมอร์ ซึ่งเผยแพร่วันนี้ (16) ระบุ

“เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้อาศัยนโยบายเก็บความลับของธนาคารเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี” เอลเมอร์ ให้สัมภาษณ์กับกับหนังสือพิมพ์ซอนน์แท็กของสวิตเซอร์แลนด์

ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งถึงมือวิกิลีกส์ในวันจันทร์ (17) ระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงลอนดอน ซึ่ง จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ จะมาปรากฏตัวด้วย

อย่างไรก็ตาม เอลเมอร์ กล่าวว่า วิกิลีกส์อาจยังไม่เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ในทันที เนื่องจาก “จะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อน และหากมีส่วนใดที่เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี ก็จะนำมาเผยแพร่ภายหลัง”

เอลเมอร์ เปิดเผยว่า ซีดีทั้ง 2 แผ่นบรรจุข้อมูลบัญชีธนาคารของมหาเศรษฐี, บริษัทข้ามชาติ และกองทุนป้องกันความเสี่ยงจากหลายประเทศ ซึ่งได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, สหรัฐฯ, เยอรมนี และ อังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีบัญชีธนาคารของนักการเมืองอีกราว 40 คน

ข้อมูลทั้งหมด “ได้มาจากสถาบันการเงินอย่างน้อย 3 แห่ง ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 1990-2009” เอลเมอร์ ระบุ

เอลเมอร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการธนาคาร จูเลียส แบร์ บนหมู่เกาะเคย์แมน จะเดินทางไปขึ้นศาลนครซูริกในวันพุธ (19) นี้ หลังถูกฟ้องข้อหาละเมิดกฎการรักษาความลับของธนาคารโดยเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าแก่วิกิลีกส์เมื่อปี 2007

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

กูรูแนะสะสมกองทุนทองคำเพิ่ม มั่นใจราคายังอยู่ในช่วงขาขึ้น

กูรูแนะสะสมกองทุนทองคำเพิ่ม มั่นใจราคายังอยู่ในช่วงขาขึ้น
นักวิเคราะห์กองทุนรวมแนะนักลงทุนทยอยสะสมกองทุนทองคำเพิ่ม มั่นใจราคาทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ว่าดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่าส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง พร้อมมองปัญหาหนี้ยุโรป และการออกมาตรการเพิ่มของจีนจะกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้น

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าววว่า การที่ดอลล่าร์สหรัฐฯยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องกดดันสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมให้ปรับ ตัวลดลงทั้งราคาทองคำและน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงยืนเหนือระดับ 1,360 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ทำให้เราเชื่อว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อไป แนะนำให้สะสมเพิ่ม กองทุนทองคำเราแนะนำยังคงเป็น K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย และทางเลือกสำหรับกองทุนทองคำที่ไม่จ่ายปันผล เราแนะนำกองทุนทองคำของบลจ. แอสเซ็ท พลัส ASP-GOLD ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน แต่ค่าใช้จ่ายกองทุน (Total Expenses) แพงกว่าเล็กน้อย ขณะที่น้ำมันเรายังคงแนะนำขายทำกำไรและรอจังหวะสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเรามองราคาน้ำมัน Sideway ในกรอบ 84 - 94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล โดยกองทุนน้ำมันที่เเนะนำได้เเก่ กอง K-OIL ของบลจ.กสิกรไทย

ขณะที่บรรยากาศในการลงทุนอิงไปในทางลบจากความผิดหวังตัวเลขจ้างงานนอก ภาคเกษตรที่ออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ภาพระยะสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงกดดันมีแนวโน้มที่จะผันผวน นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังปัญหาหนี้ยุโรป และการออกมาตรการเพิ่มเติมของจีน ทำให้ระยะสั้นแนะนำรอดูสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ระยะยาวยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เรายังคงมองการลงทุนไปยังกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่อย่าง ABGEM และ ABAPAC ของบลจ.Aberdeen ขณะที่กองทุนจีนคาดว่าจะเห็นความผันผวนเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด

แต่เรามองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมกองทุนจีนเพื่อการลงทุนในระยะยาว แนะนำสะสมกองทุนจีน ABCG (Aberdeen China Gateway Fund) เมื่อเห็นรัฐบาลจีนออกมาตรการ โดยกองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำทั้ง 3 กอง ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้อาจมีผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในค่าเงิน จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเรายังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มกองทุน TMB Global Bond Fund ตามเดิม

ส่วนภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รัฐบาลระยะสั้นปรับตัวผันผวน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 1 เดือน - 3 เดือน ปรับตัวลดลง -5 b.p. และ -4 b.p.เนื่องจากความต้องการพันธบัตรระยะสั้น ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +13 b.p. เนื่องจากตลาดคาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ครั้งแรกของปี 2554 จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 25 b.p. เป็น2.25% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อย -4 b.p. ขณะที่พันธบัตรอายุ 10 ปี ยังทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับสัปดาห์นี้ เราคาดว่าจะเห็นการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นตามการปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ได้คาดการณ์ไว้ ขณะที่พันธบัตรระยะยาวมองว่ายังทรงตัว ทำให้เราคาดว่าจะเห็นความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนลดลง

สำหรับตลาดหุ้นในสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นหลักและหวังที่จะเห็นการ รายงานในเชิงบวกต่อเนื่องจากหลายๆสัปดาห์ก่อนที่ตัวเลขต่างๆให้ภาพที่ดี อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ตลาดจับตากลับออกน่าผิดหวัง เริ่มจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ไว้คือ เพิ่มขึ้น 18,000 รายมาอยู่ที่ระดับ 409,000 ราย เทียบกับคาดการณ์ที่ 400,000ราย ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธค.53 เพิ่มขึ้นเพียง 103,000 ตำแหน่งจากคาดการณ์ที่ 175,000 ตำแหน่ง และแม้อัตราการว่างงานลดลงมากกว่าคาด โดยอยู่ที่ 9.4% จาก 9.8% ในเดือนก่อนหน้า ต่ำสุดนับตั้งแต่พค. 2552 แต่นักลงทุนดูจะให้น้ำหนักกับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรมากกว่า จึงส่งให้ DJIA ปรับตัวลดลงในช่วงท้ายสัปดาห์ ส่วนในยุโรป ตลาดหุ้นหลักปิดบวกหลังมีข่าวที่ว่าจีนจะช่วยเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่ ประสบปัญหาอย่างโปรตุเกส, สเปน และกรีซ

ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชียอตลาดหลักอย่างจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดโลก หลังนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง สำหรับไทย บรรยากาศเชิงบวกในตลาดโลกช่วยส่งให้ SETI ปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ราว 1,055 ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี แรงขายทำกำไรเมื่อ SETI ขยับใกล้ระดับดังกล่าวซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา ประกอบกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนักในตลาดโลกในช่วงท้ายสัปดาห์

ที่มา manager

รายงานเผย “เฟซบุ๊ก” ขอเทกโอเวอร์ “ทวิตเตอร์” ในปี 2008

เอเอฟพี - เว็บไซต์ไมโครบล็อกกิง “ทวิตเตอร์” ปฏิเสธคำขอซื้อกิจการจาก “เฟซบุ๊ก” ซึ่งยอมทุ่มเงินให้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2008 นิตยสารไฟแนนเชียล ไทม์ส เผย

บริติช บิซิเนส เดลี ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของบิส สโตน หนึ่งในผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทวิตเตอร์ไม่เพียงต้องการความนิยมจากผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังต้องการอยู่รอดได้ด้วยตนเอง มากกว่าที่จะถูก “เทกโอเวอร์” โดยบริษัทอื่น

“เราได้สร้างสรรค์บางอย่างที่คนเห็นคุณค่า แต่เรายังไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นธุรกิจ และนี่คือสิ่งที่เราอยากจะทำ” สโตนเผย

ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊ก เคยเสนอหุ้นมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ให้แก่ทวิตเตอร์เพื่อรวมกิจการ

อย่างไรก็ตาม สโตนกล่าวว่า ผู้ร่วมก่อตั้งทวิตเตอร์ทั้ง 3 คน ซึ่งได้แก่ อีแวน วิลเลียมส์, แจ็ค ดอร์ซีย์ และตัวเขาเอง ไม่เคยปรารถนาสิ่งใดที่เฟซบุ๊กมีอยู่เลย

บริติช บิซิเนส เดลี ยังเผยอย่างคร่าวๆ ว่า ทวิตเตอร์ไม่สามารถทำกำไรได้มากขึ้น แม้จะก่อตั้งมานานกว่า 4 ปีแล้วก็ตาม

กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทวิตเตอร์แถลงว่า ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนเป็นมูลค่าถึง 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทวิตเตอร์ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความแลกเปลี่ยนกันได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซึ่งข้อมูลในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ใช้ทวิตเตอร์มากถึง 175 ล้านคนทั่วโลก และมีการ “ทวีต” ถึงกันกว่า 25,000 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมา
รายงานเผย “เฟซบุ๊ก” ขอเทกโอเวอร์ “ทวิตเตอร์” ในปี 2008
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

4ค่ายยักษ์บัตรเครดิตชิงเจ้าตลาด ชู"ดบ.0%-ซื้อ1แถม1" เจาะมนุษย์เงินเดือน

ตลาดบัตรเครดิตปี"54 ส่อเค้าเดือด "ไทยพาณิชย์" ปักธงรบรักษาแชมป์เหนียวแน่น เจาะ "ลูกค้าเริ่มทำงาน" ดันยอดใช้จ่ายแตะ 1.5 แสนล้าน ด้าน "เคแบงก์" มาแรง ท้าชิงขึ้นเบอร์ 1 งัดแคมเปญ "1 แถม 1" ยิงยาว ด้าน "กรุงศรี" พร้อมรบงัดจุดขายดอกเบี้ย 0% เข้าสู้ ส่วน "เคทีซี" จัดทัพใหม่เตรียมเปิดศึกชูธงพอร์ตสินเชื่อบัตรใหญ่สุดกินกำไรดบ.


นางสาวอารยา ภู่พานิช ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ธนาคารตั้งเป้าขยายธุรกิจบัตรเครดิตในปีหน้าด้วยการพยายามรักษาอันดับ 1 ในแง่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตร โดยตั้งเป้ายอดไว้ที่ 150,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีนี้ที่มียอดทั้งสิ้น 127,000 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในปีหน้า ธนาคารจะเริ่มโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ อายุตั้งแต่ 25-35 ปี ซึ่งกลุ่มนี้อาจไม่ได้มียอดใช้จ่ายสูงมากนัก แต่น่าจะทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้าได้ในระยะยาวและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้อาจจะใช้แล้วผ่อนชำระมากกว่าชำระเต็มจำนวน ทำให้ธนาคารมีรายได้จากดอกเบี้ย รวมถึงทำให้พอร์ตสินเชื่อคงค้างเติบโตขึ้นอีก 10% จากปัจจุบัน 27,000-28,000 ล้านบาท

"ปีหน้าเราคงเพิ่มฐานบัตรใหม่ได้อีกประมาณ 1 แสนใบ จากฐานปัจจุบัน 1.8 ล้านใบ ซึ่งเราได้ปรับลดเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำของผู้สมัครบัตรเครดิตจาก 17,000 บาท ลงมาเหลือที่ 15,000 บาท น่าจะทำให้เราขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น" นางสาว อารยากล่าว

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า ในปี 2554 ธนาคารตั้งเป้าหมายจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดบัตรเครดิตในด้านยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่จะสูงถึง 150,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 25% จากปีนี้ที่จะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งสิ้น 120,000 ล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างของพอร์ต บัตรเครดิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 32,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%

"ปีนี้เราเบียดขึ้นมาสู้คู่แข่งได้อย่างสูสีมากขึ้น เป็นผลจากแคมเปญการตลาดล่าสุด "เที่ยว บิน กิน ช็อป" ที่ให้สิทธิประโยชน์แบบ 1 แถม 1 อันเป็นจุดแข็งของธนาคารมาตลอด ซึ่งแคมเปญนี้ช่วยดันให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารพุ่งขึ้นถึง 48% ในปีนี้ และเป็นแคมเปญใหญ่ที่ธนาคารใช้เป็นกลยุทธ์หลักยาวไปถึงปีหน้าด้วย" นายชาติชายกล่าว

ด้านนายฟิลิป แทน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านสินเชื่อลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า กลยุทธ์ตลาดบัตรเครดิตในปีหน้าธนาคารจะใช้กลยุทธ์แบบแคมเปญพิเศษเจาะลูกค้าเป็นรายคน โดยจะนำฐานข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์และนำเสนอแคมเปญที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ตรงไปยังลูกค้า เน้นแคมเปญที่เป็นจุดแข็งของธนาคาร คือ ผ่อนชำระแบบดอกเบี้ย 0% และเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่าย

