เถ้าแก่น้อยบุกอาเซียน ลั่นสู้ด้วยแบรนด์ไม่แข่งราคา โฟกัส 4 ประเทศ

เถ้าแก่น้อย กางแผนรับตลาดอาเซียน สู้ด้วยแบรนด์ไม่แข่งราคา โฟกัส 4 ประเทศ เป้า 5 ปีข้างหน้า มียอดขายในอาเซียน 10-15% เทียบตลาดต่างประเทศทั้งหมด

นายอิทธิพันธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดเศรษฐกิจประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างเต็มตัว เชื่อว่าจะทำให้การแข่งขันในตลาดอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของบริษัทเองนั้น ขณะนี้ได้เตรียมพร้อมที่จะทำตลาดในครั้งนี้ด้วย ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบกว่า200ล้านบาทในการเปิดโรงงานแห่งที่3 หวังรองรับการขยายตัวเข้าสู่ตลาดในอาเซียนซึ่งจะทำให้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน จากวันละ 2 ล้านแผ่นเป็น 4 ล้านแผ่นในปีหน้า

สำหรับตลาดในอาเซียนนั้น จะเน้นอย่างจริงจังเพียง 4 ประเทศ คือ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย โดยแต่ละปีจะใช้งบ การตลาดในส่วนของการทำตลาดในต่างประเทศราว 50-60 ล้านบาท คาดว่าภายใน5ปีข้างหน้า บริษัทจะมีสัดส่วนยอดขายในกลุ่มอาเซียนราว 10-15% เมื่อเทียบกับยอดขายในกลุ่มตลาดต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งยอดขายในต่างประเทศนั้นที่ทำตลาดราว 30 ประเทศ ทั่วโลก ปัจจุบันอยู่ที่ 40% และในประเทศ 60%

“ทั้งนี้บริษัทมองว่า การบุกตลาดอาเซียนนั้น จะต้องสู้ด้วยแบรนด์ดิ้ง ไม่เน้นแข่งด้านราคา เพราะหากพูดถึงเรื่องของราคาแล้ว คงสู้ประเทศจีนไม่ได้ ดังนั้นบริษัทจะวางตำแหน่งสินค้าเป็น “สมาร์ทโปรดักส์” หรือขนมที่เป็นทางเลือกของคนฉลาดรับประทาน ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายใน 5 ปี ขณะที่คู่แข่งในต่างประเทศ ขณะนี้ยังไม่มีเซกเม้นท์ชัดเจนแต่จะมีสินค้าใกล้เคียงกัน” นายอิทธิพันธ์ กล่าวในที่สุด
ที่มา manager

"ไตรรงค์" แนะธุรกิจเปลี่ยนเครื่องจักรช่วงบาทแข็ง จับตาระดับ 28 บาท/ดอลลาร์

"ไตรรงค์" แนะผู้ประกอบการเปลี่ยนเครื่องจักรช่วงบาทแข็ง มั่นใจค่าเงินบาทไม่หลุด 28 บาทต่อดอลลาร์ แต่ห่วงปัญหา ศก.ไอร์แลนด์ และการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ด้านนายแบงก์คาด ปลายปี 54 ค่าเงินบาทแตะ 28 บาทต่อดอลลาร์

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ นโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตไทยก้าวไกลไปกับอาฟตา โดยเชื่อว่า ค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าทะลุ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะอยู่ระดับ 29 บาทเศษ โดยสิ่งที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษคือ ปัญหาเศรษฐกิจของไอร์แลนด์ และการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ พร้อมแนะให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่

ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ล่าสุดมีแนวคิดลงทุนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ-ระยอง และโครงการความร่วมมือไทย-จีน สร้างเส้นทางรถไฟความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และรางขนาด 1.4 เมตร เชื่อมจากคุนหมิงผ่านลาวเข้าหนองคาย และลงไปสู่ภาคใต้ของไทย เชื่อมต่อมาเลเซียจนถึงสิงคโปร์

ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) คาดว่า ภายในปลายปี 54 ค่าเงินบาทมีโอกาสอยู่ที่ 28 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากธนาคารกลางของจีนจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 4-6 ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับเงินหยวน

สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นวันที่ 1 ธันวาคม 2553 นี้ เชื่อว่า จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะจะส่งผลต่อค่าเงินบาททันที รวมทั้งการประมาณการณ์เงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ สูงเกินความเป็นจริง เพราะเชื่อว่า รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะต่อนโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอีก ส่วนเงินทุนไหลเข้าที่เป็นการลงทุนโดยตรง (FDI) นั้นในปีหน้า ยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้

นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวอีกว่า การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลใน 5 ปีนั้น เป็นเรื่องยาก เพราะงบประมาณส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายด้านต่างๆ จึงไม่สามารถปรับลดได้ และหากต้องลงทุน รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงิน จึงทำให้การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลนั้น เป็นเรื่องยาก ยกเว้นการทำงบประมาณแบบสมดุลแบบไม่รวมงบชำระหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สื่อออนไลน์มาแรง โฆษณาทะลุ2พันล. จับตาเฟซบุ๊ค-กูเกิ้ล-แอปเปิ้ล

ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งมาแรงปี54 จับตาเฟซบุ๊ค-กูเกิ้ล-แอปเปิ้ล สร้างเครื่องมือมัดใจผู้บริโภคครบไลน์ เชื่อลูกค้าเทเงินใช้ดิจิตอลมาร์เก็ตเพิ่มเป็น 2-10% ฟันธงกลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักส์โหมใช้สื่อออนไลน์มากสุด “ธอมัสไอเดีย” ชู 8 เทรนด์ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งทะลวงตลาดปีหน้า มั่นใจรายได้เติบโต 20%

นางสาวอุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด ดูแลและวางแผนการตลาดในสื่อออนไลน์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้สื่อดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในปี 2554 ในแง่ของกลุ่มผู้บริโภค เว๊บไซต์เกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยเฉพาะเฟซบุ๊คยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคจะเน้นคุย ติดต่อ แนะนำผ่านเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นหลัก

ในส่วนของเฟซบุ๊คเองนั้นได้พัฒนาเครื่องมือต่างๆเพื่อให้ครอบคลุมเพื่อดึงกลุ่มผู้บริโภคให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการต่อยอดในการทำตลาดบนเว็บดังกล่าวอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยในปีหน้าเว็บไซต์เกี่ยวกับโซเชียลมาร์เก็ตติ้งที่มาแรงยังคงเป็น เฟซบุ๊ค

สำหรับเทรนด์การใช้สื่อดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักต์ จำพวกของกินของใช้ รวมถึงรถยนต์ และสถาบันการเงิน และโรงพยาบาลจะเห็นมากยิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องมือที่จะเน้นมากสุด คือ โซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จะต้องนำเครื่องมือหลายๆตัวนำมาประกอบกัน จะเกิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเชื่อว่าในปีหน้ากลุ่มลูกค้าจะเทงบมาใช้ในสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นในสัดส่วนตั้งแต่ 2-10% ของงบการตลาดทั้งหมด

ล่าสุดทางบริษัทได้รวบรวมข้อมูล พร้อมนำเสนอแนวโน้ม 8 เทรนด์ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งที่มาแรงในปีหน้า ดังนี้ 1.กลยุทธ์ออนไลน์ผสมผสานโซเชียลมีเดียอย่างฉลาด เป็นการใช้ช่องทางออนไลน์แบบครบทุกช่องทาง เน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามากกว่ายอดขาย 2. เฟซบุ๊ค ถือเป็นช่องทางที่สามารถใช้ได้ทั้งการโฆษณาและการตลาด โดยปัจจุบันเฟซบุ๊คเองสร้างเซอร์วิสรองรับไว้อย่างครอบคลุม 3.แบรนด์ เอนเกจเม้นท์ หรือการสร้างกลยุทธ์ที่มัดใจผู้บริโภคให้หลงรักในแบรนด์ได้อย่างแยบยล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถูกใจ และให้ความบันเทิงในตัว ในรูปแบบของวิดีโอออนไลน์จะได้เห็นมากขึ้น