ทั้งนี้ ภายหลังจากธนาคารกรุงศรีฯได้รวมพอร์ตสินเชื่อของกลุ่มจีอี มันนี่เดิมเข้ามาอยู่ในธนาคารแล้ว ทำให้ปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตทั้งสิ้น 2.6 ล้านบัตร พอร์ตสินเชื่อรวมทั้งสิ้นประมาณ 34,000 ล้านบาท

นายวรวุฒิ นิสภกุลธร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบัตรเครดิต บมจ.บัตรกรุงไทย (เคทีซี) กล่าวว่า นโยบายการขยายธุรกิจในปีหน้าเคทีซีจะขยายตลาดเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในด้านยอดสินเชื่อคงค้างที่ปัจจุบันมีกว่า 35,000 ล้านบาท เพราะเป็นส่วนหลักที่สร้างรายได้ดอกเบี้ยให้เคทีซี แต่เป้าหมายการเติบโตในปีหน้าบริษัทยังอยู่ในระหว่างปรับแผนธุรกิจใหม่อีกครั้ง

"ในมุมการเติบโตของเคทีซีต้องโฟกัสไปที่ยอดการใช้จ่ายและขยายพอร์ตสินเชื่อ คงค้างเป็นหลัก เพราะในมุมของน็อนแบงก์ต้องบริหารพอร์ตด้วยการสร้างรายได้ ดอกเบี้ย ปัจจุบันเรามียอดผ่อนชำระประมาณ 70% ของวงเงินที่ใช้จ่ายผ่านบัตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว" นายวรวุฒิกล่าว
4ค่ายยักษ์บัตรเครดิตชิงเจ้าตลาด ชู"ดบ.0%-ซื้อ1แถม1" เจาะมนุษย์เงินเดือน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ช่องทางสร้างอาชีพ

"ชัย โรงเกลือ" เจาะธุรกิจมือสอง ซื้อมา-ขายไป เอาใจคนรักแบรนด์

"การประกอบอาชีพนี้สิ่งสำคัญคือต้องรู้จริง ต้องดูสภาพสินค้าเป็น แต่ถามว่าข้อดีของธุรกิจนี้คืออะไร คือผลกำไรได้มากกว่าสินค้ามือหนึ่งหลายเท่าตัว แต่สำคัญคือ ต้องรอ เพราะอย่างลูกค้าเดินเข้าร้าน อาจมีแบรนด์ที่เขาต้องการ แต่ขนาดไม่ได้ ยอดขายไม่เกิดแล้ว ฉะนั้น ชัย โรงเกลือ จึงใช้วิธีรับออร์เดอร์ไว้ ได้ของมาจึงแจ้งให้ลูกค้าทราบ"



ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เห็นจะมีปีนี้ที่ตลาดโรงเกลือกลับมาคึกคักรวดเร็วกว่าทุกปี อันเนื่องจากลมหนาวที่พัดผ่านมาเร็วนั่นเอง ผู้ค้าในตลาด ถึงคราวนี้เริ่มยิ้มได้ ต่างเตรียมกักตุนสินค้าสต๊อคไว้ รอจังหวะระบายออกในช่วงฤดูหนาว หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง"

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมือสอง คือสินค้านำเทรนด์เสมอในตลาดแห่งนี้ แต่นับจำนวนผู้ขายใช่ว่าจะน้อย เหตุนี้ ผู้ประกอบการบางราย อย่าง คุณชูชัย ดำรงสันติสุข วัย 48 ปี เจ้าของร้าน "ชัย โรงเกลือ" จึงต้องค้นหาความต่างให้กับผลิตภัณฑ์ ด้วยการเลือกสรรเสื้อผ้ามือสองแบรนด์ดังจากทั่วโลกมาจำหน่าย



หลีกหนีความวุ่นวาย

ขายเสื้อผ้าแบรนด์เนม

คุณชูชัย เริ่มต้นเล่าเรื่องราวจังหวะก้าวสู่ธุรกิจ โดยหลังศึกษาจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบอาชีพค้าขายวัสดุก่อสร้างอยู่ในจังหวัดบ้านเกิด อีกทั้งยังเป็นผู้สื่อข่าว และลงเล่นการเมือง กระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำขณะนั้น

"ค้าขายอยู่สุรินทร์ กระทั่งมาลงเล่นการเมือง ต่อมาหยุดพัก เพราะเงินทองไม่เหลือ แต่ความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จึงเริ่มมองหาทำเล หาทางสร้างเนื้อสร้างตัว กระทั่งมาตลาดโรงเกลือ ซึ่งสมัยเมื่อประมาณ 10 ปี เริ่มคึกคัก แต่อาจจะไม่มากเท่ากับช่วงเปิดด่านเป็นต้นมา"

คุณชูชัยติดต่อขอเช่าพื้นที่ห้องค้าขนาด 1 คูหา โดยมองว่าสินค้านำมาจำหน่ายต้องเป็นเสื้อผ้ามือสอง แต่กระนั้นเท่าที่สังเกตตลาด มีผู้ดำเนินการอยู่หลายราย และส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชา ซึ่งโดยนิสัยกินอยู่อย่างประหยัด ทำให้ค่าครองชีพต่ำ ฉะนั้น เวลาขายสินค้าได้กำไร 5 บาท 10 บาท เพียงพอแล้ว อีกทั้งผู้ขายชาวกัมพูชายังมีขาประจำเหนียวแน่น คงมิอาจสู้ได้ เหตุนี้จึงมุ่งความสนใจไปที่สินค้าแบรนด์เนม

แต่สำหรับมือใหม่หัดขาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...

"เคยค้าขายสินค้า แต่ก็เป็นวัสดุก่อสร้าง เสื้อผ้าจึงดูห่างไกล โดยเฉพาะกับสินค้าแบรนด์เนม บอกตามตรงว่าตอนนั้นแทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามีแบรนด์อะไรบ้าง แต่เมื่อก้าวเข้ามาทำจริงจัง จำเป็นต้องศึกษา เริ่มจากลูกค้าแนะนำ จากนั้นเปิดข้อมูลทางเว็บไซต์ บอกตามตรงว่าตอนแรกได้สินค้าก๊อบปี้บ่อยมาก เพราะดูของแท้ไม่เป็น แต่สุดท้ายคือพยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด"

ด้วยความมุมานะพยายาม จากคนไม่รู้จักแบรนด์ กลับกลายเป็นรอบรู้หลากหลายยี่ห้อทั่วโลก แต่คุณชูชัย ว่า แบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากประเทศญี่ปุ่น เป็นเสื้อผ้าสไตล์ฮิปฮอป แต่กระนั้นผู้สวมใส่กลับเป็นวัยผู้ใหญ่ ส่วนสนนราคาขาย เริ่มต้นตั้งแต่ตัวละ 1,500 บาท ไปจนกระทั่งสูงสุดราว 4,000 บาท

"จริงแล้วของแบรนด์เนมดังๆ ย่อมจะมีสินค้าลอกเลียนแบบเกิดขึ้น บางครั้งทำได้เหมือนมาก ต้องยอมรับว่าบางทีดูไม่ออก แต่สิ่งสำคัญคือสภาพสินค้า ถ้าเก่าแล้วดูดี สามารถนำมาขายได้"



จับสินค้าหัวกะทิ

จ้างคัด คุ้มกว่า

ย้อนกลับไปถามถึงเงินทุนเบื้องต้นเท่าใด คุณชูชัย ว่า ประมาณ 40,000-50,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าเช่าสถานที่ และค่าสินค้า "ถ้าพูดถึงค่าสินค้าหมดเงินไปไม่มาก เพราะรับมาราคาถูก อาจจะตัวละ 100 บาท คือต้องอยู่ที่สายตาด้วยว่าจับเป็นหรือเปล่า แต่ถ้ามีคนสนใจก้าวสู่ธุรกิจนี้ กับตลาดแห่งนี้ ปัจจุบัน คงต้องกำเงินไว้ในมือประมาณ 500,000 บาท ด้วยเพราะค่าเซ้งร้านสูงมาก แค่เฉพาะค่าเช่าเดือนหนึ่งก็เป็นหมื่นแล้ว แต่โดยส่วนตัวผมเช่าในราคา 8,000 บาท"

สำหรับแหล่งซื้อสินค้า มาจากพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยคุณชูชัยระบุแบรนด์สินค้า แล้วให้ผู้มีอาชีพคัดเลือกผลิตภัณฑ์นำมาส่งขายให้อีกต่อหนึ่ง "พนมเปญจะมีผู้รับซื้อรายใหญ่ไปเหมาเสื้อผ้ามาจากหลายประเทศ อย่างเช่น ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ปากีสถาน เป็นตู้คอนเทนเนอร์ เรียกว่ากองเป็นภูเขา แล้วผู้คัดจะเดินทางไปเลือก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชา โดยสินค้าที่ร้านชัย โรงเกลือ ต้องการเรียกว่าหัวกะทิ เพราะมัดหนึ่ง หรือเรียกว่ากิ๊ป อาจมีแบรนด์เนมไม่กี่ตัว หรือไม่มีเลย ผมจึงต้องสั่งออร์เดอร์ไว้ จากนั้นผู้คัดจะนำมาส่งให้ที่ร้าน กับราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ตัวละ 100 บาทขึ้นไป"

ถามว่าทำไมไม่เดินทางไปคัดเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง คุณชูชัย ตอบเลยว่า ไม่คุ้ม เพราะก่อนอื่นต้องซื้อผ้ายกกิ๊ปเพื่อนำมาคัด และดังได้กล่าวแล้วว่า 1 กิ๊ปอาจไม่มีแบรนด์เนม หรือมีน้อย แล้วผ้าที่เหลือจำนวนมากจะนำไปไว้ไหน แต่สำหรับผู้มีอาชีพคัดผ้าโดยตรง เขาสามารถส่งผ้าไปจำหน่ายได้ตามเกรด

"หน้าที่คัดผ้า คนไทยคงสู้ชาวกัมพูชาไม่ได้ เขาเข้าถึง รู้ทาง และกับเสื้อผ้าแบรนด์เนม ต้องยอมรับว่าชาวกัมพูชาหูไวตาไวขึ้น สามารถดูออก และรู้ด้วยว่าตลาดต้องการ ปัจจุบัน ราคาขายส่งจึงขยับขึ้น แต่ก็ไม่ถือว่าอยู่ในขั้นลำบากต่อการค้าขาย เพราะโดยส่วนตัวทราบราคาซื้อขายอยู่แล้ว"

แม้อาจต้องใช้ระยะเวลานานกับการรอคอยสินค้า แต่กระนั้นการจับตลาดลักษณะนี้ถือเป็นความโชคดี เพราะคู่แข่งขันน้อย

"ข้อได้เปรียบอีกประการ คือ การทำงานของร้าน เป็นลักษณะครอบครัว ไม่มีปัญหาเรื่องนายจ้างลูกจ้าง บริหารจัดการร้านเล็กๆ สามารถทำได้ไม่ยากนัก สินค้าได้มาก็ขายไป ไม่ต้องสต๊อคมาก จะมีก็แต่ในช่วงใกล้ถึงฤดูหนาว จำเป็นต้องกักตุนสินค้า ซึ่งลำพังเงินทุนตัวเองคงทำได้ไม่คล่องนัก จึงต้องยื่นความจำนงขอสินเชื่อไปยังเอสเอ็มอี แบงก์ เพื่อมาเป็นทุนหมุนเวียน"



ต้นทุนต่ำขายได้

เจาะตรงใจลูกค้า

คุณชูชัย ยังกล่าวถึงสินค้าว่า แม้ได้มาก็ใช่จะแขวนขายได้เลย แต่ต้องส่งเข้าสู่โรงงานซัก/ฟอก/รีด ซึ่งตลาดโรงเกลือมีผู้ประกอบธุรกิจนี้รองรับ กับค่าบริการ ยกตัวอย่าง กางเกง ซักฟอก ตกตัวละ 4-5 บาท แต่ถ้ารีดด้วยคิดเพิ่มตัวละ 1 บาท

"การประกอบอาชีพนี้สิ่งสำคัญคือต้องรู้จริง ต้องดูสภาพสินค้าเป็น แต่ถามว่าข้อดีของธุรกิจนี้คืออะไร คือผลกำไรได้มากกว่าสินค้ามือหนึ่งหลายเท่าตัว แต่สำคัญคือ ต้องรอ เพราะอย่างลูกค้าเดินเข้าร้าน อาจมีแบรนด์ที่เขาต้องการ แต่ขนาดไม่ได้ ยอดขายไม่เกิดแล้ว ฉะนั้น ชัย โรงเกลือ จึงใช้วิธีรับออร์เดอร์ไว้ ได้ของมาจึงแจ้งให้ลูกค้าทราบ"