4.อีคอมเมิร์ชและโซเชียลคอมเมิร์ช ปีหน้าจะได้เห็นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงิน 5.ออนไลน์โปรโมชั่น ปีหน้าจะมีสีสันมากยิ่งขึ้นเช่นกัน 6. โมบาย ดีไวซ์ กลุ่มสมาร์ทโฟน ปีหน้าจะได้เห็นนักการตลาดเข้ามาเล่นการตลาดบนแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น 7.การสร้างแอพพลิเคชั่น จะเห็นสินค้าและบริการลงทุนสร้างแอพพลิเคชั่นของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากยิ่งขึ้น และ8. กูเกิ้ล-แอปเปิ้ล-เฟซบุ๊คจะกลายเป็น ออนไลน์ แอดเวอร์ไทซิ่ง แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง แพลตฟอร์ม ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก เพราะมีการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆมาตอบสนองทั้งกลุ่มผู้ใช้งานและเจ้าของสินค้าและบริการที่ต้องการทำตลาดบนสื่อออนไลน์ได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น

นางสาวอุไรพร กล่าวต่อว่า ปีหน้าเชื่อว่าบริษัทยังจะมีผลประกอบการเติบโตที่ 20% เช่นเดียวกันในปีนี้ ขณะที่เม็ดเงินของสื่อออนไลน์ สิ้นปีนี้เชื่อว่าจะอยู่ที่ 2% คิดเป็นมูลค่าราว 2,000 ล้านบาท จากภาพรวมของมูลค่าเม็ดเงินผ่านสื่อโฆษณารวมทั้งหมดราว 100,000 ล้านบาท ในปีหน้าคาดว่าจะมีมูลค่าในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
ที่มา manager

ข่าวหุ้น:ปตท.ดันแผนเทกโอเวอร์ธุรกิจต่างแดน-ขึ้นแท่น 1 ใน 100 ชั้นนำโลก

ข่าวหุ้น:ปตท.ดันแผนเทกโอเวอร์ธุรกิจต่างแดน-ขึ้นแท่น 1 ใน 100 ชั้นนำโลก
ปตท.เผยแผน 10 ปีข้างหน้า ประกาศเพิ่มสัดส่วนลงทุนต่างแดนเป็น 50% โดยเฉพาะการลงทุนขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมธุรกิจก๊าซแอลเอ็นจี และการซื้อสินทรัพย์ต่างๆ หวังขึ้นแท่น 1 ใน 100 บริษัทชั้นนำโลก

วันนี้ (24 พ.ย.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีไม่กระทบต่อ ปตท.เพราะหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว โดยในรอบปีครึ่งที่ผ่านมา ปตท. และบริษัทในเครือมีการออกหุ้นรวมกันเกือบ 2 แสนล้านบาท และปตท.ยังไม่มีแผนก่อหนี้ใหม่นอกจากจะมีโครงการลงทุนที่น่าสนใจจึงจะมีการระดมทุนเพิ่มส่วนเป้าหมายในอนาคตของ ปตท.คือการกลับเข้าไปเป็น 1 ใน 100 อันดับบริษัทชั้นนำของโลกใน Fortune โดยมีเป้าหมายทำยอดขาย ให้ได้ 1.4-1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ/ปี หรือคิดเป็น 4-5 ล้านล้านบาท/ปี และมีแผนลงทุน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 10 ปีนี้ ซึ่ง ปตท.คาดว่า เงินลงทุนจำนวนดังกล่าวจะสร้างอัตราเติบโตของรายได้ให้กับปตท. ปีละประมาณ 8% ไปจนถึงปี 63 ในขณะที่ปีนี้ ปตท.คาดว่า จะมีรายได้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท

“ถ้าเราจะทำให้ถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ปีนี้รายได้จะอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ลดลงไปจากภาวะเศรษฐกิจแต่หลังจากนี้คาดว่าจะโตได้ปีละ 8% เพื่อให้ได้เป้าหมายตามที่วางไว้” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ ย้ำว่า แผนลงทุนระยะ 10 ปีข้างหน้า 50% จะเป็น การลงทุนในต่างประเทศโดยลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น (Up Stream) เช่น การขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และการซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นต้น โดยใน 5 ปีข้างหน้า ปตท. คาดว่ารายได้จากต่างประเทศจะมีสัดส่วนประมาณ 20% และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในช่วง 10 ปีข้างหน้าหลังการประกาศวิสัยทัศน์ไม่นาน ปตท.ก็โชว์แผนเสนอซื้อกิจการเหมืองถ่านหิน บ.Straits Resources Limited

ด้าน นายเทวินทร์ วงศ์วานิชประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ทำการเสนอซื้อกิจการเหมืองถ่านหินของ บริษัท Straits Resources Limited (SRL) ผ่านบริษัท PTT Mining Limited (PTTML) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PTT International Limited (PTTI) ซึ่ง ปตท.ถือหุ้นทั้งหมดใน PTTI

ในการเข้าซื้อกิจการเหมืองถ่านหินในครั้งนี้ PTTML ได้ตกลงที่จะชำระเงินให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SRL ในราคา 1.72 เหรียญออสเตรเลียต่อหุ้นคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 544.1 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือประมาณ 16,600 ล้านบาท โดย ปตท.จะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ PTTML ผ่าน PTTI

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ เป็นการลงทุนตามนโยบายในการขยายการลงทุนในธุรกิจเหมืองถ่านหินที่มีคุณภาพสูงและมีศักยภาพที่ดีในการเติบโตในอนาคต

“เนื่องจาก SRL เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการด้านเหมืองโลหะและเหมือง ถ่านหิน ดังนั้น PTTML จึงได้ลงนามใน สัญญากับ SRL เพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดภายหลังการแยกกิจการเหมืองโลหะของ SRL ออกจากกิจการเหมืองถ่านหิน ซึ่ง SRL คาดว่า จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2554 เพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาและอนุมัติการแยกกิจการและการเข้าซื้อกิจการเหมือง ถ่านหินนี้” นายเทวินทร์ กล่าว

สำหรับสินทรัพย์ที่ได้จากการลงทุนในครั้งนี้ภายหลังจากการแยกกิจการโลหะของ SRL แล้วนั้นจะประกอบด้วย เงินสด จำนวน 50 ล้านเหรียญออสเตรเลีย และการถือหุ้นจำนวนร้อยละ 40 ในบริษัท PTT Asia Pacific Mining Pty Ltd (PTTAPM) ซึ่งมีสินทรัพย์ประกอบด้วยหุ้นร้อยละ 45.6 ในบริษัท Straits Asia Resources Limited ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์แต่ประกอบกิจการเหมืองถ่านหิน Sebuku และ Jembayan ในประเทศอินโดนีเซีย หุ้นร้อยละ 35 ในบริษัทร่วมทุนกับ Far East Energy Corporation Pty Ltd ซึ่งได้รับสิทธิในการดำเนินการศึกษาแหล่งถ่านหินในประเทศบรูไน และหุ้นร้อยละ 33.5 ในบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมืองถ่านหินใน Sakoa Coal Basin ในประเทศมาดากัสดาร์

นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจไปทั่วโลกแล้ว กลุ่ม ปตท.ยังเป็นบริษัทไทยรายแรกประสบความสำเร็จขายพันธบัตรอิสลามในต่างประเทศ

ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ได้ระดมทุนจากตลาดมาเลเซีย ผ่านบริษัท ทีทีเอ็ม ซูกุก เบอร์ฮาด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจโดยออกพันธบัตรอิสลามมูลค่ารวมทั้งสิ้น 600 ล้านริงกิต เสนอขายเป็นชุด มีอายุตั้งแต่ 5-15 ปี ออกและเสนอขายตามหลักการทางการเงินอิสลาม (Shariah) ที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์มูราบาฮา (commodity murabaha structure)บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่มี บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปิโตรเลียม เนชั่นแนล เบอร์ฮาด (เปโตรนาส) ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันก่อตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการและดำเนินงานโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติซึ่งขนส่งก๊าซธรรมชาติในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (The Malaysia-Thailand Joint Development Area : JDA) มายังประเทศไทย และมาเลเซียซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ

โดยการระดมทุนครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของกลุ่ม ปตท.เนื่องจากเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ระดมทุนจากตลาดทุน อิสลาม ซึ่งการเสนอขายพันธบัตรอิสลามครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนไทยหันมาสนใจระดมทุนผ่านตลาดอิสลาม ทั้งจาก ตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศการเสนอขายพันธบัตรอิสลามชุดนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับความน่าเชื่อถือสูงสุดในมาเลเซียจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมาเลเซีย เรตติ้ง คอร์เปอร์เรชั่น เบอร์ฮาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาชำระคืนเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้ถือหุ้นและใช้จ่ายในโครงการสร้างระบบท่อส่งก๊าซซึ่งเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ไปตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีต้นทุนต่ำกว่า 4% ต่อปี ภายหลังการแปลงหนี้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นต้นทุนทางการเงินที่ต่ำสำหรับการระดมทุนในระยะยาวสำหรับโครงการ ในลักษณะนี้

ขณะที่ นายมานพ รัตนศุภานุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โครงการท่อส่งก๊าซระหว่างไทย-มาเลเซีย เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลเซีย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2521 เพื่อพัฒนาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ JDA ซึ่งมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศโดยเบื้องหลังความสำเร็จของการออกพันธบัตรอิสลามครั้งนี้เนื่องจากบริษัทมีผู้ถือหุ้นที่เข้มแข็ง คือ ปตท.และ เปโตรนาส”
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

หุ้นไทยเจอปัจจัยลบรุม ปิดลบ 3.50 จุด กังวลโสมแดง-ขาว-หนี้ไอร์แลนด์

ปิดตลาดหุ้นไทย ดัชนีลดลง 3.50 จุด โดยนักลงทุนกังวลหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ หรือจะเป็นปัญหาหนี้ไอร์แลนด์

วันนี้ (24 พ.ย.) ปิดตลาดหลักทรัพย์ไทย ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,005.97 จุด ลบ 3.50 จุด หรือ 0.35% ปริมาณการซื้อขาย 4,446,521,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 43,495.71 ล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวในแดนลบตามตลาดต่างประเทศจากความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และวิกฤตหนี้ในไอร์แลนด์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงจับตาการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในปลายสัปดาห์หน้า ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 1,001.77 จุด และสูงสุดที่ 1,010.18 จุด

โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย PTT ปิดที่ 310.00 บาท ลบ 12.00 บาท PTTEP ปิดที่ 171.00 บาท ลบ 9.00 บาท TRUE ปิดที่ 6.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง PTTAR ปิดที่ 37.75 บาท บวก 0.75 บาท และ IVL ปิดที่ 49.50 บาท บวก 3.00 บาท

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นายกฯ เผย ศก.ไทยโตท่ามกลางมรสุม ศก.โลก-การเมือง มั่นใจรับมือได้

นายกฯ คาดไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายปัจจัยเสี่ยงสำคัญ แจงภาพ ศก.ไทยโตได้แบบทุลักทุเล เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหา ศก.โลกที่ยืดเยื้อ และการเมืองในประเทศ มั่นใจรับมือได้ เผยหนี้สาธารณะที่ 42-43% รองรับการกู้เงินกระตุ้น ศก.ได้ หากจำเป็น ส่วนแนวคิดกลับไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เป็นการฝืนกลไกตลาด-ไม่สามารถแก้ไขค่าเงินบาทได้ สำหรับปัญหาการเมือง รบ.จะเร่งแก้ไข รธน.-เดินหน้าแผนปรองดอง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดการสัมนาทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2554 :ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความขัดแย้ง โดยปาฐกถานำเรื่องนโยบายเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทาย ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาการเมืองในประเทศ แต่ทั้งนี้ประเทศไทยยังสามารถผ่านพ้นมาได้ ซึ่งถือว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังมีความเข้มแข็งพอสมควร

นายกรัฐมนตรี คาดว่าในปีนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ของไทย จะเติบโตได้ในระดับ 7.9% ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ประเมินเอาไว้ พร้อมระบุว่า ระดับหนี้สาธารณะของประเทศขณะนี้ที่อยู่ในระดับ 42-43% ต่อจีดีพี เชื่อว่าจะรองรับการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้หากมีความจำเป็น