สำหรับผู้ใดสนใจประกอบธุรกิจค้าขายสินค้ามือสอง คุณชูชัย แนะนำพอเป็นแนวทาง ว่าเริ่มแรกต้องหากลุ่มเป้าหมาย หาตลาดให้ได้ก่อน อย่างถ้าต้องการเปิดร้าน โดยทำเล คือ ตลาดโรงเกลือ ซึ่งปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลง จากแต่ก่อนสินค้าทั้งหมดมือสอง 100 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน ลดลงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสินค้ามือหนึ่งสารพัดชนิดเข้ามาแทนที่

ลำดับต่อมา หาลูกค้าประจำให้ได้ หรือถ้าต้องการเจาะตลาดชาวกัมพูชา คุณชูชัย แนะให้นำสินค้าตัวอย่างไปเสนอกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะสินค้าไทยมือหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด "สินค้าโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ ชาวกัมพูชาชอบมาก เขานิยมแฟชั่นทันสมัย ซึ่งผมเคยเดินดูตลาดในประเทศเขา สินค้าไทยทั้งนั้น แล้วขายดีด้วย ผู้ประกอบการอาจใช้พื้นที่ของตลาดโรงเกลือเป็นจุดหน้าร้านแล้วกระจายส่งให้เขานำไปขายปลีก"

คุณชูชัย ยังกล่าวถึงโอกาสทางการค้าว่า มีแนวโน้มเติบโตดี สังเกตได้จากจำนวนตลาดเพิ่มขึ้น นับเกือบ 10 แห่งแล้วในละแวกเดียวกัน โดยสินค้านอกจากเครื่องแต่งกาย ยังมีเครื่องประดับ ของใช้ และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านอุปโภค บริโภค นับไม่ถ้วน

"อีกประการหนึ่งอยากจะบอกไว้ ตลาดโรงเกลือมีช่วงนาทีทอง เฉพาะฤดูหนาว ราว 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคมเป็นต้นไป พ้นจากนี้ไป โอกาสขายได้น้อยมาก แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว ยกตัวอย่างปีนี้หนาวเร็ว สัปดาร์แรก รายได้ 300,000 กว่าบาทแล้ว"

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของร้าน ชัย โรงเกลือ สัดส่วนยังคงเป็นคนไทย รองลงมา คือ ชาวต่างชาติ อาทิ มาเลเซีย เกาหลี จีน และโดยเฉพาะญี่ปุ่น "ชาวญี่ปุ่นค่อนข้างแปลก ชอบเสื้อผ้ามือสองที่เป็นแบรนด์จากประเทศเขา และยิ่งเก่ายิ่งสวย โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่นำไปจำหน่ายให้คนญี่ปุ่นอีกต่อหนึ่ง ทำเป็นแค็ตตาล็อกประกาศขายสินค้าเลย อย่างถ้าซื้อไปตัวละ 700 บาท เขาขาย 2,500 บาท นอกจากนั้น มีกลุ่มทัวร์ซื้อปลีกไปสวมใส่เอง

สำหรับคนกัมพูชาอย่างได้กล่าวข้างต้นว่า นิยมสินค้ามือหนึ่งของไทย แต่ถ้าเป็นชาวเวียดนามซึ่งมีสัดส่วนผู้ค้าอยู่ในตลาดโรงเกลือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาค่อนข้างอนุรักษ์นิยม คือใช้ของในประเทศ ฉะนั้น สำหรับมือใหม่สนใจก้าวเข้ามาทำตลาด ต้องรู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รู้ว่าจะขายใคร อันนี้สำคัญมาก"

สำหรับผู้ค้า หรือผู้สนใจ ต้องการจับจองสินค้ามือสองแบรนด์ดัง เดินทางไปได้ที่ร้าน "ชัย โรงเกลือ" ตั้งอยู่ เลขที่ 19/28 ถนนศรีเพ็ญ ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โทรศัทพ์ (083) 110-5738



ข้อมูลจำเพาะ

กิจการ จำหน่ายเสื้อผ้ามือสอง (แบรนด์เนม)

ลักษณะกิจการ เจ้าของคนเดียว

ชื่อกิจการ "ชัย โรงเกลือ"

เจ้าของกิจการ คุณชูชัย ดำรงสันติสุข

เงินลงทุนเบื้องต้น 50,000 บาท (เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว แต่ถ้าเป็นปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 500,000 บาท เพราะค่าเซ้งและเช่าพื้นที่สูง)

สินค้า เสื้อผ้ามือสอง

แหล่งซื้อ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา

วิธีซื้อ ผ่านผู้ประกอบอาชีพคัดเสื้อผ้า (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชา)

ราคารับซื้อ เริ่มต้นตัวละ 100 บาท

ราคาขาย ประมาณ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท

ยอดขาย หลักแสนต่อเดือน

สถานที่ตั้งร้าน/ติดต่อ เลขที่ 19/28 ถนนศรีเพ็ญ ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

โทรศัพท์ (083) 110-5738





"สินค้ามือหนึ่งสามารถนำมาจำหน่ายได้กับตลาดแห่งนี้ แต่ต้องติดต่อโรงงานผู้ผลิต เพื่อให้ได้สินค้าราคาถูก แต่หากต้องการขายของมือสอง ควรดูราคาเช่นกัน เพราะผู้ค้า 70 เปอร์เซ็นต์ ในตลาดโรงเกลือ เป็นชาวกัมพูชา เขาประหยัดกินประหยัดใช้ กำไรนิดหน่อยปล่อยของแล้ว และถ้าเป็นสินค้ามือสอง คนกัมพูชาได้เปรียบตรงแหล่งซื้อจากประเทศของเขา ฉะนั้น ผู้คิดก้าวสู่ธุรกิจนี้ต้องรอบคอบ"



จุดเด่น-อุปสรรค เสื้อผ้า สิ่งทอ ในตลาดโรงเกลือ

จุดเด่น

- สินค้ามือสองแบรนด์เนม คู่แข่งขันทางการตลาดน้อย

- ความต้องการสูง

- ผลต่างของกำไรมากว่าสินค้ามือหนึ่ง

อุปสรรค

- ต้องใช้ระยะเวลาในการรอคอยสินค้า

- ไม่สามารถกำหนดรูปแบบขนาดสินค้าได้ จึงส่งผลเรื่องโอกาสทางการค้า

- ไม่สามารถเดินทางไปคัดเลือกสินค้าเองได้ ในขณะที่ผู้คัดมีความรู้เรื่องการตลาดมากขึ้น

ช่องทางสร้างอาชีพ
ที่มา matichon

เปิดคัมภีร์วิธีการหากำไรจากหุ้นบนฟองสบู่

ปิดคัมภีร์วิธีการหากำไรจากหุ้นบนฟองสบู่
ตลาดหุ้นไทย ปี 2553 ได้ทำลายสถิติ และสร้างประวัติศาสตร์ หน้าใหม่ไว้อย่างงดงาม โดยดัชนีหุ้น ได้กลับมายืนผงาดด้วย เลข 4 หลัก หรือทะยานขึ้นยืนเหนือระดับ 1,000 จุดได้อีกครั้ง หลังการรอคอยที่ยาวนานกว่า 14 ปี นับจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2539 ที่ดัชนีไหลรูดลงจากระดับ 1,400 จุด

โดยหากเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทั่วทั้งโลกแล้ว พบว่าหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยเพิ่มขึ้น 287.45 จุด จากสิ้นปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 734.54 จุด มาอยู่ที่ 1,021.99 จุด หรือเพิ่มขึ้น 40% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งปรับขึ้น 42.5%

ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นอย่างร้อนแรง ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ตัวเลขที่สะท้อน ถึงความมั่งคั่งอู้ฟู่ของนักลงทุนในตลาดหุ้น ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นไทยมา โดยมีมูลค่าสูงกว่า 8.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37 ล้านล้านบาท จากปี 52

ขณะที่มูลค่าการซื้อขาย เฉลี่ยต่อวันที่นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศขนเงินเข้ามาซื้อขายหุ้นไทย ในแต่ละวันนั้น สูงขึ้นกว่า 29,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแทบไม่น่าเชื่อว่า ในบางเดือน เช่น เดือน พ.ย. มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยทะลุกว่า 40,000 ล้านบาทต่อวัน สูงกว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางการเงินในอาเซียนเลยทีเดียว!!

จึงมีคำถามว่า การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ จะเป็นการปรับขึ้นรอบใหญ่ต่อเนื่องมาถึงปี 54 ด้วยหรือไม่

กระแสเงินทุนไหลเข้า ที่เป็นตัวการสำคัญผลักดัน ให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้น โดยต่างชาติโชว์ยอดซื้อสุทธิกว่า 80,000 ล้านบาท ในปีที่แล้วนั้น มาปีนี้เงินต่างชาติจะยังคงไหลทะลักเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่อหรือไม่

ฟองสบู่ตลาดหุ้นจะยังฟูฟ่องล่องลอยไปได้อีกนานและมากแค่ไหน!!

ปัจจัยบวกที่ยังเป็นตัวหนุนการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยในปีนี้คืออะไร ยังมีอยู่หรือ และอะไรคือความเสี่ยงของตลาดหุ้นที่นักลงทุนควรระวังผู้มีเงินออมจะยังสามารถเข้ามาหาผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อยู่หรือไม่!!

"ทีมข่าวเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมข้อมูลและหาคำตอบจากเหล่ากูรูยอดเซียนในตลาดหุ้นมาให้ได้พิเคราะห์พิจารณาไว้ ณ ที่นี้แล้ว

-----------

จากการสำรวจตรวจสอบการประเมิน ทิศทางตลาดหุ้นปี 54 ของโบรกเกอร์ สำนักต่างๆของไทย พบว่าแทบทุกแห่งต่าง ประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นแทบทั้งสิ้น (ในตาราง) โดยมองว่าดัชนีหุ้นจะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ให้เป้าหมายดัชนีที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยสูงกว่าระดับ 1,200 จุด

ส่วนโอกาสที่ดัชนีจะไปได้สูงสุดนั้น บางแห่งมองไปไกลถึงระดับ 1,400-1,500 จุด!! ในทางตรงกันข้าม โบรกเกอร์หลายสำนักก็ประเมินปัจจัยความเสี่ยงที่จะกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสร่วงลงไปได้ถึงระดับ 850 จุด

ทีนี้มาดูกันว่า กูรูแต่ละคนให้เหตุผลแนะกลยุทธ์คัมภีร์การลงทุนปีนี้ไว้อย่างไร เชิญติดตาม...
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล

รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้

โบรกเกอร์ที่ให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้สูงที่สุด (1,152-1,432 จุด) ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันต่างชาติยังคงมีน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระดับปกติ แต่หากต่างชาติ Overweight หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย คาดว่าจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาอีกราว 3,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขณะที่สภาพคล่องของเม็ดเงินในโลกยังคงมีมหาศาล นับตั้งแต่วิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส นั้น สหรัฐฯและประเทศต่างๆได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน โดยรวมพลังกันอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ รวมกันแล้วกว่า 7.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุของสภาพคล่องที่ล้นโลกและมีมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในขณะนี้

เฉพาะสหรัฐฯอัดฉีดเงินเข้ามาแล้วกว่า 2.5 ล้านล้านเหรียญฯ ยังไม่นับรวมมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณรอบล่าสุด (QE2) ที่สหรัฐฯจะอัดฉีดเงินอีกกว่า 600,000 ล้านเหรียญฯ

"วิศิษฐ์" ย้ำว่า หากเปรียบเทียบรอบของการเป็นตลาด Bull market หรือตลาดกระทิง ที่เป็นการปรับขึ้นรอบใหญ่ๆของตลาดหุ้นไทยในอดีตนั้น พบว่าสภาพคล่องของกระแสเงินทุนในรอบนี้ มีจำนวนมหาศาลมากกว่าในปี 36 ที่ดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไปได้สูงสุดที่ 1,770 จุดและมากกว่าปี 46 ที่ภายในปีนั้นดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นรวดเดียว 100% จาก 400 จุด ขึ้นมาเป็น 800 จุด!!

สภาพคล่องรอบนี้จึงมีความหมายต่อการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างมาก!!