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยขณะนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เช่น ปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งความไม่สมดุลในจุดนี้ได้ส่งผลรุนแรงต่อการไหลเข้า-ออกของเงินทุนมายังภูมิภาคเอเชีย รวมถึงกระทบต่อค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย โดยจุดนี้รัฐบาลได้ออกนโยบายในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นไปแล้ว

"ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศจี 2 ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน ที่ยังตกลงไม่ได้เรื่องค่าเงิน จะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนภาวะฟองสบู่ เงินเฟ้ออันเนื่องจากเงินทุนไหลเข้าและการเก็งกำไรผสมโรงด้วย ซึ่งเชื่อว่าปัญหาดังกล่าว ไม่จบลงโดยง่าย"

ส่วนการที่จะกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คงไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนได้ และยังเป็นการฝืนตลาด ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อ คือ กำหนดแนวทางการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมปรับปรุงเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่จะนำเข้า ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมจูงใจให้แก่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯ ยังอยู่ในจุดที่แก้ไขได้ยาก จึงจำเป็นที่ภูมิภาคเอเชียต้องปรับตัวและหาแนวทางในการแก้ไขร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีผลจากการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ซึ่งแนวทางที่รัฐบาลจะทำในขณะนี้ คือ การเตรียมความพร้อมของเครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ส่วนปัจจัยทางด้านการเมืองนั้น ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศเพื่อการปรองดอง ซึ่งล่าสุดที่ประชุมร่วมรัฐสภากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 4 ฉบับ ทั้งนี้ ไม่ว่าสภาฯ จะรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อยากให้ทุกอย่างจบ ซึ่งหากจะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกนั้น ก็อยากให้ไปรอหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า และมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีส่วนช่วยแก้ปมปัญหาความในสังคมลงได้อีก

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดจะสอดแทรกมาตราที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม และการยุบพรรคการเมืองเข้าไปในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กำลังจับตาการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าจะมีการแข่งขันกันรุนแรงหรือไม่ ซึ่งหากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยก็จะถือว่าเป็นการเพิ่มความพร้อมในระดับหนึ่งที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วประเทศในปีหน้า

ส่วนปัญหาวิกฤตภัยธรรมชาตินั้น รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณช่วยตรวจสอบงบประมาณ 2 ปีย้อนหลังในส่วนของงบเหลื่อมปีงบประมาณที่มีอยู่ราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากจุดไหนยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณก้อนนั้น ก็จะให้ปรับงบดังกล่าวเข้ามาสู่การฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ ทั้งนี้ หากกระทรวงไหนทำได้น้อยก็อาจจำเป็นต้องริบเงินเข้ามาเป็นเงินคงคลัง

นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวอภิปรายเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ควาไม่แน่นอนปี 2554 ว่า แม้ว่าขณะนี้ฐานะการเงิน การคลังประเทศมีภาพรวมเข้มแข็ง โดยปัจจุบันมีเงินคงคลังมากถึง 4 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีได้มากกว่านี้ เนื่องจากยังมีช่องว่างอยู่มาก แม้ว่าอัตราภาษีบุคคลธรรมดาอยู่ในระดับสูง แต่จัดเก็บรายได้ต่ำมาก รัฐบาลสามารถลดหนี้สาธารณะได้ลงมาได้ ทำให้หนี้เงินกู้ของกองทุนฟื้นฟู ที่มีอยู่ 1.1 แสนล้านลดลง เนื่องจากรัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินดังกล่าวกว่าแสนล้านบาท

นางปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยติดกับดักการยกระดับการพัฒนาเนื่องจากผู้ประกอบการอุตฯ ไม่สามารรถยกระดับอุตสาหกรรมได้ ผลิตภาพแรงงานไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินลงทุนของรัฐต่อจีดีพี ปี 41-52 เฉลี่ยที่ 25% เทียบอาเซียน อยู่ 27.5% นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงการเมืองจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทย มีคามเสี่ยงในการเปลี่ยนนโยบายกระทบต่อการลงทุนของเอกชน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ นโยบายเกษตร และการผลักดันนโยบายภาษีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คลังบทความของบล็อก