ย้อนกลับมาดูสภาพคล่องของเงินในประเทศ ก็พบว่าฐานเงินในประเทศ (M2) ขณะนี้ก็ล้นทะลักเช่นกัน โดยคนไทยพร้อมโยกเงินหนีแรงกดดันจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน กระโจนเข้ามาหาประโยชน์ในตลาด หุ้นได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญยังมีเม็ดเงินที่รอโยกกลับเข้าประเทศ จากการออกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลี หรือ "กิมจิ บอนด์" ที่กำลังทยอยหมดอายุอีกไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท

ว่ากันว่า แม้ต่างชาติ หรือ "เงินฝรั่ง" จะทิ้งหรือหนีออกจากหุ้นไทยช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ถึงขั้น "เสียศูนย์"

ปรับตัวลงแรง เพราะพลังเงินคนไทยเองก็สามารถเข้าไปรับหุ้นกลับมาได้หมด เหตุเพราะคนไทยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น

เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้วนั้น เป็นการเข้ามาซื้อขายของนักลงทุนไทยถึง 85% ขณะที่ต่างชาติมีสัดส่วนซื้อขายเพียง 15% เท่านั้น ทั้งที่ในอดีตสัดส่วนการซื้อขายต่างชาติเฉลี่ยต่อวันนั้นจะอยู่ที่ 27% ของมูลค่าการซื้อขาย

และแม้ทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น ซึ่งถือเป็นยาขมของตลาดหุ้น แต่ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นเร็วพรวดพราด จึงยังคงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น หลายประเทศในเอเชียก็เช่นกัน ดังนั้น เงินที่นอนอยู่ในธนาคารจึงแทบไม่มีค่า ต้องถูกนำออกมาหาผลตอบแทนที่ดีกว่า

เช่นเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงหลากหลาย มีทั้งดีและไม่ดี สลับกันออกมา ทำให้สหรัฐฯยังไม่กล้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ความต้องการอยากเสี่ยงของนักลงทุนมีมากขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นจึงยังคงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในปีนี้


"วิศิษฐ์" ยังแจงถึงปัจจัยบวกปีนี้ต่อว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะยังคงดีต่อเนื่อง โดยคาดการณ์กำไรปีนี้จะโตขึ้นได้ถึง 19.8% จากปีก่อน ทำให้ยังสามารถจ่ายเงินปันผลที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานรองรับการปรับขึ้นของราคาหุ้นได้เป็นอย่างดี!!

ส่วนเรื่องการเมือง การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้นั้น วิศิษฐ์ขุดสถิติย้อนหลังออกมาแจงว่า น่าจะเป็นผลดีมากกว่าเสีย โดยสถิติการเลือกตั้ง 7 ครั้งที่ผ่านมานั้น ช่วงหลังการยุบสภาหรือก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ตลาดหุ้นมักจะแกว่งตัวซึมๆ

แต่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 1 สัปดาห์ ก่อนการเลือกตั้ง และปรับขึ้นต่อเนื่องไปอีก 2 สัปดาห์ หลังการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นจะปรับตัวลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและโฉมหน้ารัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

ดังนั้น ช่วงที่ตลาดหุ้นซึมๆก่อนการเลือกตั้ง ก็ถือเป็นจังหวะที่น่าเข้าไปทยอยเลือก สะสมหุ้นดีราคาถูกไว้รอขายช่วงที่ตลาดปรับขึ้นหลังการเลือกตั้งได้!!

สำหรับความเสี่ยงหรือข้อกังวลของตลาดหุ้นปีนี้นั้น วิศิษฐ์ให้น้ำหนักกับ อัตราเงินเฟ้อของจีน ที่หากเงินเฟ้อขึ้นสูง 7-8% ทำให้จีนต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อของคนหายไป กระทบต่อการ เติบโตของเศรษฐกิจจีนที่เป็นความหวังหรือเสาหลักของเศรษฐกิจโลก

โดยจีนต้องรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจให้ได้มากกว่า 8% เพราะหากต่ำกว่านี้จะทำให้ความคาดหวังที่จะให้จีนเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกต้องถูกกระตุกไป และย่อมส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

สำหรับคัมภีร์การลงทุนปีนี้นั้น "วิศิษฐ์" ไม่พูดพร่ำทำเพลง แจกหุ้นหลักที่ต้องมีไว้ในพอร์ต ซึ่งยังคงเป็นหุ้นพิมพ์นิยม นำทัพโดย PTT, PTTCH, CPF, KTB, KBANK, TOP และ SCC นอกจากนี้ยังเชียร์หุ้น ADVANC, TTW, GLOW แถมหุ้นเล็กจิ๋วแต่แจ๋วคือ SPALI, LPN และ SVI

"วิศิษฐ์" ยังได้ "จัดหนัก" ทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ใช้ตะแกรงร่อนได้หุ้นที่มีผลประกอบการดี ฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดเยอะ หนี้สินระยะยาวต่ำ ปันผลงาม ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่แพง เรียกว่ามีคุณสมบัติครบ ทั้งสวย รวย เก่ง แถมเซ็กซี่ เปิดตัวนำขบวน

โดย SPALI, BCP, LPN, ESSO, SGP, DELTA, VNG, HANA, SVI, SIRI, SC, TTA, PSL, PS, LANNA, GFPT, CCET, RATCH และ DCC

แกะรหัสลับอักษรย่อ และไปศึกษาหาอ่านบทวิเคราะห์อย่างละเอียดของหุ้นเหล่านี้ ก่อนเลือกสเปกเลือกลงทุนตามความชอบได้เลย!!
ไพบูลย์ นลินทรางกูร

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้

กลับมองว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดมีความผิดปกติ ดัชนีเคลื่อนไหวรุนแรง โดยในปี 51 ซึ่งมีวิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส ล่มสลาย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงถึง 47% ต่อมาปี 52 วิกฤติเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณไม่เลวร้ายมากอย่างที่คาด ทำให้ดัชนีกลับมาปรับตัวขึ้นแรงถึง 63%

และปี 53 เกิดสภาพคล่องท่วมตลาดหุ้นจากเงินนอก ที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเติบโตและบริษัทจดทะเบียนมีกำไรดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นปี 2553 ทะยานบวกขึ้นถึง 40%

ดังนั้น ในปี 54 นี้ จึงประเมินว่าตลาดน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีเหตุหรือปัจจัยอะไรรุนแรงเข้ามามีผลกระทบเหมือน 3 ปีที่ผ่านมา โดยมองดัชนียังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่จะปรับขึ้นได้ไม่มาก ให้กรอบเพิ่มขึ้นได้แค่ 15% จากปี 53 เท่านั้น หรือประมาณ 150 จุด

สำหรับความเสี่ยงหรือปัจจัยที่ควรระวัง ต้องติดตามว่าสหรัฐฯจะดำเนินมาตรการ QE2 ต่อเนื่องหรือไม่ หลังมาตรการนี้แทบไม่เกิดผล ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯอาจดำเนินมาตรการ QE2 ได้ไม่ครบถ้วนทั้งหมด และทำให้ความคาดหวังของตลาด ที่ว่าสหรัฐฯอาจมีมาตรการ QE3 ตามมานั้น ก็คงเป็นไปได้ยาก หรือไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นความหวังว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มก็จะไม่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังต้องลุ้นกับความเสี่ยงของปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรปอีก 2 ประเทศ คือ สเปนและอิตาลี เพราะหาก 2 ประเทศนี้เป็นอะไรไป ผลกระทบจะรุนแรงมาก เพราะมูลค่าหรือขนาดของเศรษฐกิจ 2 ประเทศรวมกัน ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก หากเกิดอะไรขึ้น ปัญหาวิกฤติหนี้ ยุโรปจะกลับมาเขย่าขวัญตลาดหุ้นทั่วโลกได้อีกครั้ง!!

นอกจากนี้ เหตุที่ปี 2553 เป็นปีที่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาก สู่ระดับที่ควรจะเป็นตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก พิจารณาจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นรวมกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ดังนั้น โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นมากๆต่อไปอีก จึงไม่ง่าย เพราะราคาหุ้นที่เริ่มสูง ทำให้เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยน้อยลง!!

แต่หากจะให้เลือกหุ้นเด็ด ดี เด้ง "ไพบูลย์" บอกหุ้นดียังมีเยอะ แต่เพื่อแฟนๆไทยรัฐขอ "จัดให้" สุดยอดหุ้นน่าลงทุนประจำปีนี้ นำทัพโดย SCB, KBANK, DCC และ HMPRO หากอยากรู้ถึงเหตุผลปัจจัยรองรับ ต้องไปนี่เลย เปิดพอร์ตกับ บล.ทิสโก้ ได้รู้ลึก แถมรู้ดีแน่!!
สุกิจ อุดมศิริกุล

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์

มองตลาดหุ้นปีนี้ยังมี โอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่น่าจะปรับขึ้นได้ช้าลง ไม่ร้อนแรงเหมือนปี 2553 แต่จะมีความผันผวนแกว่งตัวสวิงขึ้น-ลงรุนแรงมาก เรียกว่าปีนี้เล่นหุ้นไม่ง่ายแน่ๆ

โดยตลาดมีปัจจัยบวกจากกำไรของ บริษัทจดทะเบียนที่จะขยายตัวได้ 15-20% เป็นตัวช่วย แต่ราคาหุ้นก็ได้ปรับตัว ขึ้นสะท้อนการคาดการณ์นี้ไปบางส่วนแล้ว

ส่วนปัจจัยลบที่กดดันการปรับขึ้นของดัชนี คือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเหวี่ยงตัว มาก และมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยมองว่าสหรัฐฯจะไม่ต่อมาตรการ QE รอบ 3 ซึ่งจะเป็นผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง และเม็ดเงินบางส่วนอาจถูกดึงออกจากเอเชีย

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นหลายประเทศ ที่ปี 53 ไม่ได้ปรับตัวขึ้น อาจกลับมาน่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวดีกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ฯกลับมาแข็งค่าขึ้น ดึงเงินให้ไหลกลับไปลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ และตลาดหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ก็จะฟื้นตัวตามไปด้วย ทั้งตลาดหุ้นสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นตัวแย่งดึงเม็ดเงินออกไปจากตลาดหุ้นไทย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หุ้นไทยปีหน้าจะยังเป็นที่พึ่งของผู้มีเงินออมและอยากเข้ามาหากำไร หรือผลตอบแทนจากตลาดหุ้นได้หรือไม่นั้น "สุกิจ" บอกว่า แม้ปัจจัยลบต่างๆจะเป็นตัวถ่วงทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้ไม่มาก แต่กำไรของ บริษัทจดทะเบียน ที่จะยังเติบโตได้ดีนั้น ทำให้มีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลงามๆให้ผู้ถือหุ้นได้ ประเด็นนี้น่าจะเป็นความหวังให้กับนักลงทุน "กำไรจากการปรับขึ้นของราคาหุ้นอาจไม่มาก แต่ผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าจะยังดีอยู่"

ว่าแล้ว "สุกิจ" จึงแจกคัมภีร์การลงทุนปีนี้ หากเลือกหุ้นที่มีความ ปลอดภัยสูง เสี่ยงต่ำ หรือมีโอกาสได้กำไรมากกว่าเจ็บตัว เชียร์ให้ซื้อหุ้น แบงก์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น โดยกดปุ่มเลือก KBANK และ KTB เด่นสุด

รวมทั้งหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์ จากกำลังซื้อและการบริโภคภายในที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจากนโยบายรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำและการดูแลแรงงานที่อยู่นอกระบบ ที่กระหน่ำอัดฉีดเงินไปในทุกภาคส่วน ที่สำคัญเม็ดเงินที่คาดว่าจะสะพัดในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง เหล่านี้ล้วนทำให้ประชาชนผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จึง เชียร์ลงทุนหุ้น CPALL กับ HMPRO

นอกจากนี้ ยังมองว่า หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์ น่าสนใจ เพราะยังมีการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย แนะนำหุ้น AMATA

ส่วนหุ้นที่ลงทุนได้ แต่ต้องพร้อมรับความเสี่ยงได้เช่นกัน คือ หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และปิโตรเคมี เพราะคาดว่าระยะสั้น ราคาผลิตภัณฑ์ยังมีความผันผวนที่จะส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นลงตามการแกว่งตัวของราคาสินค้าได้ รวมทั้งเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่มักแกว่งตัวตามอารมณ์ของตลาด แต่สำหรับระยะยาว หุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี เลือก PTTCH, SCC และ TVO โดดเด่น

ปิดท้ายแถมให้อีก 2 ตัว หุ้นดีปันผลแจ่ม TTW และ TICON ทั้งหลายทั้งปวง ก่อนจะเข้าลุยตามลายแทงขุมทรัพย์ของแต่ละกูรู

สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือ "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" ถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องท่องไว้ในใจ เพื่อความปลอดภัยในการลงทุนสูงสุด!!

ทีมเศรษฐกิจ
ที่มา : www.thairath.co.th

คลังบทความของบล็อก